กงอิ้นนั่งลงแล้ว เหยียลี่ว์ฉียังยืนอยู่
ตรงข้ามกับกงอิ้น เรือนร่างของเขาเกร็งแน่น ยังคงมองดูทิศทางที่ทหารเยียนซาจากไปอย่างไม่เชื่อสายตา
มีเพียงเขาที่รู้ว่าทหารเยียนซาเป็นกองทัพอย่างไร แม้ว่าบัดนี้กองทัพกองนี้ยังเชื่อฟังคำบัญชาของตระกูลเหยียลี่ว์ ทว่าความผูกพันทางสายเลือดเพียงน้อยนิดนั้นในยามแรกค่อยๆ เจือจางตามการสืบทอดเชื้อสายในแต่ละรุ่น ยามนี้พลังการควบคุมที่ตระกูลเหยียลี่ว์มีต่อกองทัพกองนี้ย่อมไม่มากเท่ากาลก่อนเนิ่นนานแล้ว
ฉะนั้นสำหรับสัตว์ร้ายฝูงนี้ เขาคุ้นเคยยิ่งยวดและเตรียมป้องกันยวดยิ่ง ตนเองใคร่ครวญครุ่นคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเมื่อครู่ เขาคงไม่เสี่ยงอันตรายเดินไปยังข้างกายทหารเยียนซาผู้ใดผู้หนึ่ง
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขารู้ความหมายที่ท่าทางนั้นแสดงออกมา…
เหยียลี่ว์ฉีมองจิ่งเหิงปัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเต็มที่รอบหนึ่งอีกครั้ง คล้ายได้มองนางอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
แสงแวววาวในดวงตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดจึงพ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งออกมาแล้วกอดอกนั่งลง
ในฝูงชน เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นเงียบสงบอย่างหาได้ยาก หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน อีชีจึงถอนหายใจยาว
ในเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความฉงนสนเท่ห์
“เหล่าพี่น้อง ดูท่าทางเช่นนี้แล้ว ภายหลังคงไม่มีเรื่องนั้นหรอก…” เขาถามว่า “ตาเฒ่าคำนวณพลาดแล้วใช่หรือไม่”
…
สองมหาราชครูต่างกลับสู่ความสงบเงียบโดยพลัน แม้แต่การทะเลาะวิวาทก่อนหน้านี้ยังคล้ายหลงลืมไปแล้ว
ผู้คนที่เหลือไร้กะจิตกะใจจะสืบเสาะเช่นกันด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวไม่ได้ลงจากเวที นางลากชายกระโปรงขนาดมหึมาของนางเดินไปยังกึ่งกลางเวที
“ในความเห็นของข้า การโต้เถียงของพวกเจ้าเมื่อครู่ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย” ประโยคเดียวของนางสะเทือนฟ้าดิน
“โอ้” เหยียลี่ว์ฉีนำหน้าไถ่ถามท่ามกลางเสียงแสดงความเห็นอื้ออึง
“ลงโทษข้า กักบริเวณข้าหรือลอบทำร้ายข้า ควรต้องไถ่ถามความเห็นของข้าก่อนหรือไม่” นางชี้ที่จมูกตนเอง ยิ้มอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าข้าไม่เห็นด้วย”
ทุกคนหัวเราะครืน
“หากพระองค์ทรงผ่านการทดสอบในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้ บางคราพระองค์อาจทรงมีคุณสมบัติจะตรัสวาจาประโยคนี้พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางท่านหนึ่งหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ยามนี้หรือ…เหอะๆ”
ทุกคนหัวเราะเหอะๆ เช่นกัน
“เหอะๆ น้องสาวเจ้าสิ” จิ่งเหิงปัวแบะปากครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ใช่ ข้าไม่ผ่านการทดสอบของพวกเจ้า ทว่าการทดสอบของพวกเจ้าจักพิสูจน์ความสามารถสารพัดได้หรือ การทดสอบของพวกเจ้าจักทดสอบความสามารถที่แท้จริงของราชินีองค์หนึ่งออกมาได้จริงหรือ”
“บทกลอนบทกวีร้องระบำทำเพลง กู่ฉินหมากล้อมเขียนพู่กันวาดภาพ วรยุทธการทหาร เศรษฐกิจการเมือง” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ย “คำถามที่ครอบคลุมความรู้ความสามารถทั่วโลกหล้าทุกสิ่งอย่าง วันนี้ล้วนได้เคยถามพระองค์รอบหนึ่งแล้ว หรือว่าพระองค์ยังทรงเสนอความสามารถที่เหลือนอกเหนือจากนี้ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้!” จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงตะโกน
“เหอะๆ! ขอฟังให้ละเอียด!”
“ข้าถามพวกเจ้าก่อนว่าการเป็นจักรพรรดิควรจะทำเรื่องใดให้ดีก่อน”
“ปกครองแว่นแคว้น ดูแลการเมืองในราชสำนักให้มั่นคง สร้างสมดุลระหว่างขุนนาง สยบภายนอกสงบภายใน” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แลความสามารถเหล่านี้ต้องการการค้ำจุนจากความสามารถพื้นฐานเหล่านั้นที่ผู้ชราร่ายออกมาเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ปกครองอย่างไร มั่นคงอย่างไร สยบภายนอกหรือสงบภายในอย่างไร”
“กระหม่อมน่ะเข้าใจ เพียงเกรงว่าหลังจากเอ่ยแล้ว ตำแหน่งจักรพรรดินี้กระหม่อมคงเป็นได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวเราะกันครื้นเครงระลอกหนึ่ง ไร้ซึ่งเจตนาดี
“เสแสร้ง!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเช่นกัน กล่าวว่า “ฝันไปชาติหน้าเถิด! เจ้าเข้าใจอะไรเล่า!”
“ฝ่าบาททรงนึกว่าถ้อยคำหยาบคายจะทำให้ทรงผ่านด่านไปมั่วซั่วได้หรือ”
“เอ่ยวาจาระดับใดกับคนระดับนั้น เจ้าคู่ควรเพียงระดับนี้” จิ่งเหิงปัวไม่ถอยสักก้าว กล่าวว่า “ปกครองแว่นแคว้น ดูแลการเมืองในราชสำนักให้มั่นคง นำทหารต้านศัตรู ดูแลขุนนางและราษฎรให้สงบสุข แท้จริงแล้วเอ่ยทะลุปรุโปร่งว่าต้องทำเรื่องหนึ่งให้ได้…”
นางเพิ่มเสียง กล่าวว่า “ให้ราษฎรกินอิ่มท้อง!”
เสียงหัวเราะดังก๊ากทั่วทั้งลานกว้างเงียบสงัดคล้ายถูกมีดเฉือนสะบั้น
“ข้าเอ่ยผิดหรือไม่” จิ่งเหิงปัวบีบคั้นซักถามเซวียนหยวนจิ้งว่า “กินอิ่มท้องแล้วถึงจะมอบธัญพืชจ่ายภาษีได้ กินอิ่มท้องแล้วถึงจะทำให้จิตใจราษฎรมั่นคงได้ กินอิ่มท้องแล้วจะไม่มีความวุ่นวายในแคว้น กินอิ่มท้องแล้วถึงมีกำลังโจมตีผู้อื่น เจ้ากล้าเอ่ยว่ากินอิ่มท้องไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดหรือ!”
ทุกคนไร้วาจา จิ่งเหิงปัวใช้คำเข้าใจง่ายทว่าหลักการถูกต้องยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาปากท้องของราษฎรล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต่อให้ที่แห่งนี้มีตระกูลผู้ดีไม่คิดเช่นนั้นด้วยรู้สึกว่าเกียรติภูมิของตระกูลผู้ดีสำคัญที่สุด การปกครองราชสำนักสำคัญที่สุด ย่อมคงจักไม่เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาเบื้องหน้าราษฎรนับพันนับหมื่นนี้เป็นแน่
ราษฎรแถวหน้าได้ยินวาจาประโยคหนึ่งนี้แล้วต่างกระตือรือร้นขึ้นมาโดยพลัน
“ใช่! กินอิ่มท้องสำคัญที่สุด!”
“พวกเราจะกินอิ่มท้อง!”
“ความสามารถนับพันนับหมื่น หากสามารถทำให้พวกเรากินอิ่มท้องได้ย่อมเป็นเจ้านายที่ดี!”
…
“ฝ่าบาททรงหวังจะปลุกเร้าอารมณ์ราษฎรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พระองค์ทรงรู้ได้อย่างไรว่าทั่วทั้งราชสำนักเราไม่เคยพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ราษฎรกินอิ่มท้อง เรื่องนี้เดิมทีเป็นหน้าที่สำคัญอันดับแรกของราชวงศ์ปัจจุบัน ทว่าภูมิศาสตร์ต้าฮวงจำกัดตั้งแต่กำเนิดจักทำอย่างไร แม้ผลิตเพชรพลอยทองคำมากมาย ทว่าทั้งมีลุ่มน้ำพันลี้ ดินแดนทุรกันดาร แผ่นดินที่ธัญญาหารยากจะอุดมสมบูรณ์ ข้าวเปลือกไร้ผืนดินให้เพาะปลูก บึงโคลนส่วนใหญ่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแลครอบครองที่ดินโดยเสียเปล่า ทั้งแคว้นมีที่ดินที่สามารถเพาะปลูกเพียงหนึ่งถึงสองส่วนในสิบส่วน จะไปปลูกธัญพืชที่ใด จะไปกินอิ่มที่ใด”
“หากว่า…” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “หากว่าข้าทำให้ราษฎรกินอิ่มได้ล่ะ”
ทั่วทั้งลานกว้างต่างเงียบสงบโดยพลัน
ราษฎรที่ผิดหวังแยกย้ายไปหยุดฝีก้าวโดยพลัน
ถ้วยชาในมือกงอิ้นปิดเข้าหากันเพียงครั้ง เงยหน้าฉับพลัน ชาร้อนเกือบจะกระเซ็นโดนมือ
เหยียลี่ว์ฉีที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมองทหารเยียนซาโดยตลอดหันกลับมาโดยพลัน
คนมากกว่านั้นกลับเปล่งเสียงหัวเราะดังก้องออกมาโดยพลัน
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ…” เซวียนหยวนจิ้งหัวเราะเสียงดังมองดูรอบทิศทาง เอ่ยว่า “วาจานี้ฟังแล้วคุ้นหูยิ่งนัก!”
“นั่นสิ” ซังต้งยิ้มแย้มอย่างสุภาพเยือกเย็น เอ่ยว่า “คล้ายว่าราชินีผู้สืบราชสันตติวงศ์ทุกลำดับต่างทรงตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้ ทว่าจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถกระทำได้โดยสิ้นเชิง”
“หรือว่าราชินีองค์ใหม่ของพวกเราอาจจะทรงทำได้เล่า” ยามนี้เฟยหลัวจึงเดินกรีดกรายปรากฏออกมา เม้มปากยิ้มเพียงครั้ง เอ่ยสืบต่อว่า “เช่น ทรงเรียกหาวิหคเทวะล่องหนทิ้งธัญญาหารนับมิถ้วนลงมาอะไรเช่นนั้น”
เป็นเสียงหัวเราะดังก้องอีกระลอกหนึ่ง
มหาปราชญ์ที่นั่งโกรธเคืองทำหน้าบึ้งโดยตลอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้นลุกขึ้นโดยพลัน ชี้ตรงจมูกจิ่งเหิงปัวพลางตวาดว่า “อย่าหวังนำเรื่องนี้มาล้อเล่น! มิฉะนั้นผู้ชราไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ทุกคนมองสีหน้าเขียวคล้ำของเขาแล้วต่างผุดเผยสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง…ยามนั้นบิดามารดาพี่ชายน้องชายของผู้สูงอายุท่านนี้ล้วนอดอยากสิ้นชีพทั้งเป็นด้วยเพราะภัยแล้งครั้งนั้น วัยเด็กน่าเวทนายิ่งนัก ชั่วชีวิตตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ไว้ว่าชาตินี้ขอให้ไร้ผู้อดอยากสิ้นชีพอีกแม้แต่เพียงผู้เดียว หากมีผู้สามารถทำได้จะยอมให้ตระกูลตนหลายชั่วคนเป็นข้ารับใช้ผู้นั้น
ทว่าเอ่ยจนท้ายสุดแล้ว ปณิธานอันยิ่งใหญ่ย่อมเป็นเพียงปณิธานอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ในบึงโคลนยากจะปลูกข้าวเปลือกธัญญาหาร มักจะปล่อยน้ำได้ไม่แห้ง อีกทั้งครอบครองพื้นที่ใหญ่เกินไป การฝังกลบเกินควรจะทำให้เกิดน้ำท่วมหรือความแห้งแล้ง แลไม่รู้ว่าเพราะได้รับอิทธิพลจากบึงโคลนมากเกินไปหรือไม่ ที่ดินธรรมดาจำนวนมากปลูกพืชพันธุ์ออกมาได้ไม่มากเท่าใดเช่นกัน นี่เป็นปัญหาแก้ยากไร้วิธีแก้ไขตลอดกาลของต้าฮวง
“ล้อเล่นอะไร!” จิ่งเหิงปัวที่อารมณ์ดีมาโดยตลอดหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยพลัน โบกมือกลางอากาศอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เอากรงเล็บของเจ้าลงไป พี่รังเกียจการถูกคนชี้จมูกเป็นที่สุด!”
“หากเจ้าเอ่ยวาจาพิกลพิการอีก จะไม่ใช่เพียงผู้ชราชี้จมูกเจ้า ทว่าทุกคนจะต้องการชีวิตของเจ้า!” มหาปราชญ์โกรธจนคิ้วสีขาวราวหิมะสะท้านสะเทือน เอ่ยว่า “บึงโคลนจะปลูกธัญพืชได้อย่างไร!”
“ไม่ปลูกธัญพืชแล้วไม่มีวิธีอื่นหรือ สมองตายแล้วหรือ”
“หลายร้อยปีมานี้ไม่รู้ว่าทุกคนคิดหาวิธีมากมายเพียงใด จักให้เจ้าวิพากษ์วิจารณ์มั่วซั่วในยามนี้อย่างไรกัน!” เจ้าผู้ชราตบบนเก้าอี้ตนเองอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “อย่าหวังเอ่ยวาจามั่วซั่วเต็มปากในที่แห่งนี้! วันนี้ผู้ชราขอเอ่ยต่อที่แห่งนี้ หากเจ้าแก้ไขธัญพืชแห้งแล้งได้ ผู้ชราจักเป็นข้ารับใช้ของเจ้าชั่วชีวิต กระทำตามคำสั่งของเจ้า หากเจ้าเพียงหลอกลวงราษฎร ผู้ชราไม่สนใจว่าเจ้าเป็นราชินี ขอดาบประหารเจ้าเป็นผู้แรก!”
“ต้องการตาเฒ่าเช่นเจ้าเป็นข้ารับใช้ทำอะไร พอถึงยามนั้นกลายเป็นว่าเจ้าปรนนิบัติข้าหรือว่าข้าปรนนิบัติเจ้า” จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก กล่าวว่า “ไอ้พวกโง่มันสมองไม่วิวัฒนาการ! ผืนบึงโคลนปลูกธัญพืชผลผลิตไม่ได้ เหตุใดจึงมิอาจปลูกสิ่งอื่น ผู้ใดกำหนดว่าธัญญาหารถึงจะลงท้องได้ ขอเพียงเป็นของกินย่อมป้อนให้ท้องอิ่มได้ มิใช่หรือ”
พอเอ่ยมาทุกคนเงียบสงัด
วาจาเดียวสะบั้นเมฆครึ้ม
ระบบความคิดคือสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ยามไม่มีผู้ทำลายมัน ทุกผู้คนต่างพุ่งดิ่งเฮโลไปเบื้องหน้าตามวงโคจรสายนั้น พอมีผู้ทำลายมัน ทุกคนถึงได้ตื่นตะลึง อา ที่แท้ยังมีความคิดอีกแบบหนึ่ง แท้จริงแล้ววิธีคิดอีกแบบหนึ่งง่ายดายเช่นนี้ เหตุใดตนเองในยามแรกจึงคิดไม่ถึง
บนลานกว้างเงียบสงบโดยพลันแล้ว ไม่ว่าความรู้สึกที่มีต่อราชินีจะเป็นอย่างไร ปากท้องของราษฎรล้วนเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งด้วยเพราะสัมพันธ์กับความมั่นคงของอำนาจการเมือง คนเกือบส่วนหนึ่งเริ่มครุ่นคิด ใบหน้าบางคนผุดเผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ บางคนลุกยืนออกมาโดยตรง
กงอิ้นมีสีหน้าชื่นชมเล็กน้อย ทว่าไร้ซึ่งสีหน้าประหลาดใจ ประเด็นหนึ่งนี้เขาย่อมคิดได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่รูปร่างลักษณะภูมิประเทศของต้าฮวงถูกจำกัด เกษตรกรรมไม่พัฒนา การทดลองเพาะปลูกในบึงโคลนไม่เคยสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นจนบัดนี้ หากมีผู้สามารถชี้เส้นทางหนึ่งออกมาให้ชัดแจ้ง อย่างน้อยย่อมสามารถย่นเวลาการสืบเสาะไปได้หลายสิบปี มีคุณูปการล้นพ้นต่อต้าฮวง
คนผู้นี้ จะใช่นางหรือไม่