ตอนที่ 54 - 3 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เหล่าขุนนางด้านล่างเวทีผุดเผยรอยยิ้มเสียดสีที่เป็นไปตามคาด

 

 

เป็นผู้ไม่เป็นโล้เป็นพายจริงแท้

 

 

ราษฎรที่ยิ่งไกลออกไปกลั้นลมหายใจตั้งใจฟัง ท่าทางเคารพเลื่อมใสโดยตลอด สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับอำนาจของกษัตริย์ในฐานะของราษฎร ย่อมมีความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเป็นธรรมดา ยามนี้ฝูงชนที่เงียบสงบนี้ยังเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย

 

 

ไม่ได้ไม่เป็นเป็นชุดๆ วาจาพิกลพิการเป็นชุดๆ ความตื่นเต้นที่เกิดด้วยเพราะราชินีองค์ใหม่มิคล้ายผู้ใดในยามแรกค่อยๆ หายเป็นปกติ ราษฎรเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

อย่างไรเสีย ความสดใหม่เป็นเพียงชั่วครู่ จักรพรรดิล้ำเลิศองค์หนึ่งถึงจะสอดคล้องกับการเฝ้ารอคอยราษฎรยิ่งกว่า

 

 

ความผิดหวังของราษฎรอยู่ในสายตาของเหล่าขุนนางเช่นกัน อดจะเผยรอยยิ้มยิ่งเบิกบานไม่ได้…นี่ถึงจะเรียกว่าราชินีองค์ใหม่รนหาที่ตายเองล่ะ! เดิมทีการทดสอบที่ปิดอยู่ในม่านมืด ผ่านหรือไม่พวกเขายังดูด้วยอารมณ์ได้ ถึงอย่างไรก็เป็นราชินีหุ่นเชิดนางหนึ่ง หากนางยอมอ่อนข้อให้อย่างยิ่งใหญ่สักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะให้นางขึ้นครองราชย์ไม่ได้ ทว่านางต้องการจะตีแผ่เรื่องราวกลางวันแสกๆ ไม่มีความสามารถที่แท้จริงทว่าคิดเพ้อเจ้อว่าจะได้การสนับสนุนจากราษฎร ฝันไปเถิด!

 

 

ยังมีผู้ตื่นเต้นดีใจเช่นเคย เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น

 

 

“ภรรยาข้านางพิเศษยิ่ง! ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!” อีชีเอ่ย

 

 

มหาปราชญ์ที่ไต่ถามบนเวที สีหน้ายิ่งดำคล้ำขึ้น หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น น้ำเสียงยิ่งจำใจผิดหวังมากขึ้น

 

 

ก้นบึ้งของหัวใจปราชญ์ไร้ความเห็นแก่ตน แลไม่เป็นของพรรคพวกใด ทว่าส่วนน้อยหวังด้วยใจจริงว่าความสามารถของราชินีเทียบได้กับหนึ่งในขุนนางที่โดดเด่น

 

 

“เช่นนั้นฝ่าบาททรงงานฝีมือสตรีเย็บปักถักร้อยได้หรือไม่ นี่น่ะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสตรีนะพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“มองนิ้วมือนี้ของข้าสิ เจ้าหักใจให้ถูกเข็มทิ่มได้หรือ” จิ่งเหิงปัวแผ่นิ้วมือสิบนิ้วขาวบริสุทธิ์ออกมา ทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยรักใคร่สงสาร

 

 

“ฝ่าบาททรงมีฝีมือทําอาหารหรือไม่ ทรงทำงานบ้านได้หรือไม่ ไม่ว่าจะอย่างไรหลังพระองค์อภิเษกสมรสย่อมต้องปฏิบัติภาระหน้าที่ภรรยาได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“สตรีผู้งดงามประณีตประหนึ่งข้าย่อมควรจะสิบนิ้วไม่เคยแตะต้องงานบ้านงานเรือน! เป้าหมายของข้าคือหาบุรุษผู้ทำอาหารเป็น” จิ่งเหิงปัวเศร้าเสียใจ กล่าวต่อไปว่า “พวกเจ้าหักใจให้ไอควันในห้องครัวรมข้าได้หรือ!”

 

 

กงอิ้นชำเลืองตามองนางปราดหนึ่ง…รอประเดี๋ยวต้องคุมตัวนางเข้าห้องครัวให้ได้ อีกทั้ง ต้องสังหารชนชั้นสูงที่ทำอาหารเป็นทิ้งจนสิ้น

 

 

เหยียลี่ว์ฉีลูบคาง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยกับองครักษ์ข้างกายว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี”

 

 

“หา”

 

 

“นางจะต้องสมรสกับข้าอย่างเป็นตายไม่ยอมเลิกราเป็นแน่”

 

 

“หา”

 

 

“ด้วยเพราะข้าทำกับข้าวเป็นไง…” เหยียลี่ว์ฉีทอดถอนใจ “มองไปรอบๆ ทั่วทั้งราชสำนักต้าฮวง บุรุษอันดับหนึ่งในโลกหล้าผู้ทำกับข้าวเป็นมีเพียงข้าผู้เดียวไง!”

 

 

 

 

ในฝูงชนอีชีเกาศีรษะแกรก เอ่ยว่า “เจ้าสี่ ที่เจ้านั้นได้ยินว่ามีตำราอาหารชาววังหรือ ประเดี๋ยวให้ข้ายืมหน่อย”

 

 

 

 

“ฝ่าบาททรงร้องรำระบำเพลงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ถามความสามารถพิเศษที่ถามได้จนสิ้น มหาปราชญ์สีหน้าอึมครึม สืบค้นแทบล้มประดาตาย ถามความสามารถพิเศษสิ่งสุดท้ายที่ไม่คิดว่าเป็นความสามารถพิเศษเช่นนั้นเลยออกมา เอ่ยสืบต่อว่า “แน่นอนว่า ระบำขยับพระวรกายไปมาใดๆ ล้วนไม่อนุญาตราชินีทรงแสดง ราชินีทรงแสดงได้เพียงระบำเทพประทานที่จริงจังเคร่งขรึม ราชินีลำดับที่สามสิบแปดทรงเคยเชี่ยวชาญระบำเซ่นไหว้ ราชครูในยามนั้นโชคดีที่ได้เชยชมท่วงท่าระบำเคร่งขรึมแลทั้งงดงามของพระนาง จึงแต่งบทกลอนบันทึกไว้เพื่อระบำนี้ นับว่าเป็นเรื่องดีงามช่วงหนึ่งที่สืบทอดมานับร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เรื่องดีงาม เรื่องดีงามน้องสาวแกสิ!

 

 

ร่ายระบำเบื้องหน้าข้าราชบริพาร ขุนนางยังเขียนบทกลอนน้ำเน่าได้ ทำไมเปี่ยมด้วยเดจาวูของเพลงบรรเลงหอคณิกา นี่มันราชินีหรือว่าโสเภณี

 

 

“ระบำรูดเสานับหรือไม่ ระบำลานกว้างนับหรือไม่ ระบำฮาวายนับหรือไม่…” จิ่งเหิงปัวมองดูใบหน้ายิ่งดำคล้ำขึ้นของอีกฝ่าย โบกมือพลางกล่าวว่า “ช่างเถิด ไม่ได้ ข้อต่อไป!”

 

 

สีหน้าผิดหวังของราษฎรเบื้องล่างยิ่งรุนแรงขึ้น มีผู้เริ่มจากไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

“อีชี เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะสมรสกับภรรยาเช่นนี้”

 

 

“แน่ใจสิ ดียิ่งนัก ข้าอยากชมระบำฮาวายเหลือเกิน”

 

 

 

 

“ทูลฝ่าบาท” บนใบหน้าปราชญ์เปี่ยมด้วยสีหน้าเสียดสีรุนแรง เอ่ยว่า “ความสามารถที่ราชินีทุกพระองค์ทรงควรมี รวมทั้งความสามารถพิเศษพื้นฐานที่สตรีควรกระทำได้ กระหม่อมต่างได้ทูลถามพระองค์แล้ว ความสามารถมหัศจรรย์เฉกเช่น โยกภูผาย้ายมหาสมุทร เรียกลมเรียกฝน หนึ่งวันพันลี้ โบกมือฟาดอสนีบาตที่ยากยิ่งกว่านี้ ดูท่าพระองค์คงทรงกระทำมิได้เช่นกัน จึงมิต้องไถ่ถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หลายสิ่งที่เจ้าเอ่ยภายหลังเหมือนว่าข้าจะทำได้…” จิ่งเหิงปัวถอนใจพึมพำ

 

 

ไม่มีใครสนใจนาง

 

 

มหาปราชญ์แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง มองจิ่งเหิงปัวอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อหันกายไปอย่างรุนแรง ส่ายหน้าให้เหล่าขุนนางก่อน จากนั้นเอ่ยกับเหล่าราษฎรที่ใบหน้าผุดเผยสีหน้าผิดหวังว่า “ทุกท่านแยกย้ายกันได้แล้ว พวกเจ้าไร้อำนาจเข้าร่วมการลงโทษราชินีในลำดับถัดไป”

 

 

ราษฎรเปล่งเสียงถอนใจจ้อกแจ้กจอแจ ทว่าหยุดยั้งไม่ยอมจากไปเช่นเคย

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตา เอ๋ นี่จะคุยเรื่องลงโทษแล้วเหรอ ไม่มีความอดทนเกินไปหน่อยมั้ง

 

 

“ข้าคิดว่า” ชายชราผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าฝั่งขวาด้านล่างเวทีค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ราชินีทรงไร้ความสามารถ มวลชนต่างได้ประจักษ์ มิจำเป็นต้องปรึกษาหารืออีก ตามกฎแล้ว พระวรกายของราชินีกลับชาติมาเกิดควรสืบทอดความสามารถส่วนหนึ่งของราชินีองค์ก่อน ทว่าราชินีองค์ใหม่ชัดแจ้งว่าทรงมิได้สืบทอด ผู้ชราคิดว่าสตรีนางนี้มิใช่พระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินี เสนอให้เนรเทศสู่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ย”

 

 

เบื้องล่างเวทีมีเสียงฮือฮาเป็นแผ่นผืน ผู้คนจำนวนมากมีสีหน้าหวาดกลัว จิ่งเหิงปัวหรี่ตา…นี่มันที่ไหนกัน ฟังดูน่ากลัวจัง

 

 

นางจ้องมองชายชรานั้น รู้สึกว่าเขาคุ้นหน้าโดยตลอด แต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

 

 

ฮูหยินวัยกลางคนท่าทางสุภาพเยือกเย็นนางหนึ่งตรงข้ามชายชรายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเซวียนหยวนเมตตากรุณา ว่ากันตามจริงสตรีนางนี้แอบอ้างเป็นพระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินี หลอกลวงขุนนางและราษฎร ควรจะประหารชีวิตโดยพลันถึงจะถูกต้อง”

 

 

ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกะพริบปริบๆ แย่แล้ว หน่วยความจำของนางมีปัญหาแล้วหรือเปล่า ทำไมมองสตรีนางนี้แล้วรู้สึกว่าคุ้นหน้าด้วยล่ะ

 

 

“เนรเทศลุ่มน้ำเฮยสุ่ยคงจะเทียบได้กับประหารชีวิตเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านั้น ขอเชิญใต้เท้าราชครูฝ่ายขวาให้คำอธิบายแก่บรรดาขุนนางสำหรับเรื่องนี้” ชายชราหันหน้าเพียงครั้งชี้ไปทางกงอิ้น

 

 

วาจาเอ่ยอย่างเกรงใจทว่าความหมายชัดแจ้งยิ่งนัก ราชินีไร้ความสามารถไม่ถูกยอมรับเป็นพระวรกายกลับชาติมาเกิด เช่นนั้นย่อมเป็นสินค้าแอบอ้าง ราชครูฝ่ายขวากงอิ้นผู้นำพาสินค้าแอบอ้างมาไกลโพ้นพันลี้ ซ้ำยังทําเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ กระทบทั่วทั้งแคว้นต้าฮวงให้ต้อนรับไกลโพ้น ย่อมยากจะพ้นคำครหาเป็นธรรมดา

 

 

ทั้งด้านบนทั้งด้านล่างเวทีค่อยๆ เงียบสงบลงมา ทุกคนมีสีหน้าหนักแน่น

 

 

ผู้ใดต่างรู้ว่าด้วยเพราะมีองค์ประกัน ณ ตี้เกอในยามนี้ แม้ว่าในใจหกแคว้นแปดชนเผ่าต่างมีความไม่พอใจทว่าท่าทางภายนอกต่างเชื่อฟังกงอิ้น ส่วนในราชสำนัก ขุนนางที่สนับสนุนกงอิ้นและสนับสนุนเหยียลี่ว์ฉีต่างแบ่งเป็นฝักฝ่าย พรรคหนุ่มสาวและพรรครากหญ้ากว่าครึ่งคือผู้ใต้บัญชาที่จงรักภักดีของกงอิ้น ส่วนตระกูลขุนนางเก่าแก่และตระกูลผู้ดีบรรดาศักดิ์ย่อมเลือกราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีผู้สืบฐานะมาจากตระกูลขุนนางนับร้อยปีเช่นเดียวกันเป็นธรรมดา

 

 

ชายชราและฮูหยิน ผู้หนึ่งคือตัวแทนของตระกูลขุนนางผู้ดีเก่าแก่ ตระกูลเซวียนหยวนที่เคยมีรองอัครมหาเสนาบดี[1]ถึงเจ็ดท่านในวงศ์ตระกูล อีกผู้หนึ่งคือผู้นำตระกูลซังซึ่งเป็นตระกูลกองเซ่นไหว้โดยเฉพาะ บุตรีคนโตแต่ละสมัยในอดีตต่างรับตำแหน่งผู้นำเซ่นไหว้แห่งวังหลวง ตำแหน่งจำกัดเฉพาะราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา หลังจากกงอิ้นกุมอำนาจได้สับเปลี่ยนโยกย้ายรองเสนาและลอยแพการเซ่นไหว้ ยามนี้สองตระกูลใหญ่ต่างออกวาจาอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่ายินยอมติดตามราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉี

 

 

สองตระกูลออกหน้าจัดพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จราชินีก่อนผู้ใด

 

 

ยามเผชิญหน้าการต่อต้าน กงอิ้นกลับยังคงไร้ซึ่งสีหน้าท่าทาง ดื่มชาในมือจนเสร็จอย่างสุขุมแล้ววางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา

 

 

ยามเขาวางถ้วยชาลง จัตุรัสที่แต่เดิมโหวกเหวกโวยวายพลันเงียบเชียบจนเข็มหล่นยังได้สดับฟัง

 

 

คำตอบของกงอิ้นยังคงอุปนิสัยตลอดมาของเขาดังคาดการณ์ เรียบง่ายจนเกือบจะเผด็จการ

 

 

“ราชินีเป็นตัวจริง” เขาเอ่ย

 

 

“เหตุใดจึงไร้ซึ่งความสามารถ” สตรีงามวัยกลางคนซักถามโดยพลัน

 

 

“ไม่แสดงความสามารถต่อผู้ต่ำต้อย” กงอิ้นไม่มองนางแม้แต่ปราดเดียว

 

 

คนฝูงหนึ่งโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ สตรีงามวัยกลางคนกลับไม่เกิดโทสะ แย้มยิ้มพริ้มพรายเอ่ยว่า “ใช่แล้ว วาจาที่ราชครูเอ่ยมามีเหตุผล ในเมื่อราชครูคิดว่าราชินีทรงไม่เต็มใจจะแสดงความปราดเปรื่องเต็มท้องของพระนางต่อฝ่ายข้าผู้ต่ำต้อย เช่นนั้นลำดับถัดไปราชครูจะเอ่ยว่าทูลเชิญราชินีเสด็จกลับวัง รอให้พระนางทรงอารมณ์ดีแล้ว อยากทรงแสดงค่อยแสดงใช่หรือไม่ เรื่องทรงอารมณ์ดีนี้ อาจจะเป็นสิบปี หรืออาจจะเป็นร้อยปีหรือ”

 

 

น้ำเสียงนางเสียดสี ดวงตาของกงอิ้นไม่กะพริบด้วยซ้ำ

 

 

“เช่นนั้นย่อมดีแน่” เขาเอ่ย

 

 

“ราชครูกำลังเข้าข้างอย่างโจ่งแจ้งหรือ” อีกฝ่ายบีบบังคับทีละก้าวละก้าว

 

 

กงอิ้นมองนางปราดหนึ่ง สายตาบริสุทธิ์แวววาวดุจสายธารในแพน้ำแข็ง

 

 

“เช่นนั้นเจ้ากำลังยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งหรือ” เขาเอ่ย

 

 

จิ่งเหิงปัวที่ไร้ซึ่งสำนึกในความอันตราย นั่งชมเรื่องสนุกสนานอยู่ด้านหนึ่งเกือบจะตบโต๊ะร้องเยี่ยม!

 

 

ราชครูเท่ระเบิดเจิดจ้าบ้าอำนาจหยิ่งทระนง!

 

 

ผู้นำตระกูลซังถูกขัดคอจนสำลักอากาศครั้งหนึ่ง อยากจะเอ่ยว่าใช่ทว่าไม่กล้า สายตาบึ้งตึงของคนนับไม่ถ้วนบีบบังคับเข้ามาแล้ว อยากจะเอ่ยว่าไม่ใช่ทว่าไม่พอใจ สีหน้าบิดเบี้ยวจนเขียวคล้ำในฉับพลัน

 

 

เสียงหนึ่งกระแอมไอ ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีได้ปริปากแล้ว

 

 

“ใต้เท้าเซวียนหยวน เจ้ากองหญิงซัง” เขาเอ่ยสืบต่อว่า “วาจาที่ราชครูกงเอ่ยคล้ายจะมีเหตุผล ราชินีทรงมิอาจแสดงความสามารถก็อาจจะมีเหตุผลหลายแบบน่ะ อาจจะเพราะทรงตื่นเต้น อาจจะเพราะทรงหวาดกลัว อาจจะเพราะทรงอารมณ์ไม่ดี หรืออาจจะด้วยเพราะเมื่อคืนบรรทมไม่หลับ”

 

 

เขาเอ่ยถึงคำว่านอนหลับ พลางกะพริบตาให้จิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวตอบกลับด้วยสายตาเหยียดหยาม…สีหน้าก่อกวน!

 

 

ทุกคนต่างประหลาดใจขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหยียลี่ว์ฉีจึงช่วยกงอิ้นเอ่ยวาจาแล้ว เพียงแต่กงอิ้นไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบ นิ้วมือที่พาดอยู่หลังกายงอขึ้นเพียงน้อย จากนั้นเหมิงหู่ที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงซ่อนแฝงเข้าไปในฝูงชน

 

 

“หรือว่าอาจจะเพราะทรงหวาดกลัวกลิ่นอำนาจไอดุร้ายของราชครูกง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ฉะนั้น เปิ่นจั้ว[2]เสนอให้ชะลอการดำเนินการลงโทษเนรเทศราชินีสู่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ย ทว่าในเมื่อพระสถานะของราชินีมีข้อสงสัยชั่วคราวย่อมมิอาจสืบราชสันตติวงศ์ อาจให้ประทับ ณ ตำหนักปีก เจ้ากองหญิงซังกับใต้เท้าเซวียนหยวนรับผิดชอบดูแลพระราชจริยวัตรของราชินีร่วมกัน ก่อนพระสถานะของราชินีจะเป็นที่ประจักษ์ ห้ามให้ทรงเข้าพบขุนนางและราษฎรอีก ว่าอย่างไร”

 

 

เขาหันกายกึ่งหนึ่งซ้ำยังยิ้มแย้มพลางเอ่ยวาจาเปี่ยมด้วยความรู้สึกเสียใจกับกงอิ้นว่า “เดิมทีควรจะเป็นราชครูกงส่งผู้ถวายงานดูแลราชินี ทว่าด้วยเพราะพระสถานะของราชินียังมีข้อสงสัย อย่างไรเสียเจ้าเป็นผู้จัดการของเรื่องนี้ เรื่องนี้…ก่อนราชินีทรงได้รับการยอมรับ คล้ายไม่ค่อยสะดวกหากเจ้ายังเป็นผู้ควบคุมเรื่องราวของราชินีอีก…”

 

 

เซวียนหยวนจิ้งกับซังต้งต่างยิ้มพรายแล้ว

 

 

ความคิดดี

 

 

เอ่ยอย่างอ้อมค้อมเกรงใจ แท้จริงแล้วไอสังหารทุกจังหวะก้าว

 

 

ไม่เนรเทศทว่ากักบริเวณ ส่งต่อมาสู่มือของพวกเขาย่อมเท่ากับควบคุมราชินีไว้แล้ว มีน้อยคนนักรู้ว่าตระกูลซังเชี่ยวชาญวิชาควบคุมจิตใจมนุษย์ พวกนางสามารถทำให้ราชินีองค์ใหม่ยอมรับว่านางแอบอ้างได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก ยอมรับว่ากงอิ้นจงใจปลอมแปลง แม้กระทั่งยอมรับว่ากงอิ้นสมคบคิดกับแคว้นอื่นยังเป็นไปได้

 

 

ข้อเสนอข้อนี้จะไม่ได้รับความไม่พอใจจากฝูงขุนนางพรรคพวกของกงอิ้นเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ต้อนรับราชินี การสังหารหรือเนรเทศราชินีจะกระทบศักดิ์ศรีของกงอิ้น การกักบริเวณฟังแล้วยอมรับได้ยิ่งนัก

 

 

 

 

 

 

 

[1] อัครมหาเสนาบดี เป็นชื่อเรียกอีกแบบหนึ่งของผู้ตรวจการแผ่นดิน

 

 

[2] สรรพนามใช้แทนตัวผู้พูด มีความหมายคล้ายคำว่า ข้าเอง