ตอนที่ 12 หากอยากสนิทกับหลิวหลี ไม่จำเป็นต้องสรุปความเก่งก็ได้ โดย Ink Stone_Fantasy
“ข้ามีบางอย่างจะขอร้องเจ้า สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มาตั้งสาขาขึ้นที่เขาอวิ๋นไท่ เห็นแล้วมันขัดเคืองตาข้าเหลือเกิน เจ้าช่วยข้าหาทางกำจัดคนพวกนั้นได้ไหม”
ขณะพูดสีหน้าของเสี่ยวชีก็พลันปึ่งชาขึ้น
แม้เขาจะคาดไว้อยู่แล้วจากชื่ออาจารย์เซนเนื้อสุนัข ว่านางย่อมเห็นต่างจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่ต่อสู้ปกป้องสิทธิ์ของสัตว์แน่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายจะมากถึงเพียงนี้
ภายนอกศิษย์พี่เสี่ยวชีมีหน้าตางดงามเจริญหูเจริญตาทั้งยังใจดีและเป็นมิตร แต่นางกลับชักชวนเขาให้ไปทำลายสำนัก สิ่งที่เป็นภัยที่สุดย่อมไม่พ้นจิตใจของผู้หญิงจริงๆ
“ฮ่ะๆ ข้าแค่อยากกำจัดสาขานี้เท่านั้น ไม่ได้พูดว่าจะถอนรากถอนโคนทั้งสำนักสักหน่อย อย่าจินตนาการไปใหญ่โตสิ”
หวังลู่ยักไหล่ “ช่วยบอกข้าทีได้ไหมว่าศิษย์พี่ไปเป็นศัตรูกับคนพวกนั้นได้ยังไง”
เสี่ยวชีลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวเสียงแผ่ว “ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เมื่อไม่นานมานี้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เริ่มรวบรวมสุนัขภูตเป็นพันๆ ตัวแถบเขาอวิ๋นไท่เพื่อเอาไปหลอมเป็นปลอกคอสัตว์ภูต แต่พอข้าเจอพวกสุนัขเหล่านั้น ข้าก็กินมัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นศัตรูของเรา ผู้อาวุโสหลายคนของสำนักตามล่าข้าไม่ลดละ หลังจากที่ประมือกันมาหลายครา ความเป็นปฏิปักษ์ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
หวังลู่อดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้ “ท่านเองก็สมควรแล้ว!”
การนิยมเนื้อสุนัขถือเป็นงานอดิเรกส่วนตัวที่กำเนิดจากเสรีภาพของคนผู้นั้น การกินเนื้อสุนัขในอาณาเขตของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ถือเป็นการกระทำที่หยาบคายและเป็นการตบหน้าอีกฝ่าย ทว่าการที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ใช้กำลังบังคับผู้คนแถบเขาอวิ๋นไท่เรื่องการกินเนื้อสุนัขก็ไม่ใช่สิ่งดีเช่นกัน แต่หญิงสาวผู้นี้ก็กลับกินเนื้อสุนัขที่คนอื่นรวบรวมมา! แล้วสิ่งนี้มันต่างอะไรกับการเข้าไปทำให้ภรรยาของชาวบ้านแปดเปื้อนถึงในบ้านกัน สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ใช่พวกขี้แพ้ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงต้องยอมลงให้ด้วย มันคงจะแปลกเสียยิ่งกว่าหากคนพวกนั้นไม่ถือว่านางเป็นศัตรู…
เมื่อมองใบหน้าใสซื่อและอ่อนโยนของศิษย์พี่ผู้นี้อีกครั้ง หวังลู่ก็อดถอนหายใจออกมามาได้ เขาได้แต่คิดในใจว่าตัวเองไม่น่าตัดสินคนที่รูปร่างหน้าตาเลย คนที่เป็นสหายกับอาจารย์ของเขาได้ย่อมมีจิตใจที่ผิดเพี้ยนไม่ต่างกัน
ส่วนเรื่องช่วยกำจัดสำนักนั้น บอกตามตรงหวังลู่วางแผนเอาไว้ว่าการจะได้รับชื่อเสียงในทางตอนเหนือของเขาอวิ๋นไท่แห่งแคว้นสายหมอกแห่งนี้ เขาจะต้องกำราบสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ลงให้ได้ แต่เขาไม่คิดจะมีชื่อเสียงไปพร้อมกับหญิงสาวใจเหี้ยมผู้นี้
อย่างไรเสียสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ยังเป็นสำนักที่เที่ยงธรรม ในสงครามระหว่างเหล่าเซียนกับปีศาจในอดีต พวกเขามีผลงานที่โดดเด่น แม้ความคิดหลายอย่างของสำนักนี้จะไม่น่าภิรมย์เท่าไรนัก และคุณภาพคนในสำนักก็หลากหลาย ตัวอย่างเช่น อาวุโสชื่อฮวาที่ต้องการจับตัวฮวาฮวาไปไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล หากกล่าวอย่างเข้มงวดแล้วถือว่าเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ทว่าการจะหาเรื่องอย่างลับๆ นั้นทำได้ แต่เปิดฉากขัดแย้งซึ่งๆ หน้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควร
เมื่อเห็นคิ้วที่พันกันยุ่งของหวังลู่ เสี่ยวชีก็ยิ้มออกมา “เอาอย่างนี้ไหม เจ้าไปดูสถานการณ์ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สาขานี้ให้เห็นกับตาก่อน หากเห็นแล้วเจ้ายังไม่อยากจะช่วย ถึงตอนนั้นข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ คิ้วของหวังลู่กลับขมวดมุ่นหนักขึ้น นี่คุณหนูเจ็ดหมายความว่ามียิ่งกว่านี้หรือ ก็ดี เช่นนั้นไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย
——
ภายใต้การนำของเสี่ยวชี พวกเขาก็เหาะตรงไปยังเขาอวิ๋นไท่
ในฐานะสหายของหวังอู่ การกล้าหาญท้าทายสาขาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เช่นนี้ พลังอิทธิฤทธิ์ของเสี่ยวชีย่อมไม่ธรรมดาแน่ เมื่อประมาณจากสายตาแล้ว หวังลู่คิดว่าอย่างน้อยนางก็น่าจะมีตบะขั้นสร้างแกน ทั้งที่พาคนสองคนและสุนัขตัวหนึ่งเหาะมาด้วยกัน แต่นางกลับช้ากว่าเรือคลื่นเมฆาของหวังลู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พอใกล้จะถึงเขาอวิ๋นไท่ เสี่ยวชีจึงค่อยๆ ร่อนลง หลังจากกลบกลิ่นและร่องรอยของพวกตนหมดแล้ว นางก็พูดผ่านพลังวิญญาณขั้นปฐม “ตามข้ามา ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”
อาคมซ่อนตัวของเสี่ยวชีนั้นทรงพลังไม่น้อย แถวของคนทั้งสามวิ่งเหยาะๆ ผ่านภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้และอาณาเขตของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไปแต่กลับไม่ทำให้สัญญาณเตือนภัยของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ดังขึ้นสักนิด เขาอวิ๋นไท่ถูกสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ครอบครองมาเป็นปีแล้ว ดังนั้นแม้ไม่มีการวางทุ่นระเบิดไปตามทาง แต่ก็มีการวางค่ายกลมากมายเพื่อทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนหากมีผู้บุกรุก ทว่าเสี่ยวชีกลับเดินเข้าไปได้ง่ายๆ ราวกับเป็นบ้านตัวเอง และถึงแม้พวกเขาจะเจอกับศิษย์ที่ออกลาดตระเวน แต่ก็ไม่ถูกจับได้
สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ย่อมมีสัตว์ภูตมากมายตามที่คาดไว้ และประสาทรับรู้ทั้งห้าของสัตว์ภูตย่อมต้องดีกว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปอยู่มากโข ยังไม่นับรวมว่าภายในสำนักควรต้องเป็นสถานที่ที่ได้รับการคุ้มกันหนาแน่นที่สุด ทว่าทั้งที่พวกเขาเข้ามาในสำนักแล้ว พวกเขากลับไม่ถูกเจอตัวแต่อย่างใด
และที่บนจุดที่มีการยกพื้นขึ้น หวังลู่ก็ได้เห็นภาพที่น่าตื่นตกใจ
สุนัขภูตนับพันๆ ตัวกระจุกกันอยู่บนพื้นที่ยกสูงดังกล่าว และเพราะพื้นที่ที่ว่ามีขนาดไม่ใหญ่นัก มันจึงเบียดเสียดกันไม่ต่างจากฝูงปลาทู ปลอกคอที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสวมอยู่บนคอของสุนัขภูตเหล่านี้ ปลอกคอของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ควรจะเป็นอาวุธวิเศษที่หล่อเลี้ยงร่างกายและพลังวิญญาณขั้นปฐมของสัตว์ภูต ทว่าเมื่อมองดูใกล้ๆ กลับพบว่ามีเส้นใยชีวิตลอยออกมาจากสุนัขภูตเหล่านั้นไปยังปลอกคอ และไปบรรจบที่ค่ายกลรวมกลุ่มที่อยู่ไกลๆ อีกที ปลอกคอนี้สูบวิญญาณชีวิตของสุนัขภูตออกไปชัดๆ! สุนัขภูตส่วนใหญ่ดูล่องลอยไร้จิตวิญญาณ อีกทั้งพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รายรอบก็ไม่น่าพิสมัยเช่นกัน ด้วยคุณสมบัติของรากวิญญาณนภาที่หวังลู่ครอบครองอยู่ ทำให้เขาสามารถมองเห็นแสงสีเหลืองที่ร่วงโรย ไม่ต่างอะไรกับจิตของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะตายลงได้ชัดเจน
ในหมู่สุนัขภูตนับพันๆ ตัวนี้ มีไม่น้อยที่บาดเจ็บและป่วยหนัก ทว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์กลับไม่คิดจะรักษาพวกมันแม้แต่น้อย และปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น แม้แต่สุนัขภูตที่มีร่างกายแข็งแรงก็ย่อมไม่พ้นความตายแน่หากมันต้องอยู่ในสถานที่ที่ชวนหดหู่และถูกดูดวิญญาณไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวที่บาดเจ็บหรือป่วยอยู่เลย
“…”
เสี่ยวชีหันไปถาม “เจ้าคิดว่ายังไง”
“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงอยากกำจัดที่นี่นัก”
เสี่ยวชีกล่าว “เพื่อที่จะจับตัวอ่อนของสัตว์เซียน สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จึงรวบรวมสุนัขภูตนับพันๆ ตัวเพื่อหลอมเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นปัญหา แต่วิธีทุบกระดูกดูดเอาไขกระดูกออกไปแบบนี้มันค่อนข้างจะ… สำนักงานใหญ่ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ใช้วิธี ‘กระบี่โจมตีหวังผลซ้ายขวา’ ในการหลอมปลอกคอวิเศษ นั่นคือการสกัดเอาพลังด้านลบของสัตว์ภูตจำนวนมากออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงบังคับให้สุนัขภูตนับพันตัวอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าพิสมัยซึ่งจะทำให้พวกมันเกิดอาการเจ็บปวด สิ้นหวัง รวมถึงมีอารมณ์ด้านลบอื่นๆ อารมณ์เหล่านี้จะถูกปลอกคอและค่ายกลพิเศษสกัดออกไปเพื่อกลายมาเป็นวัตถุดิบให้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เคราะห์ดีที่แหล่งของวัตถุดิบเหล่านี้มาจากสุนัขไม่ใช่คน ไม่อย่างนั้นในสถานการณ์แบบนี้พันธมิตรหมื่นเซียนย่อมไม่อาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แน่ พวกเขาย่อมให้กฎหมายจัดการคนพวกนี้ไปตั้งนานแล้ว”
หวังลู่พยักหน้าช้าๆ กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
หลิวหลีไม่อาจมองเห็นฉากเบื้องหน้าได้อีก ดวงตากระจ่างใสของนางวาววับไปด้วยน้ำตา “ทะ ทำไมพวกเขาถึงใจร้ายขนาดนี้ พวกเขาควรจะรักสัตว์ภูตไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวชียิ้มน้อยๆ “คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์รักสัตว์ภูต? เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดเลย ลองคิดถึงชื่อสำนักให้ดีๆ สิ เชี่ยวชาญนะไม่ใช่ชมชอบ หากคนพวกนั้นรักสัตว์จริงๆ จะเรียกตัวเองว่าพวกเชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ได้ยังไง จะกล้าสวมปลอกคอพรรค์นั้นให้สัตว์ภูตได้ยังไง”
หลิวหลียังไม่อาจเข้าใจได้ “แต่ในเมืองสว่างธรรม พวกเขาป่าวประกาศว่า…”
เสี่ยวชีขัดขึ้นพร้อมเหยียดยิ้ม “ลัทธิกินผักน่ะเหรอ ยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่ สัตว์ภูตน่ะมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกสัตว์กินเนื้อที่ไม่อาจจะย่อยอาหารจำพวกพืชผักได้ แล้วเจ้าว่าคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เลี้ยงพวกมันด้วยอะไรกันเล่า ก็ด้วยการฆ่าสัตว์จำนวนมากเพื่อเอาเนื้อน่ะสิ พวกเขาแค่ห้ามคนธรรมดากินเนื้อ เพราะในสายตาพวกเขา คนธรรมดาเหล่านั้นต่ำยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก นี่ยังไม่พูดถึงที่คนของสาขานี้น่าจะเป็นพวกรักแมว พวกนั้นถึงได้เป็นศัตรูกับสุนัขภูต… พูดง่ายๆ ก็คือจำเอาไว้ว่าในจำนวนผู้บำเพ็ญเซียนนับหมื่นของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ส่วนใหญ่ใจกว้างและจริงใจกับยอมรับความรักที่เป็นสากล ทว่าหลายปีมานี้สำนักขยับขยายรวดเร็วเกินไป ทำให้สำนักมีทั้งคนดีและคนชั่ว ท่ามกลางคนพวกนั้นก็มีพวกสารเลวอย่างในเขาอวิ๋นไท่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นเจ้าว่าทำไมคนพวกนี้จึงไม่อาจอยู่ในสำนักงานใหญ่ของแคว้นทักษิณสวรรค์และต้องระเห็จมาถึงที่แคว้นสายหมอกกันเล่า”
หลิวหลียังคงงงงวยอยู่ เห็นได้ชัดว่านางตามไม่ทันตั้งแต่ช่วงไหนสักช่วงแล้ว
เห็นดังนั้นหวังลู่ก็ตบหัวนางเบาๆ “เจ้าแค่ต้องจำไว้สามอย่าง ข้อแรก คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เป็นพวกโกหก ข้อสอง ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นคนเลว ข้อสาม ดังนั้นพวกเราจึงต้องสู้กับคนพวกนั้น ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือลังเลทั้งสิ้น”
หลิวหลีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้า “เอ่อ ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็เข้าใจแล้ว”
เสี่ยวชีที่อยู่ใกล้ๆ ทำหน้าประหลาดใจ นางเอ่ยปากถาม “เด็กคนนี้…”
หวังลู่ทำท่าวนนิ้วเป็นวงกลมที่ด้านข้างศีรษะ เมื่อเห็นเช่นนั้น เสี่ยวชีก็แสดงสีหน้าเข้าใจออกมาในทันที ตอนนี้สายตาที่นางมองหลิวหลีมีความรู้สึกเห็นใจเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า
“สรุปก็คือ สถานการณ์ก็อย่างที่เจ้าเห็น ครั้งก่อนที่ข้าผ่านมาที่นี่เรื่องราวมันแย่ยิ่งกว่านี้เสียอีก”
หวังลู่ถาม “ท่านก็เลยกินสุนัขพวกนี้เสีย”
เสี่ยวชียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ไม่อย่างนั้นนั้นจะให้ทำยังไง ถูกล่ามและดูดเอาวิญญาณไปแบบนั้น พวกมันก็ถือว่าตายแน่แล้ว สุดท้ายพอสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สูบเอาอารมณ์ด้านลบไปหลอมเป็นปลอกคอวิเศษเรียบร้อย พวกมันก็จะเหลือเพียงร่างและพลังวิญญาณขั้นปฐมที่แหว่งวิ่น ข้าคิดว่าไหนๆ ไม่ช้าก็เร็วพวกมันก็ต้องตาย ให้พวกมันมาตายในท้องข้าแล้วไปเกิดให้เร็วหน่อยก็น่าจะดีกว่า”
หวังลู่พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ เห็นได้ชัดว่านักบวชเซนเนื้อสุนัขผู้นี้ไม่ใช่คนรักสุนัข ดังนั้นการฆ่าสุนัขภูตหลายพันตัวเพื่อปลดเปลื้องพวกมันน่าจะถือว่าเป็นการกระทำที่ใจบุญมากแล้ว ส่วนเรื่องซากศพ นางก็ไม่ได้ใจดีมากพอที่จะเสียเวลาขุดหลุมฝังให้ ดังนั้นการกินพวกมันจึงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
“น่าเสียดายที่สุนัขไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นพันๆ ตัวต้องมาตายอยู่ในท้องท่าน”
เสี่ยวชีสวนกลับอย่างเดือดดาล “เฮ้ๆ คนของสำนักกระบี่วิญญาณสอนศิษย์กันเช่นนี้หรือ ตายเพื่อปากท้องกับตายอยู่ในท้องความหมายคนละอย่างเลยเข้าใจไหม!”
“โทษทีๆ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้งั้นข้าเองก็ไม่มีปัญหา แทนที่จะต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานในสถานที่แบบนี้ สู้ตายๆ ไปเสียน่าจะดีกว่า”
สำหรับหวังลู่แล้ว ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีเป้าหมายเดียวกัน และศิษย์พี่คุณหนูเจ็ดผู้นี้ก็ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ที่เกินทน เช่นนั้นทั้งสองฝ่ายก็น่าจะร่วมงานกันได้อย่างสุขกายสบายใจ
“ดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าศิษย์ของหวังอู่ย่อมเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา”
หวังลู่เองไม่ได้ค้านคำพูดนี้
เมื่อหวังลู่ตกปากรับค่ำว่าจะช่วย เสี่ยวชีก็ดูมีกำลังใจขึ้นมาก นางกลอกตา มองไปยังสุนัขภูตนับพันตัวที่ทุกข์ทรมานอยู่บนยกพื้นนรกนั่น จากนั้นก็เอามือเช็ดปาก “เพื่อฉลองให้กับการร่วมมือของเรา มากินอาหารฉันท์มิตรกันก่อนดีกว่า!”
จากนั้นนางก็ทำท่าจะฝ่าอาณาเขตของศัตรูเพื่อปล้นเอาเนื้อของสุนัขภูตเหล่านั้น
หวังลู่ตกตะลึง “…ท่านแน่ใจหรือ ที่นี่? โต้งๆ กันแบบนี้น่ะรึ”
เมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวชี หวังลู่ก็รีบอธิบาย “ข้าหมายถึง ครั้งก่อนที่ท่านทำแบบนี้ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สูญเสียใหญ่หลวง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าที่นี่จะเปิดโล่งให้ท่านกระทำการอุกอาจซ้ำสองได้อีก แม้เราจะสามารถดั้นด้นมาจนถึงตรงนี้ได้ แต่เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะปล่อยให้เราเข้ามาเพื่อที่จะจับเราได้ง่ายๆ”
จากนั้นเพื่อให้คำโน้นน้าวของเขามีน้ำหนักขึ้น หวังลู่จึงดึงตัวหลิวหลีมาข้างๆ “เสียนเอ๋อร์ ข้าว่าจะถอนกำลังออกจากที่นี่ ญาณหยั่งรู้ของเจ้าว่ายังไงบ้าง”
หลิวหลีพูดอย่างจริงจัง “ข้าเห็นด้วยกับศิษย์พี่ หากเรายังดึงดันไปต่ออาจจะเกิดอันตรายได้”
ดวงตาของเสี่ยวชีดูซับซ้อนยิ่งขึ้น “เจ้าคิดว่าคำพูดของเด็กสมองทึบนี่มีค่าควรให้เชื่อด้วยหรือ”
“ขะ ข้าไม่ได้สมองทึบนะ” หลิวหลียืนยันเสียงเบาแต่หนักแน่น “อาจารย์ให้ข้าทำบททดสอบแล้ว”
หวังลู่จับศีรษะของนางอย่างหงุดหงิด “เจ้าเงียบก่อน”
ทว่าสายไปเสียแล้ว สุดท้ายเสี่ยวชีก็ไม่อาจต้านทานน้ำย่อยของตัวเองได้ ทั้งยังไม่ใส่ใจคำพูดโน้มน้าวของหวังลู่และหลิวหลี นางขยับนิ้ววาดตราสัญลักษณ์ อาคมลึกลับปะทุออกมาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนพลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบด้านไปจนสิ้น
ทว่าในตอนนั้นเองก็มีบางอย่างเกิดขึ้น พลังปราณฟ้าดินโดยรอบที่สงบนิ่งจู่ๆ ก็พลุ่งพล่านไปทั่ว เนินเขาที่อยู่รอบด้านขยับเข้ามากลายเป็นกรงธรรมชาติที่กักคนด้านในเอาไว้ รอบตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยกำแพงหินที่ปิดกั้นแสงอาทิตย์จนก่อให้เกิดเงาดำมืด เสียงแหลมๆ ของหญิงสาวที่ฟังแล้วยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแต่มีความมุ่งร้ายเต็มเปี่ยมก็ดังก้องขึ้นมาในกรงขังนี้
“ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกิน ในที่สุดเจ้าก็มาจนได้!”