บทที่ 693 เปรียบเทียบ

บัลลังก์พญาหงส์

ตกดึกตอนที่กู้ซีกำลังล้างเครื่องเครื่องประทินโฉม ฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างหลังเปรียบเทียบความแตกต่างของใบหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย คนหนึ่งมีใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ ส่วนอีกคนหนึ่งกลับแก่หง่อม ไม่เพียงผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน ทั้งยังมีรอยเ**่ยวย่นชัดเจน

 

 

ฮ่องเต้ยื่นมือออกมาลูบใบหน้าตนเอง สัมผัสร่องลึกที่พาดผ่านไปมา แล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกู้ซี กลับรู้สึกนุ่มลื่นเรียบเนียนเหมือนเต้าหู้ ความแตกต่างเช่นนี้ทำให้มือของฮ่องเต้สั่นน้อยๆ อดไม่ได้ที่จะออกแรงบีบหน้าของกู้ซี ในขณะเดียวกัน ดวงตาก็ประกายความเผด็จการออกมา

 

 

กู้ซีตัวสั่นเล็กน้อย เหมือนได้รับอากาศเย็นยาวค่ำจนสั่นสะท้าน หรือความโกรธที่แผ่ออกมาจากตัวฮ่องเต้

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม แต่ดวงตาแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ

 

 

“ฮ่องเต้เพคะ” กู้ซีพูดเรียกเสียงออดอ้อน พูดอย่างน่าสงสาร “เจ็บเพคะ”

 

 

ฮ่องเต้ถึงได้สติกลับมา จึงปล่อยมือออกนิ่งๆ ก่อนไปนั่งปลายเตียง สายตาเยือกเย็นมองกู้ซีล้างเครื่องประทินโฉมต่อไป

 

 

กู้ซีเห็นสายตาเช่นนี้มาหลายคราแล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นชินหรือปรับตัวได้เสียที นางเห็นสายตาเช่นนี้ย่อมล้างหน้าได้อย่างสบายใจ ความหวาดกลัวค่อยๆ แทรกซึมมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ท่าทางของนางจึงดูแข็งเกร็งยิ่งนัก

 

 

กู้ซีลอบคิดแค้นอี้กุ้ยเฟย หากไม่ใช่เพราะอี้กุ้ยเฟยมาเยือน แล้วฮ่องเต้จะแปลกไปเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่เดิมนางเกือบจะกล่อมฮ่องเต้ได้แล้วเชียว

 

 

ใช่แล้ว ทุกอย่างเกิดจากอี้กุ้ยเฟย พอนึกถึงท่าทีตอนที่อี้กุ้ยเฟยมาในวันนั้น อีกทั้งท่าทีของฮ่องเต้ตอนนี้ กู้ซีก็เข้าใจแล้วว่าอี้กุ้ยเฟยตั้งใจทำอะไร

 

 

ตอนที่อี้กุ้ยเฟยมาหา ก็ร้องห่มร้องไห้เรื่องขาขององค์ชายเจ็ดผิดปกติ ใบหน้าซูบเซียวไม่ผ่านการผัดแป้ง ดวงตาแดงทั้งคู่แดงระเรื่อ อี้กุ้ยเฟยก็อายุมากแล้ว แม้ว่าบำรุงดีแค่ไหน แต่สุดท้ายก็สู้ร่องรอยแห่งกาลเวลาไม่ได้ บวกกับความกังวลใจในระยะนี้ แม้ผิวยังขาวใส แต่ก็มีรอยเ**่ยวย่นเกิดขึ้นไม่น้อย นี่เป็นเรื่องธรรมดา อี้กุ้ยเฟยอยู่ข้างกายฮ่องเต้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ฮ่องเต้ก็ชราแล้ว นางก็คงไม่ได้อ่อนเยาว์แล้วเช่นกัน

 

 

แต่แปลกที่อี้กุ้ยเฟยไม่ได้หมอบร้องไห้เบื้องหน้าฮ่องเต้ กลับดึงนางแล้วร้องไห้ ยังพูดอีกว่า “ตอนนี้ข้าแก่แล้ว สู้น้องสาวที่อ่อนวัยและได้รับความโปรดปรานไม่ได้ เจ้าเจ็ดเป็นดั่งชีวิตของข้า ยังไม่ได้แต่งงานก็ต้องเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร? หากข้าตามฮ่องเต้ไปแล้ว เจ้าเจ็ดอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร?

 

 

อี้กุ้ยเฟยสะอื้นไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ ฮ่องเต้ก็เริ่มใจอ่อน ไม่ได้ไปเอาความเรื่องที่ว่า ‘ข้าตามฮ่องเต้ไป’ ที่เหมือนกับการสาปแช่ง แต่กลับหันมามองกู้ซีที่อยู่ข้างๆ ทีหนึ่งอย่างมีเลศนัย

 

 

ตอนนั้นกู้ซีไม่เข้าใจว่าสายตาของฮ่องเต้หมายความว่าอะไร? แต่ตอนนี้ยังมีอะไรให้สงสัยอีก? ยิ่งนางอ่อนวัยงดงามเพียงใด ก็ยิ่งเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงใจฮ่องเต้เท่านั้น แต่เดิมฮ่องเต้ที่อารมณ์ไม่ดีเพราะคำพูดของซวนเอ๋อร์ ตอนนี้ยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นไปอีก

 

 

หากเป็นเรื่องอื่นยังพอทำเนา นางยังมั่นใจว่าเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ แต่เรื่องนี้…

 

 

สุดท้ายกู้ซีก็วางหวีลงพลางลุกขึ้นมา หยิบยาเม็ดสีม่วงทองขนาดเท่านิ้วก้อยออกมาจากกล่องใบเล็กที่ประณีตวิจิตร พลางรินน้ำให้ด้วยตัวเอง แล้วถึงได้เดินไปหาฮ่องเต้ พูดออดอ้อนให้ฮ่องเต้กินยา “ฮ่องเต้เพคะ ถึงเวลาเสวยโอสถแล้วเพคะ”

 

 

ฮ่องเต้ไม่ค่อยยินยอมนัก “ไม่เห็นจะได้ผล” ความหมายก็คือไม่อยากกิน

 

 

กู้ซีตกใจ รีบเอ่ยกล่อมฮ่องเต้ “ฮ่องเต้เพคะ จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันคิดว่าฮ่องเต้เสวยยาอายุวัฒนะนี้แล้วดูมีเรี่ยวแรงกว่าแต่ก่อนมาก พระองค์เองก็เคยตรัสมิใช่หรือว่า หลังจากเสวยโอสถนี้แล้วเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มๆ”

 

 

“แต่ข้ายังแก่ลงเหมือนเดิม” ฮ่องเต้จ้องมองกู้ซีนิ่งๆ ก่อนยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของกู้ซี

 

 

กู้ซีเผยรอยยิ้มน้อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานขึ้น “นี่เพียงแค่ภายนอกเท่านั้นเพคะ รูปลักษณ์แก่ลงแล้วอย่างไร? ขอเพียงพระองค์ยังมีเรี่ยวแรง มีพระชนมายุยิ่งยืนนานก็นับเป็นเรื่องดีแล้ว พระองค์ว่าจริงหรือไม่? ไม่ว่ารูปลักษณ์ของพระองค์จะเปลี่ยนไปเช่นไร หม่อมฉันก็จะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอเพคะ”

 

 

รอยยิ้มของกู้ซีกูดูจริงใจและงดงาม ในดวงตาเต็มไปด้วยความเทิดทูนบูชา “ฮ่องเต้ พระองค์คือที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของหม่อมฉัน ไม่ว่าบนสวรรค์หรือในนรก หม่อมฉันยินยอมติดตามฮ่องเต้ไปทุกที่เพคะ”

 

 

“หากข้าตายไป เจ้ายอมร่วมฝังหรือ?” ฮ่องเต้บีบคางสวยของกู้ซีที่คล้ายสลักมาจากหยก ถามด้วยสายตาลุ่มลึก

 

 

กู้ซีสบตาฮ่องเต้เงียบๆ ก่อนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ยอมเพคะ”

 

 

ฮ่องเต้กลับไม่เห็นความเสแสร้งจากแววตาของกู้ซีเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายฮ่องเต้ก็ปล่อยมือจากกู้ซี ก่อนหยิบยาเข้าปาก และกินน้ำตามเพื่อให้ชุ่มคอ แล้วถอนหายใจ ”ถึงยาอายุวัฒนะนี้มีผลดี แต่หากไม่กิน ข้าก็นอนไม่หลับ รสชาติแย่ ใจก็หงุดหงิดฟุ้งซ่านยิ่งนัก”

 

 

กู้ซีไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ปรนนิบัติถอดเสื้อผ้าให้ฮ่องเต้บรรทม ค่อยๆ หลุบตาลง ไม่เหมือนเมื่อครู่นี้ที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและชิงชัง

 

 

พอฮ่องเต้หลับตาลงแล้ว กู้ซีถึงถอยออกไปให้คนเตรียมน้ำรับสำหรับล้างหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจ กัดฟันเข่นเคี้ยวอย่างแรง ลอบก่นด่าในใจว่า ตาแก่นั่นยิ่งเอาใจยากขึ้นทุกวันแล้ว!

 

 

กลางดึกคืนนั้น เจียงอวี้เหลียนตายไปอย่างเงียบเชียบไร้ข่าวคราว ตราบจนฟ้าสาง พอมีคนมาพบ ร่างกายก็เย็นเชียบไปเสียแล้ว

 

 

หลี่เย่โมโหอย่างมาก สั่งให้โบยตีคนรับผิดชอบดูแลอย่างซังจืออย่างหนักสิบที จากนั้นก็ส่งคนไปจัดการเรื่องศพของเจียงอวี้เหลียน ซึ่งก็คือโจวอี้ที่ปกติไม่ออกห่างจากเขา เท่านี้ก็เห็นได้ถึงความใส่ใจที่เขามีต่อเจียงอวี้เหลียน

 

 

ไม่นานทุกคนก็รู้กันทั่ว แม้เจียงอวี้เหลียนไม่ได้ความ ไม่ได้รับความโปรดปราน แต่องค์รัชทายาทกลับเป็นคนใจกว้างมีศีลธรรม

 

 

ปรากฏว่า โจวอี้ยังไปไม่ถึงสองชั่วยาม ตอนที่สั่งให้คนสวมใส่ชุดพิธีศพ พวกเขาก็บังเอิญพบจดหมายลาตายของเจียงอวี้เหลียน

 

 

จดหมายลาตายของเจียงอวี้เหลียนนั้นวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งของนาง แต่น่าเสียดายที่เจียงอวี้เหลียนสลบไม่ได้สติอยู่นาน จึงไม่มีใครไปขยับหรือแตะต้องโต๊ะเครื่องแป้งมาก่อน ย่อมไม่มีใครพบจดหมายลาตายฉบับนี้มาก่อน

 

 

ข่าวนี้กระจายออกไปโดยพลัน เพียงไม่นาน ทุกคนก็พากันพูดว่าพระชายาองค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย จดหมายลาตายฉบับนั้นย่อมถูกส่งไปถึงเบื้องหน้าหลี่เย่และฮ่องเต้ ตอนนั้นหลี่เย่กำลังพาเจียงฟู่ไปหาฮ่องเต้ บอกฐานะของเจียงฟู่ให้ฮ่องเต้ทราบ อีกทั้งยังเล่าถึงเรื่องความจริงที่เจียงฟู่ถูกไล่ออกจากตระกูลเจียง

 

 

หลี่เย่คิดว่า ในเมื่อเจียงอวี้เหลียนตายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เพียงแค่ชดใช้ให้เจียงฟู่อย่างดีก็พอ

 

 

และเจียงสือเหนียนทุ่มเทต่อราชสำนัก ก็ควรต้องปฏิบัติกับลูกหลานของตระกูลเจียงให้ดี

 

 

แต่พอจดหมายลาตายถูกส่งมา บนจดหมายไม่เพียงบอกสาเหตุของการฆ่าตัวตาย ทั้งยังเล่าถึงขั้นตอนที่ตนเองร่วมมือกับชายารัชทายาทคนก่อน เป็นการร่วมมือทั้งภายนอกและภายในเพื่อตลบหลังกู้ซี เขียนขอโทษกู้ซี ทั้งๆ ที่รู้ว่ากู้ซีปักใจรักหลี่เย่ แต่นางกลับเอากู้ซีมาผูกติดกับฮ่องเต้เพราะความอิจฉาริษยา

 

 

สุดท้ายก็ยังเล่ารายละเอียดว่า นางถูกหงฉวีพูดกล่อมให้ทำเรื่องไม่ดีทั้งหลายอย่างไร อย่างเช่นถาวจือตลบหลังหงฉวีเพื่อลูก…

 

 

จดหมายฉบับเดียวเนื้อหาส่วนใหญ่กลับอธิบายเรื่องเหล่านี้

 

 

แน่นอนว่าหลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้จบ ทุกคนก็นิ่งตกอยู่ในภวังค์ โดยเฉพาะฮ่องเต้

 

 

ไม่รู้ว่าโกรธเพราะเรื่องกู้ซีปักใจรักหลี่เย่ หรือเรื่องที่เจียงอวี้เหลียนบอกว่าหวังฮูหยินตลบหลัง

 

 

ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปนานทีเดียว สุดท้ายหลี่เย่ก็เอ่ยปากพูดก่อน “ดูท่าทางถาวซื่อจะถูกใส่ร้ายจริงนะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อว่า…”

 

 

ฮ่องเต้สีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนสะบัดมือออกไป

 

 

หลี่เย่กับเจียงฟู่จึงถอยออกมา ส่วนขันทีเป่าฉวนก็มอบกุญแจดอกหนึ่งให้หลี่เย่ แม้เมื่อครู่นี้ฮ่องเต้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าให้ปล่อยถาวจวินหลัน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

ตอนที่เจียงฟู่กำลังจะแยกทางกับหลี่เย่ ก็เอ่ยลาและขอบคุณหลี่เย่อย่างจริงจัง

 

 

หลี่เย่โบกมือพูดตรงๆ “ถ้าหลังจากนี้เจ้าทรยศข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม”

 

 

เจียงฟู่สาบานอย่างจริงจัง “ชาตินี้กระหม่อมเจียงฟู่จะจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทคนเดียว หากทรยศขอให้ไร้ผู้สืบทอดไปทั้งชีวิตพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

หลี่เย่ร้อนใจ อยากกลับไปปล่อยถาวจวินหลันออกมาใจจะขาด สะบัดมืออย่างไม่ยี่หระแล้วเดินจากไป คิดไปคิดมาก็ถามอีกว่า “เจียงซื่อตายแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นพี่สาวของเจ้า เจ้าอยากตามข้าไปดูร่างของนางหรือไม่? แล้วยังมีเซิ่นเอ๋อร์ อย่างไรเขาก็เป็นหลานชายของเจ้า”

 

 

เจียงฟู่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบตกลง แต่ในใจก็คิดเย้ยหยันว่า ไปดูร่างเพื่อไว้ทุกข์เอ่ยคำอาลาอย่างนั้นหรือ? ไม่ ที่จริงเขาจะไปดูความน่าเวทนาสมเพชของนาง ความลำบากที่เขาเคยเผชิญในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะเรียกกลับมาเองไม่ได้ แต่ได้เห็นสภาพน่าอนาถของนาง เขาเองก็เป็นสุขใจเช่นกัน

 

 

ทันทีที่ประตูเปิดออก ถาวจวินหลันก็เห็นหลี่เย่พาลูกๆ มายืนรออยู่หน้าประตู ฉับพลันก็รู้สึกแสบตา น้ำตาแทบไหลลงมา ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูวิ่งเข้ามาสวมกอดนาง

 

 

สองมือของถาวจวินหลันโอบเด็กทั้งสองเอาไว้คนละข้าง จากนั้นก็มองเซิ่นเอ๋อร์ที่ดูหวาดกลัวในอ้อทแขนของหลี่เย่

 

 

พอถาวจวินหลันเห็นแบบนั้นก็ลังเลครู่หนึ่ง แล้วจึงยื่นมือออกไป ถอนหายใจเบาๆ ก่อนแย้มยิ้ม กวักมือเรียกเซิ่นเอ๋อร์ด้วยท่าทางอ่อนโยน “มา เซิ่นเอ๋อร์มานี่ มาหาเสด็จแม่ตรงนี้”

 

 

เจียงอวี้เหลียนตายไปแล้ว หลังจากนี้เซิ่นเอ๋อร์ต้องอยู่กับนาง ในเมื่อนางรับช่วงต่อ อาจจะทำได้ไม่เหมือนที่ปฏิบัติกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู แต่ก็ไม่อาจเย็นชากับเขาจนเกินไป อีกทั้งไม่อาจปฏิบัติแตกต่างกันอย่างชัดเจนได้

 

 

เซิ่นเอ๋อร์คล้ายยังลังเลเล็กน้อย

 

 

แต่หลี่เย่กลับแตะหลังของเซิ่นเอ๋อร์เบาๆ “ไปเถิด เซิ่นเอ๋อร์”

 

 

สุดท้ายเซิ่นเอ๋อร์ก็เดินไป ถาวจวินหลันจับมือของเขาเอาไว้ พลางเบนหน้าไปพูดกับซวนเอ๋อร์ “ซวนเอ๋อร์ หลังจากนี้ต้องรักน้องชายให้มากนะ เข้าใจหรือไม่?”

 

 

ซวนเอ๋อร์เหมือนไม่ค่อยยินยอมนัก แต่ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กลับเป็นหมิงจูที่ร่าเริงแจ่มใส ลากเซิ่นเอ๋อร์ไว้พลางหัวเราะร่า หลังจากนี้นางมีเพื่อนเล่นแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ เอ่ยถามหลี่เย่เสียงเบา “เรื่องพิธีศพของนางเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” ‘นาง’ คนนี้ย่อมต้องหมายถึงเจียงอวี้เหลียน

 

 

หลี่เย่พอจะคาดเดาความคิดของถาวจวินหลันได้ ตอบไปว่า “เรื่องนี้ข้ายกให้โจวอี้ไปจัดการ เจ้าวางใจเถิด ไม่ต้องคิดมากแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า นางไม่อยากพบเจียงอวี้เหลียนอีก และยิ่งไม่อยากจัดการเรื่องนี้ ไม่มีเหตุผลที่นางฆ่าอีกฝ่ายแล้วยังต้องเสแสร้งไปอาลัยอาวรณ์อีก