บทที่ 804 คนรู้จักเก่า!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ในการเดินทางครั้งต่อมา ขณะที่หวังเป่าเล่อออกไปไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขึ้นทุกทีๆ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เก็บสะสมทรัพยากรได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนี้เขาก็ป้อนต้นไผ่ศิลาให้แมลงปอกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันพัฒนาจนบรรลุขั้นเป็นเรือบินรบเวทอย่างสมบูรณ์!

ทว่าเพราะหวังเป่าเล่อยังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ เขาจึงไม่สามารถผสานรวมกับเรือบินรบเวทและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นชุดเกราะส่วนตัวได้อย่างที่เทพธิดาหลิงโยวเคยทำ

แม้สถานการณ์จะขลุกขลักสักหน่อยในตอนนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ได้ค้นคว้าวิธีแก้ปัญหามาแล้ว แต่วิธีการที่ว่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มยังต้องการเวลาเพื่อวิเคราะห์และหาผลลัพธ์อีกสักหน่อย

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทรัพยากรที่เจ้าอู๋น้อยต้องเสียสละตัวเองอย่างใหญ่หลวงเพื่อแลกมาก็ทำให้ขุมกำลังของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่น หวังเป่าเล่อได้เสริมพลังเรือบินรบในกำไลคลังเวทเกือบหมดทุกลำ ทำให้ในขณะนี้ พลังทำลายตัวเองของเรือบินรบจึงกล้าแข็งยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

โดยเฉพาะเมื่อเรือบินรบกว่าร้อยลำถูกหวังเป่าเล่อออกแบบเป็นพิเศษให้มีพลังระเบิดเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่โจมตีเต็มพิกัด ส่วนเรือบินรบที่เหลือนั้ก็มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสูงสุด

มีเรือบินรบอีกสิบลำที่หวังเป่าเล่อสงวนเอาไว้เป็นไพ่ตาย ทันทีที่พวกมันระเบิด ก็จะมีพลังทำลายเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ จากการคำนวนของหวังเป่าเล่อ หากชายหนุ่มใช้พลังของเรือบินรบ บวกกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา และตั๊กแตนเรือบินรบเวท ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ขั้นจิตวิญญาณอมตะ…หากอีกฝ่ายไม่มีเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน

หรือต่อให้อีกฝ่ายมีเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็ยังมั่นใจว่าจะรับมือได้ และยังสามารถหลบหนีได้ทันท่วงทีอีกต่างหาก

การเดินทางนับหมื่นกิโลเมตรนั้นดีกว่าการอ่านหนังสือนับหมื่นเล่มจริงๆ… หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงคลื่นอารมณ์อันหลากหลาย ชายหนุ่มตระหนักได้ว่า การตัดสินใจออกเดินทางสำรวจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และหากเขายังทำเช่นนี้ต่อไป หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่า เมื่อถึงเวลาที่กองทหารของเขาเดินทางกลับไป มันต้องเปลี่ยนแปลงไปมากจนทุกคนตกตะลึงอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เมื่อได้ฤทธิ์จากโอสถที่อู๋น้อยเสียสละตนเองเพื่อแลกมา หวังเป่าเล่อก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อย่างรวดเร็วและมั่นคงขึ้นทุกที

ตอนที่ข้าเดินทางกลับ…ข้าหวังว่าจะบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว จากนั้นหากข้าสามารถผสานรวมเกราะจักรพรรดิของข้าเข้ากับเรือบินรบเวทได้ พลังของข้าก็จะนำผู้อื่นไปอีกหลายขุม แล้วยิ่งผสานเข้ากับอาวุธเทพอีกเล่า…ข้าในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นย่อมสามารถกำราบกระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้แน่! หวังเป่าเล่อรู้สึกลำพองใจ ความมุ่งมั่นของเขาพุ่งจะยานสูงขณะขับเรือบินรบเวทไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มพาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อย ผู้ที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากการพักผ่อน เดินทางมุ่งหน้าต่อไป

อาจเพราะเจ้าอู๋น้อยได้เสียสละครั้งใหญ่ให้หวังเป่าเล่อ ดังนั้นหลังจากที่หายจากอาการบาดเจ็บ แม้ว่าเจ้าอู๋น้อยจะยังเคารพนับถือชายหนุ่มอยู่มาก แต่เด็กหนุ่มก็ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย และเมื่อต้องอยู่กับเจ้าลาสองต่อสอง เขาก็ไม่ได้ประจบประแจงมันเหมือนแต่ก่อน หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าเจ้าอู๋น้อยได้ทำอะไรให้เขาหลายอย่าง จึงเริ่มปฏิบัติกับอีกฝ่ายดีขึ้น

แม้ว่าเจ้าลาจะไม่รู้รายละเอียด แต่มันก็อยู่กับหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่แบเบาะ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างอ่อนไหวกับปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อและสัมผัสสิ่งที่เป็นอยู่ได้ แม้เจ้าลาจะไม่ค่อยพอใจนักในตอนแรก แต่มันก็รู้จักอดทนเพราะว่าแหล่งของกินนั้นย่อมสำคัญกว่า

เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็โยนทรัพยากรจำนวนหนึ่งที่เจ้าอู๋น้อยสละตัวเองเพื่อแลกมาให้เจ้าลากินเป็นอาหาร ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ส่งข้อความเสียงไปขอให้เจ้าลาทำตัวดีๆ กับเจ้าอู๋น้อย เพื่อที่ว่า…พวกเขาจะได้ขอให้เจ้าอู๋น้อยสละตัวเองได้อีกในอนาคต

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เจ้าลาจึงยอมรับความเปลี่ยนแปลงเรื่องเจ้าอู๋น้อยในครั้งนี้ได้

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เรือบินรบเวทพุ่งทะยานผ่านจักรวาล สี่เดือนผ่านไป ระหว่างนี้ หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าตรงลึกเข้าไปในอวกาศ และเริ่มปล้นชิงได้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเพิ่มระดับเรือบินรบอีกครั้ง และพลังปราณของเขาก็เข้าใกล้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูณร์เข้าไปทุกที

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าตนเดินทางมาเป็นเวลานานแล้ว และกำลังครุ่นคิดว่าจะเคลื่อนย้ายกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดีหรือไม่ ชายหนุ่มก็มาถึงระบบดาวเคราะห์หนึ่ง…ที่ทำให้เขาตกตะลึงแม้จะเห็นสิ่งต่างๆ มามากมายจากการสำรวจก็ตามที!

ระบบดาวเคราะห์นี้กว้างใหญ่ไพศาลกว่าระบบดาวเคราะห์ใดๆ ทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยพบเห็นมา อันที่จริงแล้ว จากการคาดคะเนของเขา ระบบดาวเคราะห์นี้น่าจะใหญ่กว่าระบบสุริยะหลายหมื่นเท่า

แค่ดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์อย่างเดียว…ก็มีเป็นร้อยๆ ดวงแล้ว ร่องรอยการบุกรุกของมนุษย์นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะตรงใจกลางของระบบดาวเคราะห์นั้น มีดารานิรันดร์นับร้อยต่างก่อตัวกันเป็นวงแหวนปราณที่งดงามจนสุดบรรยาย!

ภายในวงแหวนปราณมีตลาดขนาดยักษ์ตั้งอยู่!

ตลาดไม่ได้สร้างจากดาวเคราะห์หลายดวงต่อๆ กัน หากแต่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่รูปร่างแปลกประหลาด มีดาวเคราะห์นับร้อยดวงที่ขนาดพอๆ กับโลกรายล้อมอยู่ ดาวเคราะห์เหล่านั้นทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง เพราะชายหนุ่มมองออกว่าพวกมันคือปราการที่ดัดแปลงมา!

ดาวเคราะห์หลายร้อยดวงที่ว่านั้นล้วนเป็นที่ตั้งของอารยธรรมซึ่งแตกต่างกันไป ราวกับว่าทุกคนมารวมกันที่นี่เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำให้ระบบดาวเคราะห์แห่งนี้คึกคักกว่าระบบดาวเคราะห์อื่นใดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นในการเดินทางครั้งนี้มากมายนัก

หวังเป่าเล่อเห็นว่าเหล่าผู้ฝึกตนในตลาดนั้นมีอยู่หลายพันคน ต่างก็มีขนาดที่หลากหลายกันไป มี บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็มีรูปร่างคล้ายอสูรร้าย และบ้างก็ดูเหมือนต้นไม้ไปเสียอย่างนั้น

นอกจากนั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ศิลาด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจที่สุดก็คือ เขาได้เห็นเรือบินรบเวทที่ไม่มีเจ้าของบินผ่านหน้าไป

“ท่านบิดา สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นศูนย์การค้าแห่งจักรวาล” ความรอบรู้ของเจ้าอู๋น้อยนับว่ามีประโยชน์หลายครั้งแล้วในการสำรวจครั้งนี้ เมื่อเด็กหนุ่มมองเห็นระบบดาวเคราะห์แห่งนี้ เขาก็เปรยกับหวังเป่าเล่อด้วยเสียงแผ่วเบา

หวังเป่าเล่อจ้องไปยังเจ้าอู๋น้อยด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะเริ่มถามคำถาม ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็ได้ฟังจากเจ้าอู๋น้อยว่ามีตลาดหลากหลายขนาดที่ควบคุมโดยตระกูลไม่รู้สิ้นกระจายอยู่ทั่วจักรวาล ทำหน้าที่เป็นศูนย์การค้าให้กับผู้ฝึกตนจากระบบดาวเคราะห์ใกล้เคียง

มีตลาดเช่นนี้หลายต่อหลายแห่ง และทุกๆ แห่งก็มีประวัติยาวนาน โดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่บางแห่ง และตลาดแห่งนี้…ก็เป็นหนึ่งในตลาดใหญ่หายากที่เจ้าอู๋น้อยพูดถึง

“ท่านบิดา ผืนแผ่นดินใหญ่ตรงกลางนั้นเป็นตลาดหลักและเป็นสถานที่สำหรับผู้จัดงาน ดาวเคราะห์โดยรอบเป็นทั้งปราการของตระกูลต่างๆ และตลาดขนาดย่อมของพวกเขาเอง ผู้ฝึกตนทั้งหลายที่พากันมาที่นี่สามารถเดินเข้าออกตลาดทั้งหลายได้ตามใจชอบและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตามต้องการ” เจ้าอู๋น้อยกระแอมกระไอออกมาแล้วก็อดรู้สึกพึงใจกับความรอบรู้ของตนเองไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมว่าท่านบิดาเป็นใคร จึงต้องรักษามารยาทเอาไว้ยามที่พูดกับหวังเป่าเล่อ

“น่าสนใจดีนี่” หวังเป่าเล่อกวาดตามองผืนแผ่นดินใหญ่ หลังจากใคร่ครวญเสร็จ เขาก็ขับเรือบินรบเวทมุ่งไปหาอย่างรวดเร็ว เมื่อลงจอด ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเวทและเริ่มเดินสำรวจรอบๆ ผืนแผ่นดินใหญ่ สถานที่แห่งนั้นคือโลกที่มีบ้านพักอาศัยหรูหราอยู่บนทุกยอดเขา ทุกแม่น้ำ ทุกมหาสมุทร และทะเลทราย

บ้านพักหรูหราบางแห่งมีคนอยู่มากมาย บ้างก็มีคนอยู่เพียงหยิบมือ สิ่งของที่วางขายก็หลากหลายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแตกต่างกันไปตามแต่ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเวท โอสถ คัมภีร์ เคล็ดวิชาฝึกปราณ หรือวัตถุดิบ มีสินค้าทุกประเภทมากมายหลากหลายให้เลือกสรร

หวังเป่าเล่อเดินไปมาอยู่ร่วมสัปดาห์ ระหว่างนั้น ชายหนุ่มสำรวจร้านค้าแทบทั้งหมดบนผืนแผ่นดินใหญ่ เขามองดูบางร้านอย่างพินิจพิเคราะห์กว่าร้านอื่นๆ แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินดูสักเท่าใด ความคลั่งไคล้ปรารถนาในจิตใจและความริษยาก็พุ่งถึงจุดสูงสุด เพราะทุกๆ ร้านต่างก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก

ข้ายังจนอยู่เลย…หากไม่ได้มาที่นี่ หวังเป่าเล่อก็คงคิดว่าตนนั้นค่อนข้างมั่งมี แต่หลังจากที่มาถึงที่นี่แล้ว เขาก็เข้าใจดีว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่กระทั่งมันระเบิดออกมาเมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้านสามชั้นหลังงามที่สร้างอยู่บนมหาสมุทร บ้านหลังงามนั้นตั้งสง่าอยู่บนพื้นผิวมหาสมุทร ราวกับว่าถูกสร้างบนพื้นผิว แต่ก็ดูเหมือนลอยอยู่ด้านบนมหาสมุทรไปพร้อมๆ กัน แถมมันยังใหญ่เสียจนเรียกว่าปราสาทอาจจะเหมาะกว่า บ้านทั้งหลังสร้างโดยใช้ศิลาวิญญาณชั้นเลิศเป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีสิ่งของตกแต่งมากมายที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จัก ซึ่งทำให้บ้านทั้งหลังส่องประกาย สะท้อนเอาแสงของดวงอาทิตย์นับร้อยดวงบนท้องฟ้าออกไปเสียจนแสบตากันทั่วจักรวาล

จากร้านค้าทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อได้เห็นมา ปราสาทแห่งนี้มีสินค้าครบถ้วนที่สุด มันอัดแน่นไปด้วยสิ่งของแทบทุกอย่างที่ชายหนุ่มได้เห็นมาก่อนหน้านี้

-ขณะเดียวกัน ระดับพลังปราณของผู้คนที่มาที่นี่ก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อเห็นว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังมีท่าทางสุภาพ ไม่กล้าออกฤทธิ์เดชแม้ว่าระดับปราณจะสูงถึงเพียงนั้นก็ตาม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้หวังเป่าเล่อเลือกดูสิ่งของด้วยความกระอักกระอ่วนใจแม้จะสนใจมากก็ตาม พนักงานขายของปราสาทมองเขาด้วยสายตาสุขุม หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะซื้อของนั่นเอง…พนักงานขายที่อยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมองไปด้านหลังหวังเป่าเล่อ ก่อนจะก้าวออกมาอย่างเร็วและก้มโค้งคำนับต่ำ มือประสานกันหันมาทางหวังเป่าเล่อ

“คารวะนายน้อย!”

ตอนที่พนักงานขายมองไปด้านหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ก่อนแล้ว จึงหันศีรษะกลับไป และมองเห็นเงาที่คุ้นเคย บุรุษผู้นั้นสวมชุดคลุมสีขาว มีพัดกระดาษอยู่ในมือ สวมหมวกทรงเหลี่ยม เขาเดินออกมาจากปราสาท มุ่งหน้ามาทางฝูงชน ท่าทางการวางตนเปี่ยมไปด้วยรัศมีอันน่าตื่นตะลึง

บุรุษผู้นั้นยังเยาว์วัย และชุดของเขาพลิ้วไหวราวกับเป็นสายน้ำ มันโบกสะบัดราวกับมีเกลียวคลื่นซัดพาไปมาขณะที่ร่างนั้นก้าวเดิน หมวกทรงเหลี่ยมบนศีรษะปลดปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงที่กดดันสิ่งรอบข้างราวกับเป็นอาวุธเทพ พัดกระดาษในมือก็ยิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่ามันจะเปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่งแต่ก็มีคลื่นพลังระดับดารานิรันดร์แผ่ออกมาไม่ขาดสาย

ทันทีที่มองเห็นชายหนุ่มผู้นั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงก่อนตะโกนอยู่ในใจ

เซี่ยไห่หยางหรือ

……………………….