ตอนที่ 54 - 4 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เบื้องหน้าการอ่อนข้อที่แลคล้ายอ่อนนุ่มเช่นนี้ หากกงอิ้นยังยืนหยัดปกป้องราชินีอย่างไร้เหตุผล ย่อมจะทำให้คนสงสัยเจตนารมณ์ของเขา สงสัยว่าเขามีความปรารถนาอื่นแอบแฝง

 

 

อย่างไรเสีย วงการขุนนางไร้ความจงรักภักดี ผู้คนเหล่านั้นที่จงรักภักดีต่อกงอิ้น ส่วนหนึ่งด้วยเพราะถูกเขาจับพิรุจไว้ได้ อีกส่วนหนึ่งเพราะหวาดกลัวต่อกำลังวรยุทธเกรียงไกรของเขา ผู้คนมากกว่านั้นฝากความหวังกับอำนาจและอนาคตของเขา พวกเขาหวังว่าจะสามารถติดตามกงอิ้นก่อตั้งกิจการยิ่งใหญ่ กลายเป็นขุนนางใหญ่ช่วยราชกิจแล้วค่อยไต่เต้าขึ้นไป

 

 

คนมากเพียงใดรอคอยให้กงอิ้นทุ่มเทกำลังให้ราชินี การปกป้องเข้าข้างของเขาจะต้องทำให้คนฉงนสนเท่ห์ผิดหวัง

 

 

“ประทับ ณ ตำหนักปีก ย่อมได้” กงอิ้นพยักหน้า ไม่รอให้เซวียนหยวนจิ้งกับซังต้งผุดเผยสีหน้าปรีดา เอ่ยโดยพลันว่า “อวี้จ้าวคั่งหลง!”

 

 

“ขอรับ!” มิรู้ว่ายามใดเบื้องล่างเวทีเต็มไปด้วยทหารอวี้จ้าวและคั่งหลงที่สวมเกราะเบาทั่วร่างแล้ว พวกเขาตอบรับกึกก้อง

 

 

“คุ้มกันองค์ราชินีเสด็จสู่ตำหนักปีกอวิ๋นไถโดยพลัน” กงอิ้นเอ่ยวาจารวดเร็วยิ่งนัก น้ำเสียงไร้ซึ่งข้อกังขา เซวียนหยวนกับซังต้งยังมิทันได้รู้สึกตัว ได้แต่เซ่อซ่าอยู่ตรงนั้น

 

 

“ขอรับ!” ทหารสองกองทัพพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าด้วยฝีก้าวรวดเร็ว

 

 

“ช้าก่อน!” เหยียลี่ว์ฉีเข้าขวางโดยพลัน เอ่ยสืบต่อว่า “ขอให้ฝ่ายข้าเป็นคุ้มกันฝ่าบาทเสด็จ!”

 

 

“ไม่จำเป็น!” กงอิ้นไม่มองเขาแม้แต่น้อย

 

 

“ทหารเยียนซา!” เหยียลี่ว์ฉีมีนิสัยตัดสินใจเด็ดขาดเช่นกัน ร้องเสียงดังอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

“ราษฎร” กลุ่มหนึ่งซึ่งประชิดเบื้องหน้าสุดของเวทีสูงพลันถอดเสื้อนอก สะบัดอาภรณ์ไปบนพื้นแล้วพุ่งขึ้นมาบนเวทีเช่นกัน

 

 

คนเหล่านี้สวมเกราะหนังครึ่งท่อน แขนสองข้างกำยำ ทหารกว่าครึ่งร่างกายสูงใหญ่ จมูกโด่งนัยน์ตาลึก รูปร่างหน้าตาแตกต่างจากชาวพื้นเมืองต้าฮวง ท่าทางกล้าหาญระหว่างเคลื่อนไหว

 

 

“ทหารเยียนซา!” ราษฎรอุทานอย่างตื่นตะลึง ทยอยถอยหลัง ในสายตาเปี่ยมด้วยความรังเกียจ

 

 

เหล่าขุนนางผู้ดีแลกเปลี่ยนสายตาแฝงความหมายลึกล้ำครั้งหนึ่ง

 

 

เยียนซาคือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในนามตระกูลเหยียลี่ว์ จำนวนทหารไม่มากทว่าเลื่องชื่อด้วยกล้าหาญสันทัดในการรบ พี่น้องเหล่าทหารว่ากันว่าล้วนมาจากเผ่าประหลาดลึกลับ ณ สถานที่นามว่าเสินเฉี่ยน มีความเกี่ยวข้องที่สลับซับซ้อนกับตระกูลเหยียลี่ว์ที่มีสายเลือดเผ่าประหลาดเช่นกัน ในตำนานของต้าฮวง ผู้ที่ออกมาจากที่นั่นโหดเ**้ยมอำมหิตโดยกำเนิด ดั่งปีศาจกลับชาติมาเกิด เรือนร่างสกปรกมีราคี ฉะนั้นแต่ไหนแต่ไรมาจึงถูกมวลชนขับไล่

 

 

กองทัพกองนี้มีภาษา อักษรและวิธีการสื่อสารเป็นของตนเองโดยเฉพาะ ภักดีเพียงตระกูลเหยียลี่ว์ ไม่ได้รับผลกระทบจากอำนาจฝ่ายใด แลด้วยเพราะกองทัพกองนี้ดำรงอยู่ กงอิ้นที่กุมมหาอำนาจเพียงผู้เดียวจึงมิอาจกลืนกินควบคุมตระกูลเหยียลี่ว์ภายในระยะเวลาอันสั้น

 

 

ราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาที่ฝืนใจรักษาความสมดุลทว่าต่างโยกย้ายกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองในวันแรกที่รับขบวนเสด็จราชินี ปืนจริงดาบจริงปะทะเข้ามาแล้ว!

 

 

“ในเมื่อมอบฝ่าบาทให้ตระกูลซังดูแล ขอให้ทหารเยียนซาเป็นผู้คุ้มกันเสด็จไปยังตำหนักปีก!” ซังต้งร้องเสียงดัง

 

 

ผู้ใดต่างรู้ว่า ผู้ใดคุ้มกัน องครักษ์ตำหนักปีกในภายหลังจะมีผู้นั้นรับผิดชอบเป็นธรรมดา หากอวี้จ้าวคั่งหลงควบคุมการพิทักษ์รักษาพระราชนิเวศน์ ตระกูลซังอยากจะทำอะไรแทบจะเป็นไปไม่ได้

 

 

ซังต้งเดิมทีดีใจที่กงอิ้นตอบรับคำขอร้องของเหยียลี่ว์ฉีในคำเดียว ไม่นึกว่ากงอิ้นจะแก้ปัญหาที่ต้นตอ ลูกไม้หนึ่งนี้ร้ายกาจจริงแท้ หากไม่ใช่เพราะเหยียลี่ว์ฉีโต้ตอบรวดเร็ว พออวี้จ้าวคั่งหลงลงมือ การดีดลูกคิดรางแก้วของพวกนางก็เสียแรงเปล่าแล้ว

 

 

“เจ้าดูแล ข้าคุ้มกัน” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “สถานที่สำคัญเช่นอวิ๋นไถ จะปล่อยให้อนารยชนดูหมิ่นได้อย่างไร!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนักโดยพลัน

 

 

เรื่องสายเลือดไม่ชัดเจนของทหารเยียนซาเป็นข้อห้ามที่มิอาจเอ่ยถึงของตระกูลเหยียลี่ว์มาโดยตลอด กงอิ้นกำลังตบหน้ากันต่อหน้าต่อตา

 

 

“อวี้จ้าวคั่งหลงเป็นสุนัขรับใช้ผู้ชั่วช้า แล้วจะปล่อยให้บันไดหยกแห่งราชสำนักด่างพร้อยได้อย่างไร!” เขาเชิดคิ้วยิ้มแย้ม ร้องเรียกทหารเยียนซาเสียงดังว่า “มาสิ ให้ทหารอวี้จ้าวผู้สูงส่งได้เห็นว่าโลหิตของพวกเขาแดงฉานเสียยิ่งกว่าอนารยชนหรือไม่!”

 

 

กึกก้องเสียงหนึ่ง ราษฎรร่นถอย ขุนนางแยกย้าย ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เข้าร่วมพิธีในนครรีบเร่งถอยออกจากที่นั่ง

 

 

สองทหารจะละเลงโลหิตบนปะรำพิธีแห่งนี้!

 

 

สถาปนาแคว้นต้าฮวงหลายร้อยปี ไม่เคยมีอันตรายเลวร้ายเช่นนี้!

 

 

ทหารเยียนซาแหงนหน้าคำรามเสียงยาว ช่วงไหล่สะบัดเพียงครั้ง แม้แต่เกราะหนังครึ่งท่อนยังโยนทิ้งไปเสียแล้ว ผืนอกสีน้ำตาลมันขลับรับกับปลายมีดในมือทหารอวี้จ้าวโดยตรง

 

 

อวี้จ้าวนับว่าเป็นกองทัพแห่งราชสำนัก ท่าทางโอหังอวดดีในกระดูกนั้นเป็นหนึ่งในโลกหล้า ต่างรู้สึกว่าเกียรติภูมิถูกยั่วยุ พวกเขาจับจ้องด้วยสายตาโกรธแค้น ชักดาบอย่างเปี่ยมพลังดังกังวาน!

 

 

คั่งหลงยิ่งเป็นกองทัพผ่านศึกที่โหดเ**้ยมอำมหิต ไม่หลีกถอยแม้แต่น้อย มีดเล่มใหญ่กวัดแกว่งขึ้นมาแล้ว คมมีดสว่างราวหิมะสอดประสานสลับซ้อนใต้แสงสะท้อนของพระอาทิตย์ สีขาวเข้มข้นปกคลุมบริเวณรอบนอกสามจั้งเป็นแผ่นผืน

 

 

ไอสังหารเคร่งขรึมกระทบกระแทกเ**้ยมหาญ คมมีดบาดผืนอกของทหารเยียนซาเบื้องหน้าสุดจนเป็นรอยโลหิตรอยหนึ่งแล้ว หอกยาวของทหารเยียนซาเปล่งเสียงสังหารเปี่ยมพลังดังกังวานอย่างต่อเนื่อง

 

 

ผู้คนทยอยหลบหลีก ไม่กล้าประชิดใกล้แม้สักน้อยนิด กลัวว่าพอสงครามเกิดขึ้นจะถูกคมมีดกระจัดกระจายทำให้บาดเจ็บ

 

 

ชั่วครู่ต่อมา โลหิตสาดกระเซ็นเจิ่งนอง!

 

 

เสียงสตรีเสียงหนึ่งเจือด้วยความเกียจคร้านทว่ามีความมหัศจรรย์เด็ดเดี่ยว ทลายไอสังหารเคร่งขรึมครู่หนึ่งนี้โดยพลัน

 

 

“หยุด!”

 

 

ทุกคนตกตะลึง เงยหน้าจับจ้อง

 

 

ราชินี!

 

 

องค์ราชินีผู้เป็นจุดสนใจที่ถูกแย่งชิง ผู้จุดชนวนเหตุการณ์ขึ้นมา หลังจากจุดชนวนเหตุการณ์แล้วยังถูกทุกผู้คนมองข้าม กลับกระโดดออกมาในช่วงเวลาสำคัญนี้

 

 

กระโดดออกมาแล้วจริงแท้

 

 

จิ่งเหิงปัวสะบัดองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งคิดจะขวางนางไว้ออกไปอย่างยากลำบากเล็กน้อย เบียดออกมาจากกลางฝูงชน

 

 

ทุกคนมองดูนางอย่างตื่นตะลึง อย่างไรย่อมคิดไม่ถึงว่าสตรีบอบบางนางหนึ่งเช่นนี้จะกล้าร้องให้หยุดยามนี้

 

 

ยามนี้บนเวทีมีมีดดาบทุกแห่งหน

 

 

ยามนี้ไอสังหารในบรรยากาศเข้มข้น ทำให้คนมิกล้าเข้าใกล้

 

 

ยามนี้ทหารเยียนซาต่างหันหน้ามองนางอย่างโหดเ**้ยมด้วยเพราะถูกรบกวน นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองด้วยความเคียดแค้น ทำให้คนรู้สึกว่าพริบตาต่อมามีดของพวกเขาคงจะฟาดฟันออกมา

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับคล้ายว่าไม่ได้มองเห็นทั้งนั้น

 

 

“เฮ้ๆๆ หลบหน่อยสิ” นางตบบ่าขององครักษ์ข้างกาย เอียงซ้ายเอียงขวาหลบหลีกมีดดาบที่ตั้งขึ้นทุกแห่งหน เดินเอนไปเอียงมาออกมา เดินไปพลาง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างยิ้มแย้มปรีดาไปพลาง กล่าวว่า “ว้าว อวี้จ้าวหล่อที่สุดเลย! ว้าว มีดของคั่งหลงมีรอยเลือด! ว้าว เยียนซา!” นางใช้แรงตบผืนอกกำยำของทหารเยียนซาผู้หนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “กล้ามแน่น! งดงามนัก! เจ้าต้องไปเข้าร่วมแข่งขันนักเพาะกายชาย ต้องได้อันดับหนึ่งแน่!”

 

 

กรงเล็บปีศาจสืบเสาะ สายตาแพรวพราว คล้ายมีน้ำลายไหลย้อยรำไร…

 

 

ใบหน้าของกงอิ้นดำคล้ำแล้ว

 

 

ใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเขียวคล้ำแล้ว

 

 

อีชีอยากกระอักโลหิตแล้ว

 

 

ขุนนางในราชสำนัก หกแคว้นแปดชนเผ่า ถูกทำให้สะท้านจนหลงลืมจะสนทนากฎเกณฑ์แล้ว

 

 

นางนี้ไร้ความหวาดกลัวหรือว่าเป็นยัยเซ่อซ่ากันแน่

 

 

สถานการณ์ที่ผู้มีฝีมือสูงยังมิกล้าเข้าไปพัวพันด้วย นางเดินเข้ามาเฉกเช่นบัวช้ำกลางสายลมแล้ว เรื่องอื่นมิต้องกล่าวถึง เฉพาะเพียงความกล้าหาญนี้ ทุกคนล้วนรู้สึกโดยพลันว่าก่อนหน้านี้ได้ดูแคลนราชินีองค์ใหม่องค์นี้แล้วใช่หรือไม่

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มทะลุผ่านกำแพงแห่งมีดดาบตลอดทาง ยกดาบของคนผู้หนึ่งออก

 

 

“สุดหล่อ เก็บดาบให้ดี ปักมาเบื้องหน้ามั่วซั่วจะทำข้าเจ็บนะ”

 

 

ทหารอวี้จ้าวที่เมื่อครู่ยังถือดาบไอสังหารคละคลุ้งนั้น มองเข้าไปในดวงตาสุกสกาวเฉิดฉายของนาง ใบหน้าแดงซ่านโดยพลัน รีบเร่งเก็บดาบเข้าฝัก

 

 

จิ่งเหิงปัวหันกายอย่างเชื่องช้าสง่างามครั้งหนึ่ง นิ้วมือสีขาวราวหิมะค้ำมีดของทหารคั่งหลงขึ้นมา

 

 

“จิ๊จ๊ะเป็นมีดดีจริงแท้ เห็นได้เลยว่าคงเคยเปื้อนโลหิต! ผู้กล้าหาญ!” สองมือของนางกุมดวงใจ สายตาบริสุุทธิ์จริงใจ กล่าวว่า “เจ้าคงเป็นมหาวีรบุรุษที่เคยเข้าร่วมยุทธการมากมายยิ่งแน่แล้ว! หากมีโอกาสเล่าเรื่องราวบนสนามรบของพวกเจ้าให้ข้าฟังดีหรือไม่”

 

 

ชายชาตรีทหารคั่งหลงผู้ป่าเถื่อนหาญกล้าถูกสีหน้าเลื่อมใสของนางมองจนวุ่นวายสับสนจนทำอะไรไม่ถูก งกเงิ่นเก็บมีดเข้าฝัก ตนเองยังไม่รู้ว่าตนเองเอ่ยว่าอะไร ทว่าก้นบึ้งของดวงใจพวยพุ่งด้วยความปรีดาลึกลับ

 

 

ชายกระโปรงของจิ่งเหิงปัวสะบัดเพียงครั้ง ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะเพิ่มมาหนึ่งผืนแล้ว มือเปลือยเปล่าเรียวยาวของนางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับรอยโลหิตบนหน้าอกของทหารเยียนซาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุดอย่างแผ่วเบา

 

 

“บาดแผลของนักรบควรจะปรากฏเพียงบนสนามรบที่ต้องเข่นฆ่าโรมรันกับศัตรู” สีหน้าของนางเจือด้วยรอยยิ้ม ค่อยๆ เช็ดบาดแผลนั้น น้ำเสียงกลับซ่อนความตามใจเมื่อครู่แล้ว กล่าวว่า “มิควรเกิดขึ้นจากสหายร่วมรบของตนเองในยุคสมัยแห่งสันติ ยิ่งมิควรปรากฏกายด้วยเพราะข้า”

 

 

ทหารเยียนซาที่กำยำดุร้ายใช้ลูกตาแดงก่ำคู่หนึ่งมองดูนางอย่างแข็งทื่อ ดูท่าทางไม่ได้อ่อนลงด้วยเพราะวาจาแย้มยิ้มพริ้มพรายของนางคล้ายทหารอวี้จ้าวและคั่งหลง

 

 

ค้อนขนาดเท่ากำปั้นในมือของเขาไม่สั่นคลอนแม้เพียงน้อย ขอเพียงร่วงลงมาเพียงครั้งย่อมสามารถทุบกลางกะโหลกของจิ่งเหิงปัวจนเป็นหลุมหลุมหนึ่ง

 

 

บรรยากาศทั้งบนทั้งล่างเวทีตึงเครียดโดยพลัน

 

 

สีหน้าของเซวียนหยวนจิ้งกับซังต้ง ในความดีใจมีความไม่สบายใจ ราชินีสิ้นชีพในมือของอวี้จ้าวคั่งหลงจะดีที่สุด หากสิ้นชีพในมือของทหารเยียนซาที่กำลังพาลไม่ยอมฟังเหตุผล ถึงอย่างไรย่อมเป็นปัญหา

 

 

กงอิ้นยืนขึ้นมาแล้ว สุดท้ายแล้วสีหน้าที่สงบนิ่งสุขุมโดยตลอดจึงมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทว่ามิกล้าเปล่งเสียงหยุดยั้งรบกวน

 

 

ทหารเยียนซาเลื่องชื่อเรื่องความเ**้ยมโหดดุร้ายยากฝึกให้เชื่อง จะไม่สนใจคำตำหนิของฝ่ายศัตรูโดยสิ้นเชิง กระทั่งอาจจะลงมือด้วยเพราะอารมณ์ดุเดือดรุนแรง

 

 

เขาเกร็งร่างกายแน่น จ้องบนเวทีไว้เขม็ง ยามนี้ไม่ทันได้ตำหนิติโทษความกล้าหาญของนาง คิดเพียงหากเกิดเรื่องขึ้นจะต้องชิงนางออกมาโดยพลัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีสูดหายใจซี้ดซ้าดคล้ายปวดฟัน…ทหารเยียนซาที่เข้าสู่สภาพการสู้รบ แม้แต่เขายังไร้หนทาง

 

 

“สตรีนางนี้…” เขาพึมพำว่า “สตรีนางนี้!”

 

 

 

 

บรรยากาศตึงเครียดดุจสายธนู จิ่งเหิงปัวกลับเงียบสงบดุจคลื่นอ่อนโยนลูกหนึ่ง

 

 

นางคล้ายมองไม่เห็นความแข็งทื่อและไอสังหารของทหารนายนั้น มือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้มหน้าลงโดยพลัน ประชิดใกล้แผ่นอกเปี่ยมด้วยกลิ่นคาวเลือดและหยาดเหงื่อของอีกฝ่าย

 

 

ทหารเยียนซาสะท้านไปทั่วร่าง มือที่กำค้อนกุมแน่น

 

 

รอบด้านมีเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง

 

 

ในเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง จิ่งเหิงปัวเป่าบาดแผลอย่างแผ่วเบาแล้วเงยหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาดุจทารก กล่าวว่า “เป่าให้เจ้าแล้ว ไม่เจ็บแล้วนะ”

 

 

 

 

ผู้คนไร้สรรพเสียง

 

 

ผู้คนมองดูทหารเยียนซารูปร่างสูงใหญ่ทว่ายังอ่อนวัยนายนั้น ร่างกายอ่อนลงทีละชุ่นละชุ่นโดยพลัน ปล่อยมือที่กำอาวุธไว้แน่นลง บนใบหน้าสีดำแดงเปี่ยมด้วยรอยแผลขีดข่วน ปรากฏสีหน้างงงวยสายหนึ่ง

 

 

เขาเบนสายตาลงมา รอยยิ้มของสตรีที่เทียบกับเขาแล้วแลดูบอบบางอย่างยิ่งปะทะเข้าไปในม่านตาของเขา

 

 

เฉิดฉาย งามเพริศแพร้ว บริสุทธิ์ เปี่ยมด้วยไมตรีจิต ไร้สิ่งใดเจือปน

 

 

ประหนึ่งธารมรกตที่สดใสบริสุทธิ์ที่สุด แลผืนนภาที่แจ่มใสกว้างไกลที่สุดในวันฤดูสารท

 

 

งดงาม สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือในดวงเนตรคู่นั้นไม่มีความหวาดกลัว ความเอือมระอา การหลบหลีกและการดูถูกเหยียดหยามใดๆ ซึ่งเขาคุ้นเคย

 

 

เขาคือทหารเยียนซา

 

 

เขาคือทหารในตำนานของต้าฮวง กำเนิดจากสถานที่ซึ่งชั่วร้าย มาจากลุ่มน้ำสูงสุด เป็นราษฎรซึ่งถูกเบื้องบนทอดทิ้ง พลังเหนือมนุษย์โดยกำเนิดโดยกล้าหาญชาญชัยกำเนิด ทว่ามิอาจอยู่ในแดนมนุษย์ ในสายตาของทุกผู้คน พวกเขาคืออาวุธเกรียงไกร คือผู้ใต้บังคับบัญชาองอาจ คือสัตว์ป่าสังหาร ทว่ามิใช่ผู้ที่เสมอภาคกับพวกเขา

 

 

ที่ซึ่งพวกเขาเยื้องกรายผ่าน ผู้อื่นหวาดกลัวหลีกลี้แล้วค่อยผุดเผยนัยน์ตารังเกียจออกมาจากมุมกำแพง ถ่มน้ำลายอย่างดูแคลน รอพวกเขาเดินผ่านไปแล้วจึงสาดน้ำชำระล้างพื้นดินที่พวกเขาได้เดินผ่าน

 

 

ความหวาดกลัวและความรังเกียจเช่นนี้ พวกเขาเคยชินเสียแล้ว คล้ายว่าในชีวิตของพวกเขามีเพียงการปฏิบัติสองแบบนี้

 

 

จนถึงวันนี้ เขามองเห็นความเสมอภาคและความห่วงใยอย่างแท้จริงในดวงเนตรเฉิดฉายคู่หนึ่งเป็นครั้งแรก

 

 

บาดแผลตรงหน้าอกเป็นเพียงรอยโลหิตรอยหนึ่ง มิได้เจ็บปวด ยามนี้ที่ซึ่งถูกนางเป่าให้กลับคล้ายมีเพลิงร้อนแรงแผดเผาวาวแวว

 

 

เขายื่นมือออกมาโดยพลัน จับมือของจิ่งเหิงปัวไว้ในครั้งเดียว

 

 

ใต้ฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ ข้อมือสีขาวราวหิมะของนางบอบบางดุจไผ่ที่ถูกหิมะทับถม

 

 

ทุกคนอุทานอย่างตื่นตะลึง

 

 

เขาคว้ามือของนางประชิดใกล้ดวงใจของตนเอง ก้มหน้าเพียงน้อย กุมกำปั้นของนางตีบนผืนอกของตนเองอย่างแผ่วเบาสามครั้ง

 

 

ทหารเยียนซาทั้งมวลหลังกายเขาระเบิดเสียงสัญญาณเรียกขานทุ้มต่ำระลอกหนึ่งออกมา

 

 

เรือนร่างรอคอยพุ่งขึ้นไปของกงอิ้นหยุดชะงักโดยพลัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าตกตะลึง สั่นสะท้านปานถูกโจมตีอย่างลึกล้ำ

 

 

“โอ้สวรรค์…” เขาพึมพำว่า “พวกเขากลับ…”

 

 

ผู้คนที่เหลือไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทว่าถูกสีหน้าเคร่งขรึมเคารพเลื่อมใสของทหารในยามนี้และพิธีการท่วงท่าที่แสดงออกมานี้ทำให้สะท้านสะเทือน

 

 

มีเพียงจิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเช่นเคย ไม่ได้คิดอะไร แม้ถูกผู้คว้าไว้ทุบตีผืนอกของเขาตามอำเภอใจยังวิจารณ์อย่างดีอกดีใจว่า “เฮ้! กล้ามอกของเจ้ากำยำเช่นกันนะ!”

 

 

ทหารเยียนซานั้นผลิแย้มรอยยิ้ม ปล่อยมือของนาง ร่นถอยสามก้าว สะบัดมือเพียงครั้งให้สหายร่วมกองทัพข้างหลังแล้วนำหน้ากระโดดลงจากเวที

 

 

ทหารเยียนซาจากไปโดยไม่รั้งรอแม้เพียงน้อย กลับทิ้งทหารอวี้จ้าวคั่งหลงไว้บนเวทีเยี่ยงนี้ เหล่าทหารมองหน้ากันไปมา

 

 

ดวงเนตรดำขลับของกงอิ้นจ้องมองจิ่งเหิงปัวเขม็ง อีกด้านโบกมือเชื่องช้า อวี้จ้าวและคั่งหลงได้รับบัญชาของเขาจึงรีบเร่งลงจากเวทีดุจได้รับอภัยโทษเช่นกัน

 

 

เรื่องราวหลั่งโลหิตฉากหนึ่งซึ่งชักดาบโก่งคันศรแล้ว พริบตาเดียวแยกย้ายกันปานละครตลกเพียงด้วยเพราะวาจายิ้มแย้มไม่กี่ประโยค ท่าทางไม่กี่ท่า หรือว่าด้วยเพียงสายตาปลอบโยนช่วงหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนอยู่บนเวที ยังยิ้มแย้มโบกมือร่วมส่งพลางกล่าวว่า “ครั้งหน้าไม่ต้องมาแล้วน้า…”

 

 

ทุกคนจ้องมองนิ้วมือสีขาวราวหิมะขึ้นลงของนางแล้วต่างงงงวยขึ้นมา ด้วยเพียงมือคู่หนึ่งนี้ที่พอมองแล้วมิเคยฝึกวรยุทธ กรีดกรายแผ่วโผยดุจดีดสายพิณ ยังขจัดการสังหารที่ไร้ผู้คนหยุดยั้งฉากหนึ่งจนสูญสลายไปได้หรือ

 

 

ผู้รอบรู้คล้ายเข้าใจขึ้นมา…หรือว่านี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความอ่อนโยนสยบเหล็กกล้า ซึ่งเป็นเสน่ห์นิสัยของสตรีผู้เลิศล้ำโดยแท้จริง

 

 

เรือนร่างเกร็งแน่นของกงอิ้นค่อยๆ ผ่อนคลาย ในที่สุดจึงนั่งลงอย่างสวัสดิภาพ ยื่นมือเพียงครั้งรับถ้วยชาที่เหมิงหู่ส่งมาให้

 

 

จิตใจสงบโดยพลัน

 

 

ด้วยเพราะรู้ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงพักตร์สรวลเริงร่าเสียสติของนางคือดวงใจเกรียงไกรแลไร้ความหวาดกลัวอย่างแท้จริงดวงหนึ่ง ดวงใจนั้นทนรับลมพายุฝนฟ้าคะนองจากฟ้าดินได้ แลแบกรับความลำบากยากแค้นทรมานจากโลกมนุษย์ได้

 

 

น้ำชาสีเขียวแจ่มแจ้ง ใบชาม้วนแผ่ดุจเมฆา จิตใจยามนี้ดั่งคล้ายแช่อยู่กลางธารเขียวแจ่มแจ้งแห่งนี้ นุ่มนวลเงียบสงบ เมฆาม้วนเมฆาคลาย

 

 

สุดท้ายแล้วเขาเริ่มเกิดความประหลาดใจต่อเรื่องราวลำดับถัดไปอย่างเยือกเย็น

 

 

สตรีผู้ดุจดั่งมีผืนดินแผ่นฟ้าในดวงใจจะสาดส่องต้าฮวงในครู่หนึ่งนี้อย่างไรอีก