ตอนที่ 11 ความกตัญญูที่น่าสรรเสริญ โดย Ink Stone_Fantasy
“โจมตีเต็มกำลัง!”
ในเสี้ยววินาทีที่ฉือโฮ่วกระอักเลือดออกมา หวังลู่ก็ออกคำสั่ง
หลิวหลีสูดลมหายใจลึก นางเติมพลังอิทธิฤทธิ์ที่พร่องไปจากการโจมตีหลายครั้งติดๆ กันไม่ทัน จึงทำได้เพียงรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายตามคำแนะนำของหวังลู่ จากนั้นก็หมุนตัวและเสือกกระบี่ไปด้านหน้า
ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้เห็นร่องรอยความอัปยศและฝืนทนในดวงตาของฉือโฮ่ว
ปรมาจารย์อัจฉริยะตบะขั้นสร้างแกนถูกต้อนจนเข้าตาจน… ฉือโฮ่วกัดฟันแน่นจากนั้นก็เรียกใช้ยันต์ที่อยู่บนร่าง
ยันต์หลบหนี
ก่อนการต่อสู้ ฉือโฮ่วคำนวณเอาไว้แล้วว่าหากคู่ต่อสู้คิดจะหนีเขาจะใช้วิธีใดสกัดอีกฝ่าย ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากการต่อสู้ที่น่าตื่นตะลึง กลับเป็นเขาเองที่ถูกต้อนจนต้องใช้ยันต์หลบหนี! ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนผู้ทรงเกียรติกลับต้องเผ่นหนีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานสองคน! นี่เป็นความอับอายที่ไม่แน่ว่าทั้งชีวิตก็ไม่อาจล้างได้
ทว่าแม้จะต้องรู้สึกเสียหน้าเพียงใด การมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าตาย หลังจากที่เขาต้องสูญเสียสัตว์ภูตสองตัวติด ความแข็งแกร่งของฉือโฮ่วก็ลดลงจนมาแตะขีดต่ำสุด ตั้งแต่ที่บรรลุถึงขั้นสร้างแกน เขาก็ไม่เคยอ่อนแอเท่านี้มาก่อน แกนทองคำที่อยู่ใจกลางของวิหารหยกดูเลือนลงเพราะสูญเสียประกายแสงสีทอง และมีแนวโน้มไม่น้อยที่มันจะแตกสลายจนกลายเป็นความว่างเปล่า นั่นเป็นสัญญาณของตบะย้อนกลับ ซึ่งบ่งบอกว่ามันกำลังย้อนกลับไปในขั้นพิสุทธิ์
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวคิดว่าจะใช้วิชาใดในการฟื้นฟูพลังของตน… เขาไม่อาจต้านทานการโจมตีครั้งล่าสุดของหลิวหลีได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ยันต์หลบหนี
ทว่าอึดใจถัดมา ฉือโฮ่วกลับประหลาดใจที่ได้เห็นปลายกระบี่ทั้งสองของหลิวหลีกลายเป็นเงาพร่าเบลอราวกับภาพลวงตา และตัดสิ่งเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ห่างจากร่างของเขาประมาณหนึ่งชุ่น
มันคือสิ่งที่เชื่อมฉือโฮ่วกับกะโหลกสัตว์ร้ายโบราณเข้าด้วยกัน! กระบี่ของหลิวหลีสามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ นางฉวยจังหวะตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวตัดพันธะระหว่างฉือโฮ่วกับกะโหลกนั่นเสีย!
ปกติแล้วการตัดสิ่งเชื่อมโยงดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นปัญหา เพราะในฐานะผู้เป็นนาย หากมีเวลาพักสักเล็กน้อย เขาก็ย่อมสามารถเชื่อมสายใยดังกล่าวกลับคืนได้ ทว่าตอนนี้ฉือโฮ่วไม่มีเวลาแม้แต้น้อย ทันทีที่เขาเรียกใช้งานยันต์หลบหลี ร่างกายอันใหญ่โตของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและภายในพริบตาเดียวมันก็หายลับไปที่ขอบฟ้า
ทันทีที่ฉือโฮ่วจากไป กะโหลกขนาดมหึมาก็สูญเสียแหล่งพลังอิทธิฤทธิ์ ดังนั้นมันจึงหดตัวลงเหลือขนาดดั้งเดิม และตกลงมาสู่พื้นพร้อมเสียงกระแทกดังสนั่น
หวังลู่หยิบกะโหลกดังกล่าวขึ้นมา นี่คือสิ่งมีค่าชิ้นแรกที่เขาเก็บได้จากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์นอกเขา แม้จะไม่ใช่ของดีอะไรนัก เป็นเพียงอาวุธวิเศษระดับสูง แต่มันก็มีค่าเอาไว้ให้ระลึกถึง สิ่งนี้คือ ‘รางวัลจากสงคราม’ ของหวังลู่และหลิวหลีในการต่อสู้กับปรมาจารย์อัจฉริยะตบะขั้นสร้างแกนในขณะที่พวกเขาเพิ่งมีตบะเพียงขั้นสร้างฐาน
ทว่าหวังลู่ไม่มีเวลาชื่นชมสิ่งนี้นานนัก เพราะเขากำลังจูงหลิวหลีไปยังทิศทางที่เจ้าสุนัขหน้าโง่อยู่ แม้ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตัวเอง เขาก็เดาได้ว่าต้องมีผู้ผ่านทางจิตใจดีที่ช่วยสังหารเจ้าเขี้ยวขาว ทำให้ฉือโฮ่วต้องหนีไปด้วยความเสียดาย ดังนั้นธุระสำคัญเรื่องแรกก็คือไปพบผู้ผ่านทางจิตใจดีที่ว่านี้
คนผู้นั้นตะโกนขึ้นมาว่าอยากจะปรุงเนื้อสุนัขดำเป็นอาหาร เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่นิยมเนื้อสุนัข และเจ้าฮวาฮวานั่น แม้จะตัวเล็กและโง่เขลา แต่เนื้อของมันก็…
เมื่อเดินข้ามดงไม้แน่นขนัดไปยังช่องแคบระหว่างหุบเขา หวังลู่ก็ได้เห็นผู้ผ่านทางใจดีคนนั้น
เขาประหลาดใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี นางมีรูปร่างสูง หน้าตางดงามเหมือนภาพวาด แต่งกายในชุดสีม่วงหรูหรา มีกริยาท่าทางเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ทว่ารอยยิ้มของนางกลับอ่อนหวาน พลังอิทธิฤทธิ์ที่ไหลวนไปทั่วร่างของนางหยุดนิ่งลงแล้ว ทำให้หวังลู่ไม่อาจเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด
เมื่อเห็นว่าบุคคลที่กล้าหาญผู้นี้แท้จริงเป็นผู้หญิง หวังลู่ก็ผงะไปเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวอุ้มร่างสุนัขที่ค่อนข้างใหญ่ด้วยมือเพียงข้างเดียว เขามองสำรวจหญิงสาวไปมา เห็นอีกฝ่ายยิ้มย่องอยู่ตลอด ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่ไม่ถูกที่ถูกทางของเขาเพิ่มขึ้นเข้าไปใหญ่
ทว่าเมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หวังลู่ที่ร่ำเรียนมารยาทมาจากหอเถิงอวิ๋นก็ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าเยวี่ยลู่จากทะเลสาบวารีสวรรค์ ส่วนนี่น้องสาวข้าเยวี่ยเซียน ขอบคุณแม่นางผู้กล้าที่ช่วยเราไว้ก่อนหน้านี้”
หญิงสาวยิ้มและโบกไม้โบกมือ “อย่าใส่ใจเลย ข้าก็แค่หามื้อเย็นกิน หนำซ้ำต่อให้ข้าไม่ช่วย ยังไงซะสัตว์ภูตของเจ้าก็ไม่แพ้แน่นอน”
ขณะพูดนางก็หยิบมีดออกมากรีดเปิดส่วนท้องของสุนัขดำ ‘เขี้ยวขาว’ จากนั้นก็ล้างมันด้วยน้ำในลำธาร ท่าทางของนางทั้งชำนาญและรวดเร็ว
“ฮ่ะๆๆ เนื้อของสุนัขดำนี่ไม่เลวเลย… ในเมื่อโชคชะตานำพาให้เรามาพบกัน ถ้าพวกเจ้าไม่ถือ ถ้างั้นมากินฝีมือของข้าหน่อยเป็นไร ข้าไม่มีความสามารถใดให้อวดอ้าง มีแค่ทักษะการปรุงเนื้อสุนัขนี้ที่ทั้งแคว้นสายหมอก มีเพียงไม่กี่คนที่สู้ข้าได้”
หญิงสาวผู้นี้ทั้งใจกว้างและเป็นมิตร หลังจากจ้องมองนางอยู่ครู่ใหญ่ หวังลู่กลับไม่เห็นท่าทีแสร้งทำของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าเป็นหนี้บุญคุณอาหารมื้อนี้ของท่านแล้ว”
“ดี! พูดจาตรงไปตรงมาดี ฮ่ะๆ ข้าได้ยินมาว่าหากใครคิดกินเนื้อสุนัขจะต้องถูกคนจากเขาอวิ๋นไท่เจี๋ยนเป็นชิ้นๆ ฮืม นี่มันเนื้อบิดามารดาสุนัขชัดๆ! อร่อยสุดๆ!”
หวังลู่กล่าวขึ้น “พวกนั้นก็แค่แมลงน่ารำคาญ ใครจะสนกันเล่า” ขณะพูดเขาก็มองไปรอบๆ พยายามมองหาสุนัขของตัวเอง พลางคิดในใจว่า เจ้าสุนัขโง่ดวงกุดเอ๊ย หรือเจ้าเข้าไปอยู่ในท้องแม่นางคนนี้แล้วกันแน่
“มองหาสุนัขของเจ้าหรือ มันหลบข้าไปอยู่แถวโน้นแน่ะ ก่อนหน้านั้นมันเห็นข้ากำลังจะกลืนเนื้อสุนัขดำนี่เข้าไปทั้งตัวเพื่อไม่ให้มีอะไรเหลือทิ้ง มันก็เลยกลัวตัวสั่น… โอ๊ะ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าข้าจะหิวโหยแค่ไหน ข้าก็ไม่กินลูกหลานของเฟนรีร์แน่ๆ”
หวังลู่ตกใจ หญิงสาวผู้นี้รู้จักเฟนรีร์ด้วยหรือ!?
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ยิ้มออกมา “ข้ากินเนื้อสุนัขมาเยอะ จึงพอรู้ข้อมูลเรื่องสัตว์ที่ใกล้เคียงกันอยู่บ้าง จะว่าไปหากสามารถเอาเฟนรีร์มาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ เจ้าและน้องสาวเจ้าย่อมไม่ได้มาจากทะเลสาบวารีสวรรค์เป็นแน่ ข้าพูดถูกไหม”
หวังลู่ทำเพียงยักไหล่เมื่อคำโกหกของพวกเขาถูกเปิดโปง “เดินทางไปตาม ‘แม่น้ำและทะเลสาบ’ แบบนี้ควรทำตัวไม่ให้สะดุดตาเข้าไว้ ถ้างั้นก็ดี เรามาแนะนำตัวกันใหม่ดีกว่า ข้าหวังลู่ ส่วนนี่หลิวหลี พวกเรามาจากสำนักกระบี่วิญญาณแห่งแคว้นธาราคราม”
“โอ้ ข้าชื่อเสี่ยวชี (เจ็ดน้อย) พวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูเจ็ดก็ได้…” ระหว่างกำลังพูดอยู่นางก็ทำท่าตกใจจากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน “เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณหรือ!? งั้นนี่คงเป็นลิขิตสวรรค์อย่างแน่นอน พวกเจ้ารู้จักคนที่ชื่อหวังอู่ไหม เราเป็นสหายเก่าแก่กัน แต่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปีแล้ว”
ครั้งนี้กลับเป็นหวังลู่ที่ประหลาดใจ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรที่ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณจะมีสหายนอกสำนัก แต่ยายหวังอู่ไม่เอาไหนกลับมีเพื่อนนอกสำนักกับเขาด้วย! ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ! นอกจากสร้างศัตรูแล้วนางยังทำอย่างอื่นเป็นด้วยหรือ!?
หวังลู่พยายามคิดหาเหตุผล เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
ทว่าหากว่ากันตามเหตุผล การคาดเดาของเขาก็ช่างไร้สาระนัก เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของผู้เป็นอาจารย์ หวังลู่ก็คลายใจลงอย่างมาก
“ขอโทษที ท่านรู้จักนักบวชเซนโกวรั่วหรือไม่”
เสี่ยวชีกะพริบตา “นักบวชเซนโกวรั่ว? เป็นข้าเอง”
หวังลู่ถอนใจ มองไปที่เนื้อสุนัขซึ่งแล่เป็นชิ้นๆ พร้อมที่จะใส่ลงหม้อ หวังลู่เดาว่าชื่อนักบวชเซนโกวรั่วน่าจะหมายถึงนักบวชเซนเนื้อสุนัขเป็นแน่ หญิงที่สะสวยเช่นนี้จะมีชื่อว่านักบวชเซนได้อย่างไรกัน
“คุณหนูเจ็ด ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเซนหรือ”
เสี่ยวชีเอียงคอไปด้านข้างเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูไม่เหมือนใช่ไหม”
“ท่านเชี่ยวชาญวิถีเซนหรือ หรือท่านคุ้นเคยกับจิตเซน”
เสี่ยวชีโบกไม้โบกมือ “ใครจะสนใจอะไรพรรค์นั้นกันเล่า”
หวังลู่ถอนหายใจ ช่างเป็นพวกลุ่มหลงในเหล้ายาปลาปิ้งอย่างแท้จริง “แล้วทำไมท่านจึงใช้ชื่อว่านักบวชเซน”
เสี่ยวชีกะพริบตาปริบๆ “เพราะข้าตะกละมากไงเล่า”
“แค่ก!”
แปลว่านางเชี่ยวชาญด้านตะกละ!? เวรเถอะ เล่นเอาเขามึนตึ้บไปเลย!
เสี่ยวชีกล่าวเสียงแผ่ว “แต่ข้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเซนด้วยนะ ดังนั้นชาวบ้านจึงชอบเรียกข้าว่านักบวชเซนเนื้อสุนัข ข้าเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร” พูดจบนางก็มองหน้าหวังลู่ “เจ้าเป็นศิษย์ของหวังอู่หรือ”
หวังลู่คิดในใจว่าในเมื่ออีกฝ่ายเป็นสหายของอาจารย์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นางจะจำแนกได้ พลังอิทธิฤทธิ์ของวิชาไร้ลักษณ์นั้นไม่เหมือนใคร แม้รูปแบบของวิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่และหวังอู่จะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมันถือเป็นสิ่งเดียวกัน
“ถูกแล้ว” หวังลู่ตอบ
“งั้นก็ดีเลย ครั้งสุดท้ายที่ข้าเจอนาง นางยืมข้าไปสองแสนศิลาวิญญาณ เจ้าเป็นศิษย์ของนาง ก็ควรใช้หนี้แทนอาจารย์”
หวังลู่ตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่มีทาง”
“…” เสี่ยวชีเงียบไป “เจ้าไม่มีความกตัญญูต่ออาจารย์บ้างหรือ ดูจากตบะของเจ้าแล้ว หวังอู่ย่อมต้องใช้ความพยายามหลายปีในการฝึกฝนเจ้าแน่ ตามหลักการแล้ว เจ้าไม่คิดจะตอบแทนความพยายามของนางสักหน่อยหรือ หรือเจ้าจะบอกว่าตัวเองก็ได้รับการสืบทอดความยากจนของยอดเขาไร้ลักษณ์มาเหมือนกัน ก็เลยไม่มีปัญญาใช้หนี้ข้าได้”
หวังลู่ตอบอย่างจริงจัง “ข้ามีเงินทอง แม้จะไม่กล้าเรียกตัวเองว่าร่ำรวย แต่ก็ใช้หนี้แทนนางได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เป็นเพราะนางข้าจึงใช้หนี้ครั้งนี้ให้ไม่ได้”
เสี่ยวชีทั้งโกรธทั้งขำ “ศิษย์และอาจารย์จากยอดเขาไร้ลักษณ์นี่อย่างกับโขกออกมาจากเบ้าเดียวกัน ทำไมเจ้าถึงใช้หนี้ให้นางไม่ได้ล่ะ”
“เพราะถ้าข้าใช้หนี้ครั้งนี้ มันก็จะมีมาอีกไม่จบสิ้น ข้ารู้ว่าอาจารย์มีนิสัยชอบเป็นหนี้และเจ้าหนี้ของนางก็น่าจะมีอยู่ทั่วโลกแล้ว หากพวกเขารู้ว่าข้ายินดีใช้หนี้ให้นาง พวกเขาจะไม่รีบมารุมทึ้งข้ารึยังไง”
เสี่ยวชีหัวเราะออกมา “เจ้ากลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงงั้นหรือ”
“ข้ากลัวว่าหากข้าใช้หนี้ให้นาง นางจะคิดว่าสวรรค์ตกลงมาบนตักแล้วก็ออกไปหยิบยืมเงินทองมากขึ้น ตอนนี้นางเป็นหนี้ท่วมหัว ดังนั้นความน่าเชื่อถือของนางจึงติดลบ และข้าเชื่อว่าจะไม่มีใครยอมให้เงินนางยืมอีก แต่ถ้าข้าจ่ายหนี้ให้ ความน่าเชื่อถือของนางก็จะกลับคืนมา… ข้าว่าไม่ใช่เรื่องยากสักนิดที่จะจินตนาการได้ว่าหลุมไร้ก้นอย่างนางจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป”
เสี่ยวชีเงียบไปในทันที “…ดี ข้ายอมรับว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล งั้นไว้ถ้าข้ามีเวลาข้าจะไปทวงหนี้จากนางเอง”
เพื่อไม่ให้นางคิดเรื่องเดิมต่อ หวังลู่จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นี่คือจดหมายที่อาจารย์ฝากฝังข้าเอามาให้ท่าน”
เสี่ยวชีหยิบจดหมายไปเปิดดู ก่อนที่นางจะทันได้อ่านจบ รอยยิ้มแฝงความนัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม
หวังลู่รู้โดยไม่ต้องเดาว่าสิ่งที่อาจารย์ของเขาเขียนมานั้นย่อมไม่มีเรื่องดีแน่นอน
“อาจารย์ของเจ้าบอกว่าสุนัขลายด่างที่เจ้าพามาด้วยเป็นสัตว์ร้ายเฟนรีร์จากทวีปตะวันตก หากข้าชิงเจ้าเฟนรีร์นี่มาจากเจ้าได้แล้วเอามันไปขาย ข้าก็จะสามารถแบ่งเงินกับนางคนละครึ่ง เจ้าสัตว์กึ่งเซียนยังไม่โตเต็มตัวตัวนี้น่าจะขายได้สักหนึ่งแสนถึงหลายล้านศิลาวิญญาณ… และการที่นางเขียนแนะนำข้าแบบนี้ก็ให้ถือว่าเป็นการปลดหนี้จากข้าไปด้วย”
เสี่ยวชีวางจดหมายลงด้วยท่าทีเสียใจเล็กน้อย “ถ้าข้ารู้ก่อนละก็ ข้าจะไม่อ่านจดหมายต่อหน้าเจ้าแน่”
หวังลู่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ “พรุ่งนี้เชิญท่านไปเก็บหนี้ที่เขากระบี่วิญญาณได้เลย ไม่ว่าท่านจะวางยานางหรือจะทุบตีนาง ข้าก็ไม่ห้ามทั้งนั้น หากท่านชนะ ท่านจะขายนางให้หอนางโลมหรือพ่อค้าอวัยวะก็ได้ทั้งนั้น หรือจะให้ข้าจัดการแทนก็ย่อมได้”
“ฮ่าๆๆ เจ้าสองคนสมเป็นศิษย์และอาจารย์กันจริงๆ” เสี่ยวชีมองหวังลู่อย่างพึงพอใจ “พูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีบางอย่างจะขอร้องเจ้า”