บทที่ 692 เศร้าใจ

บัลลังก์พญาหงส์

พอหลี่เย่รู้เรื่องซวนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ต่อว่าซวนเอ๋อร์ แต่กลับหัวเราะร่าพูดว่า “ทำได้ดี ควรเป็นเช่นนี้“

 

 

ดังนั้นซวนเอ๋อร์ที่ยังหน้ามุ่ยคอตกจึงตาโตเป็นประกาย จับหลี่เย่เอาไว้กระซิบกระซาบพูดจ้อไปกว่าค่อนวัน

 

 

จิ้งหลิงมองอยู่ข้างๆ รู้สึกจนปัญญา เอ่ยเตือนหลี่เย่เสียงเบา “องค์รัชทายาทควรตำหนิซวนเอ๋อร์หน่อยนะเพคะ มิเช่นนั้นหายไปโดยไม่บอกใครอีกจะทำอย่างไรเล่า? วันนี้หาไม่พบ หม่อมฉันตกใจแทบตาย แม้แต่พระชายาก็คิดว่าไม่เหมาะสมเพคะ”

 

 

หลี่เย่ลูบหัวของซวนเอ๋อร์ “ไม่เป็นไร ซวนเอ๋อร์รู้จักหนักเบา แต่หลังจากนี้หากเจ้าทำเรื่องเช่นนี้อีก ควรต้องบอกผู้ใหญ่ก่อน พวกเราอาจจะช่วยเจ้าคิดได้ด้วย”

 

 

คำพูดของหลี่เย่ยังแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูหลายส่วน ตำหนิเหมือนไม่ได้ตำหนิ

 

 

จิ้งหลิงฟังแล้วลอบกลอกตามองไม่ได้

 

 

หลังจากนั้นหลี่เย่ก็ถามเรื่องสำคัญที่จิ้งหลิงต้องการปรึกษาเขา

 

 

จิ้งหลิงถึงได้เอ่ยพูดกับเขาเสียงเบาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “หม่อมฉันคิดว่าฮ่องเต้อาจจะไม่เชื่อว่าซวนเอ๋อร์ทำเอง องค์รัชทายาทต้องดูให้ดีนะเพคะ”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” ที่จริงเขาเข้าใจมานานแล้ว แต่ไม่เชื่อแล้วอย่างไร? หรือที่ซวนเอ๋อร์พูดจะไม่ใช่เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?

 

 

จากนิสัยของฮ่องเต้แล้ว ต่อให้เขาไม่เชื่อซวนเอ๋อร์ แต่เขาก็ไม่เชื่อกู้ซีด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

กู้ซี…เขาไม่น่าเมตตานางเพียงเพราะเป็นคนตระกูลกู้เลย มิเช่นนั้นกู้ซีคงไม่มีโอกาสข่มขู่ถาวจวินหลันเช่นวันนี้

 

 

กู้ซีทำเรื่องเช่นนี้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องช่วยปิดบัง ค่อยๆ ปล่อยออกมาถือว่าดีที่สุดแล้ว สำหรับตอนนี้…ก็ให้กู้ซีได้ลิ้มรสความรู้สึกเวลาสูญเสียความโปรดปรานไปก่อนเถิด

 

 

หลี่เย่ไปหาองค์ชายเจ็ด

 

 

เรื่องแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นอ๋อง ฮ่องเต้ยังไม่ยอมประกาศราชโองการออกมาสักที ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

 

องค์ชายเจ็ดรักษาร่างกายอยู่ตลอด อาจด้วยเบื่อหน่ายมาก พอได้พบหลี่เย่ก็ถามเสียงละห้อยว่า “พี่รอง เมื่อไรข้าจะได้รับหน้าที่บ้างพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

หลี่เย่หุบยิ้ม “เสด็จพ่อไม่ยอมประกาศราชโองการ ใช้ข้ออ้างเรื่องอาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีแล้วเลื่อนเรื่องนี้ออกไปหลายครั้ง ข้าพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้เจ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลเมื่อไร”

 

 

องค์ชายเจ็ดย่อมต้องผิดหวัง จากนั้นก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เสด็จพ่อเป็นอะไรไป? เริ่มระแวงข้าแล้วหรือ? หรือว่าเลอะเลือนแล้วจริง?” องค์ชายเจ็ดท่าทางโกรธเคือง จึงพูดคำไม่น่าฟังนัก

 

 

หลี่เย่หัวเราะ พูดเสียงเบา “อาจเพราะระแวงข้ากระมัง กลัวว่าอำนาจในมือข้าจะยิ่งมากขึ้น แล้วบีบให้เขาลงจากตำแหน่ง เป็นข้าที่ทำให้เจ้าลำบากไปด้วย”

 

 

องค์ชายเจ็ดใจกระตุกวูบ เรื่องนี้ไปกระทบจิตใจของเขา สุดท้ายเขาก็อดพูดไม่ได้ “ที่จริงตอนนี้ก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว เสด็จพ่อไม่เอาเรื่อง งานในราชสำนักก็ทิ้งขว้าง เอาแต่สนใจจวงเฟย…” อย่างไรกู้ซีก็สกุลกู้ ดังนั้นตอนที่พูดออกมา องค์ชายเจ็ดถึงได้เหลือบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง

 

 

หลี่เย่ไม่ได้ตอบสนอง

 

 

ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงพูดต่อไป “เสด็จแม่ของข้าบอกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หากฮองเฮาเป็นอะไรไป เกรงว่าจวงเฟยจะขึ้นเป็นฮองเฮาคนต่อไป พี่รองไม่ทราบหรอกว่า พอมีของดีเข้าวังหลวงก็ขนไปให้ทางจวงเฟยทั้งหมด ถึงล้ำเส้นข้ามขนบธรรมเนียมก็ไม่สนใจ”

 

 

แน่นอนว่าหลี่เย่พอรู้เรื่องนี้ แต่องค์ชายเจ็ดพูดออกมาโต้งๆ เขาก็ทำอะไรไม่ถูก

 

 

“เสด็จแม่ของข้าบอกว่า จวงเฟยคงจะใช้วิชามนตร์ดำอะไรกับเสด็จพ่อเป็นแน่แท้ มิเช่นนั้นเสด็จพ่อจะโปรดปรานนางขนาดนั้นได้อย่างไร? แม้แต่อี๋เฟยที่ได้รับความโปรดปรานก็ไม่เห็นเป็นขนาดนี้…” บางทีองค์ชายเจ็ดคงจะเก็บมานานแล้ว ตอนนี้ถึงได้พูดระบายอย่างไม่เก็บงำเลยแม้แต่น้อย

 

 

หลี่เย่นั่งอยู่พักหนึ่ง เห็นองค์ชายเจ็ดไม่พูดแล้วถึงได้ยิ้มบอกแผนการของตนเอง

 

 

หลังจากองค์ชายเจ็ดได้ยินก็ตอบรับ “เสด็จแม่ของข้าคงคาดหวังให้เป็นเช่นนี้ นางจะต้องทำได้ดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” สำหรับคนอย่างกู้ซี บางทีไม่เพียงแค่เสด็จแม่ของเขา พระสนมคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน นั่นคือต้องกำจัดไปเพื่อความสงบสุขภายหลัง

 

 

“ขาของเจ้าเล่า? เป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่เย่ยิ้มแย้ม ก้มลงไปมองขาขององค์ชายเจ็ด อาการบาดเจ็บบนขาขององค์ชายเจ็ดนั้นน่าห่วงที่สุด ตอนนั้นหมอหลวงบอกว่าเป็นไปได้สูงที่จะพิการ แม้ว่าจะไม่รุนแรง แต่ก็ส่งผลกับการเดิน

 

 

องค์ชายเจ็ดกำลังหัวเราะก็ชะงักไป จากนั้นก็สะบัดมือยิ้มอย่างไม่ยี่หระพลางพูดว่า “เพียงไม่เท่ากันเท่านั้น ใส่รองเท้าสูงข้างต่ำข้างก็มองไม่ออกแล้ว สามารถขี่ม้าล่าสัตว์ได้เช่นกัน ออกรบฆ่าศัตรูก็ได้เช่นกัน ต้องกลัวอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

หลี่เย่ขมวดคิ้วน้อยๆ ในใจรู้ว่าต่อให้องค์ชายเจ็ดพูดเช่นนี้ นั่นย่อมไม่อาจรักษาให้หายขาดได้เป็นแน่แล้ว แต่ความรู้สึกเสียดายเช่นนี้กลับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก็หายไป เมื่อเขาสบเข้ากับรอยยิ้มไม่ยี่หระขององค์ชายเจ็ด เขาก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นเดียวกัน “ใช่แล้ว บุรุษหาญกล้าองอาจ มีอะไรต้องกลัวกัน? ขอแค่ยังมีชีวิตก็พอแล้ว”

 

 

องค์ชายเจ็ดถอนหายใจ หัวเราะอย่างสบายใจ “พี่รองพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ” ในใจคิดว่าโชคดีที่พี่รองไม่ได้พูดสงสารหรือปลอบใจ ถ้าเช่นนั้นเขาต้องรับไม่ได้เป็นแน่

 

 

พอออกมาจากวังขององค์ชายเจ็ด หลี่เย่ก็หนักใจ เหมือนมีหินก้อนใหญ่มากดทับเอาไว้ ที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะเขา องค์ชายเจ็ดคงไม่อยู่ที่นั่น และยิ่งไม่ต้องไปสืบเรื่องที่น่าอับอายเหล่านั้น แน่นอนว่าไม่ต้องได้รับบาดเจ็บด้วย ดังนั้นตอนนี้องค์ชายเจ็ดขาพิการ ก็เป็นความรับผิดชอบของเขา อย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเศร้าอย่างห้ามไม่ได้

 

 

หลี่เย่กลับไปยังวังตวนเปิ่นอย่างทนไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้ไปทำให้ใครแตกตื่น ตรงไปหาถาวจวินหลัน คิดว่าต่อให้ต้องพูดคุยผ่านหน้าต่างก็ยังดี

 

 

แต่รอจนได้พบถาวจวินหลันแล้ว เขากลับไม่พอใจที่เป็นเช่นนี้ ฉวยโอกาสตอนที่รอบข้างไม่มีคน กระโดดข้ามหน้าต่างเข้าไป

 

 

บรรดาบ่าวรับใช้พากันออกไปห้องอื่นอย่างรู้งาน จะได้ให้สามีภรรยาสองคนได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

 

 

ถาวจวินหลันได้กลิ่นหอมสดชื่นของลมหิมะจากร่างของหลี่เย่ อดขยับไปกอดเอวเขาเอาไว้ไม่ได้ จนแนบชิดไปกับอ้อมอกของเขา พูดเสียงเบา “อย่าขยับ ขอหม่อมฉันกอดหน่อยเพคะ”

 

 

หลี่เย่ได้แต่นิ่งค้างไว้ ทั้งยังกระชับถาวจวินหลันเข้ามาในอ้อมกอด สูดดมกลิ่นหอมของเส้นผมที่คุ้นเคย ความหงุดหงิดและหมองหม่นใจก็ค่อยๆ สงบลง

 

 

เพียงไม่นาน บรรยากาศภายในห้องก็เปลี่ยนเป็นทั้งเงียบสงบและอบอุ่น

 

 

ทั้งสองคนอยู่ท่านั้นนานทีเดียว ถาวจวินหลันถึงได้ถอนหายใจเบาๆ “ซวนเอ๋อร์โตไวจนไม่ทันตั้งตัวเลยเพคะ”

 

 

หลี่เย่คิดถึงวีรกรรมของซวนเอ๋อร์ ก็ทอดถอนรำพึงรำพัน พูดเห็นด้วยเบาๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมาของถาวจวินหลัน อดหัวเราะไม่ได้ “พอเจ้าคนเล็กคลอดออกมา พวกเราก็จะมีสมาชิกครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกคน ถึงเวลานั้น ไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์จะเป็นพี่ชายที่ดีได้หรือไม่”

 

 

ถาวจวินหลันอดพูดปกป้องซวนเอ๋อร์ไม่ได้ “ต้องเป็นได้แน่เพคะ”

 

 

หลี่เย่ยิ้มแย้ม จากนั้นถึงได้พูดเรื่องที่เขาเศร้าใจ “ขาของน้องเจ็ดทิ้งอาการบาดเจ็บเอาไว้ หลังจากนี้เกรงว่าคงเดินเป๋เล็กน้อย”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการมากนัก อย่างไรทุกคนก็พอจะรู้อาการบาดเจ็บขององค์ชายเจ็ด นางถอนหายใจทันที “แค่รักษาชีวิตได้ก็ถือว่าดีมากแล้วเพคะ”

 

 

“ที่เขาเจ็บก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า” หลี่เย่ถอนหายใจ “พอข้าคิดเช่นนี้ข้าก็รู้สึกผิดนัก”

 

 

“ถือเป็นความผิดของท่านได้อย่างไร? อีกอย่าง องค์ชายเจ็ดมีความมุ่งมั่น เขาคงไม่ยอมอยู่ในเมืองหลวงไปตลอดชีวิตหรอก อย่างไรก็ต้องเผชิญกับอันตรายทั้งหลายเพคะ” ถาวจวินหลันเอ่ยปลอบประโลม แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของหลี่เย่มากเช่นกัน สุดท้ายนางก็ลูบหลังหลี่เย่เบาๆ “หากท่านยังก้าวผ่านไปไม่ได้ ก็แก้แค้นแทนเขาสิเพคะ”

 

 

หลี่เย่รับคำ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกพักใหญ่

 

 

“ถึงเวลาต้องรื้อฟื้นสาเหตุการตายของหงฉวีแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันไม่อยากให้หลี่เย่จมอยู่กับเรื่องน่าเสียใจ จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูด “ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นกู้ซีหรือฮองเฮา พวกเราก็ควรต้องกำจัดให้สิ้นซากแล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า สุดท้ายก็พูดว่า “ถ้าโน้มน้าวให้เสด็จพ่อปลดฮองเฮาลงได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด” ปลดฮองเฮาออกไปตอนนี้คิดว่าคงไม่แต่งตั้งฮองเฮาใหม่แล้ว พอเป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็จะไม่ถูกกดดันอีก

 

 

ถาวจวินหลันยิ้ม พูดเสียงเบา “ก่อนหน้านั้นต้องทำให้กู้ซีสูญเสียความโปรดปรานไปก่อนเพคะ” ตอนนี้นางไม่เพียงคิดให้กู้ซีสูญเสียความโปรดปราน ทั้งยังต้องการชีวิตของกู้ซีด้วย กู้ซีตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางหลายครั้งหลายครา ลงมือกับนาง หากนางไม่ตอบโต้อะไรกลับไป ไม่ใช่ว่ารอความตายหรืออย่างไร

 

 

ด้วยเพราะเห็นแก่หน้าของคนสกุลกู้อย่างไทเฮาและแม่แท้ๆ ของหลี่เย่ นางถึงได้ให้โอกาสกู้ซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กู้ซีเล่า? นางไม่เห็นสัมผัสได้ถึงประสงค์ดีของกู้ซีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังอยากเอาชีวิตนางด้วยซ้ำไป

 

 

นางไม่ใช่คนใจดี ย่อมไม่อาจปล่อยให้ตนเองตกเป็นรองเช่นนี้ตลอดไป

 

 

แต่เรื่องเหล่านี้อย่าบอกให้หลี่เย่ลำบากใจเลยดีกว่า อย่างไรเขาก็ยังมีสายเลือดของตระกูลกู้ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย กู้อวี่จื๋อเป็นลุงของเขา อีกทั้งยังช่วยเขาตั้งมากมาย ดังนั้นเรื่องนี้ปล่อยให้นางทำเองก็พอแล้ว

 

 

“หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่กี่วันเจ้าก็ออกมาได้แล้ว” หลี่เย่แย้มยิ้ม จงใจผ่อนคลายบรรยากาศขมุกขมัว “ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงมีเรื่องไม่น้อย เจ้าถือโอกาสตอนนี้รักษาร่างกายให้ดีเถิด”

 

 

“เพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มรับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอด “จิ้งผิง…เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”

 

 

แม้รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรถาวจิ้งผิงก็ต้องออกมา แต่นางก็ยังกังวลว่าถาวจิ้งผิงจะทนรับความลำบากในคุกไม่ได้ อีกทั้งไม่ต้องพูดถึงทางถาวจิ้งผิง ทางองค์หญิงเก้าเองก็คงกินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นเดียวกัน

 

 

“จิ้งผิงเพียงแค่ไปอยู่ในนั้นช่วงเดียว กลับไปก็ออกมาแล้ว” หลี่เย่หัวเราะ เอ่ยปลอบถาวจวินหลันอย่างสงบนิ่ง “เจ้าไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ ใครจะกล้าทำอะไรเขา? เพียงแค่ไม่อิสระเท่านั้นเอง ที่อยู่ก็เป็นที่ที่ดีที่สุด ของกินก็เป็นของที่องค์หญิงเก้าให้คนส่งมาโดยเฉพาะทุกวัน”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็สบายใจ จากนั้นถึงได้หลุบสายตามองลวดลายบนผ้าปักบริเวณชายกระโปรงของตน “หวังฮ่วนจื้อยังไม่เคลื่อนไหวหรือเพคะ?” หวังฮ่วนจื้อถือเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลหวัง ตอนนี้ควรเคลื่อนไหวได้แล้ว

 

 

หลี่เย่หัวเราะเสียงเบา “แค่ตัวตลกเต้นแร้งเต้นกาเท่านั้น ไม่เห็นต้องกลัว”