บทที่ 805 ช่างน่าเสียดายที่ไม่ใช่เจ้า!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บุรุษผู้นั้นคือสหายเก่าของหวังเป่าเล่อ…เซี่ยไห่หยาง!

เซี่ยไห่หยางคือบุรุษลึกลับผู้อ้างตนเป็นนักธุรกิจเมื่อครั้งอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะหายตัวไป เขาได้พบหวังเป่าเล่ออีกครั้งที่สำนักวังเต๋าไพศาลแล้วก็หายตัวไปอีกครา…

ตอนนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อได้เห็นเซี่ยไห่หยางอีกครั้งที่นี้ แม้ว่าจะตกใจเพียงใด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตนไม่ได้แปลกใจนัก ราวกับว่าลึกลงไปในใจ เขารู้ว่าต้องได้พบเซี่ยไห่หยางอีกครั้งแน่นอน

ข้าสงสัยว่า…บุรุษผู้นี้จะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในความคิด ด้านหนึ่ง ชายหนุ่มนึกถึงเกมที่เซี่ยไห่หยางนำไปเผยแพร่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล เมื่อมานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้งในตอนนี้ ชายหนุ่มก็คิดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือตอนนี้ เขาก็แน่ใจว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ในเกมต้องเป็น…ดาวอาณานิคมแห่งหนึ่งแน่นอน!

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจแล้วจึงระมัดระวังตัวขึ้นอีก แม้จะไม่ได้แสดงออกมาก็ตามที ชายหนุ่มหันศีรษะไปกวาดตาดูก่อนจะหันกลับ แต่ด้วยการกวาดสายตาเพียงครั้งเดียว นอกจากจะมองเห็นเซี่ยไห่หยางแล้ว เขายังเห็นอาวุธเทพและสมบัติเวทบนกายของอีกฝ่ายได้ชัดเจนด้วย

เขาสวมอาวุธเทพที่มีรูปร่างเหมือนผ้าคลุมหน้าบนศีรษะ สวมชุดคลุมปัญญาญาณ และพัดกระดาษของเขาก็มีพลังกดดันเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ แค่วัตถุเวทเหล่านั้นเพียงชิ้นเดียวก็หรูหราเสียจนทำให้ผู้คนอิจฉาริษยาจนตาแทบลุกเป็นไฟและอยากหยิบฉวยเอามาเป็นของตัวเอง แต่หากทุกชิ้นมาปรากฏอยู่บนกายของคนๆ เดียว ความโลภโมโทสันก็อาจต้องถูกเก็บงำเอาไว้ในใจ

เพราะว่า…ผู้ที่สามารถครอบครองวัตถุเวททั้งสามชิ้นพร้อมๆ กันได้ ต้องเป็นผู้ที่มีทั้งสถานะและยศถาสูงส่ง แปลว่าคนผู้นั้นต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่พอจะเขย่าสรวงสวรรค์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสวมใส่วัตถุเวททั้งสามชิ้นได้พร้อมกันอย่างสบายอกสบายใจ

วัตถุเวททั้งสามยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อแน่ใจกับการคาดเดาของตนเองก่อนหน้านี้ขึ้นไปอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปทักเซี่ยไห่หยางแต่อย่างใด เขาคิดว่าการหลบหน้าบุรุษผู้ลึกลับผู้นี้เป็นความคิดที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามขณะนี้หวังเป่าเล่อปลอมตัวเป็นหลงหนานจื่ออยู่ เขาจึงไม่กลัวถูกจับได้ ส่วนเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาก็อยู่ในเรือบินรบเวท และหวังเป่าเล่อก็ซ่อนมันเอาไว้อย่างดี ดังนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถใช้โอกาสนี้เรียนรู้ประวัติของเซี่ยไห่หยางเพิ่มเติมได้

ตัวอย่างเช่น ร้านค้านี้ ซึ่งนับเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดเพราะมีของครบถ้วนสุดในตลาด ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของเซี่ยไห่หยาง หาไม่แล้ว พนักงานขายตรงหน้าหวังเป่าเล่อคงไม่เรียกเซี่ยไห่หยางว่านายน้อยด้วยท่าทีเคารพนบนอบถึงเพียงนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็มองดูวัตถุดิบรอบตัวต่อไป ขณะที่กำลังเจรจาเรื่องราคาอยู่ ชายหนุ่มก็สงวนท่าที ทำเป็นว่าไม่ใส่ใจเซี่ยไห่หยางมากนัก น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งอยู่บนสหพันธรัฐด้วยผลของกระบวนท่าสารัตถะ

อาจเป็นเพราะทักษะในการแสดงตบตาของหวังเป่าเล่อนั้นยอดเยี่ยม ประกอบกับความพิเศษของกระบวนท่าสารัตถะ จึงทำให้เซี่ยไห่หยางเพียงแต่มองผ่านมาเร็วๆ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางบันไดที่ทอดยาวไปยังชั้นสองของอาคาร ระหว่างทาง บรรดาพนักงานขายคนอื่นๆ ก็ทำความเคารพเขาทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว ลูกค้าจำนวนไม่น้อยในร้านต่างก็พากันโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความนับถืออีกด้วย

ฉากนี้ทำเอาหัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นไม่เป็นส่ำ ชายหนุ่มชั่งใจว่าควรจะออกจากร้านนี้แล้วแสร้งถามประวัติของร้านนี้จากร้านค้าใกล้เคียงอื่นๆ ดีหรือไม่

ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงคิดอยู่ เซี่ยไห่หยางก็เดินขึ้นบันไดไป แต่ในเสี้ยววินาทีที่เงาของชายหนุ่มกำลังจะลับตาไปขณะก้าวขึ้นชั้นสองนั่นเอง ชายหนุ่มก็หยุดเคลื่อนที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพราะมีอุปสรรคบังสายตา แถมสถานที่นี้ยังไม่อนุญาตให้ใช้ดวงจิตในการสำรวจ หวังเป่าเล่อจึงไม่ทันเห็นการกระทำของเซี่ยไห่หยาง แต่จากการยั้งฝีเท้าเพียงครั้งเดียวนั้น ก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นานนัก หลังจากเลือกของที่เข้าตาได้แล้ว เขาก็ตรวจดูเงินที่เหลืออยู่ ก่อนจะกัดฟันซื้อมา

แต่ขณะกำลังชำระเงินอยู่นั้น พนักงานขายก็ตรวจดูใบเสร็จรับเงินของหวังเป่าเล่ออย่างถ้วนถี่ ก่อนจะกวาดสายตามามองชายหนุ่ม และพูดพร้อมส่ายหัวดิก

“สหายเต๋า มีวัตถุดิบหลายชนิดในรายการของท่านที่ร้านของเราจะขายให้ลูกค้าเก่าเท่านั้น ท่านต้องใช้จ่ายถึงระดับหนึ่ง เราจึงจะสามารถแบ่งขายให้ท่านได้”

หวังเป่าเล่อตะลึง หลังจากที่ไต่ถามอยู่ไปมา ชายหนุ่มก็ชักสีหน้า บรรดาวัตถุดิบที่เขาเลือกส่วนมากเข้าข่ายเช่นนี้ทั้งหมด หากหวังเป่าเล่อซื้อของเหล่านี้ไม่ได้ เขาก็ไม่ควรจะซื้ออะไรเลย

โดยเฉพาะวัตถุดิบสามชนิดที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นจากร้านอื่นใดก่อนหน้านี้ หากเขาซื้อจากที่นี่ไม่ได้ เขาก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องไปหาซื้อได้จากที่ไหน

คำตอบของพนักงานขายทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วอย่างลืมตัว

“เอาอย่างนี้ไหมขอรับ นายน้อยของพวกเราเพิ่งจะกลับมาถึง โปรดรอข้าสักครู่เถิดสหายเต๋า ข้าจะขึ้นไปพูดคุยกับท่านให้ นายน้อยของเราชอบผูกมิตรและเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก ข้าเชื่อว่าเขาต้องยอมขายของเหล่านี้ให้ท่านอย่างแน่นอน” แน่นอนว่าพนักงานขายย่อมต้องได้ส่วนแบ่งจากการขายของให้หวังเป่าเล่อด้วย เขาจึงพยายามอย่างมากเพราะรายการของหวังเป่าเล่อนั้นมีราคาพอสมควร หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว พนักงานขายจึงบอกให้หวังเป่าเล่อรอก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง

หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดพนักงานขายไว้ แต่กลับยืนหรี่ตารออย่างสงบ เฝ้าดูว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงเช่นไร คงจะดีหากสถานการณ์คลี่คลายได้ด้วยดี หาไม่แล้ว ชายหนุ่มก็คงต้องคิดดีๆ ว่าจะรับมืออย่างไรต่อไป

เวลาผ่านไปไม่นาน เพียงไม่เกินหนึ่งร้อยลมหายใจ พนักงานขายก็เดินยิ้มแฉ่งลงมาจากชั้นสอง ก่อนจะกล่าวเมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่

“สหายเต๋า นายน้อยของเราอนุญาตให้ท่านซื้อสิ่งของที่ต้องการได้ เขายังเชิญให้ท่านขึ้นไปนั่งพักด้านบนระหว่างรอข้าไปจัดเตรียมวัตถุดิบตามที่ท่านต้องการด้วย”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อยังเฉยเมยขณะจ้องมองลึกเข้าในดวงตาของพนักงานขาย ชายหนุ่มไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เขาจึงเบนหน้าไปมองบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ชั้นสอง หลังจากนั้นชั่วอึดใจ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เปล่งประกาย ก่อนที่จะหัวเราะออกมา

“ดีมาก!” เขาเดินอาดๆ ไปทางบันไดทันที พนักงานขายถึงกับตะลึงเพราะเสียงหัวเราะอันดังสนั่นของหวังเป่าเล่อ และรู้สึกแปลกๆ ที่สัมผัสได้ถึงความลุ่มลึกในน้ำเสียงนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด เมื่อส่งหวังเป่าเล่อถึงบันไดแล้ว จึงผายมือให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปตามลำพัง ก่อนที่ตนจะล่าถอยไปจัดเตรียมของตามรายการที่ชายหนุ่มสั่ง

 เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะขึ้นไปชั้นสอง หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า รีบเดินจ้ำขึ้นไปทันที และเมื่อหันหน้าไปมอง เขาก็เห็นเซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาไม่ห่างออกไปนัก

บรรยากาศบนชั้นสองหรูหรากว่าชั้นล่างมากนัก ตู้กระจกใสที่มีวัตถุเวทสุดมลังเมลืองวางเรียงรายอยู่ทั่วไป ในขณะเดียวกันก็มีกระถางธูปอยู่ทั้งสี่มุมห้อง กลุ่มควันสีเขียวลอยอวลปกคลุมไปทั่ว ส่งกลิ่นหอมหวานที่ดีต่อการฝึกปราณเพราะมันสามารถช่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของพลังปราณในร่างกาย

นอกจากนี้ พื้นบนชั้นสองยังปูด้วยหนังผืนใหญ่ เป็นหนังของอสูรร้ายที่หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน และราวกับว่ามันสามารถแผ่ความอบอุ่นออกมาได้ด้วยตัวเอง อุณหภูมิบนชั้นสองจึงอุ่นสบายยิ่งนัก

ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงยืนมองสิ่งรอบข้างอยู่นั้น เซี่ยไห่หยางก็เงยศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ เขาจ้องมองจนหวังเป่าเล่อเอียงศีรษะมาสบตาด้วย จากนั้นเซี่ยไห่หยางจึงหรี่ตาลงก่อนจะหัวเราะออกมา

หวังเป่าเล่อไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแต่ส่งรอยยิ้มอย่างสุภาพให้ราวกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ก่อนจะยกมือประสานทักทายอีกฝ่าย

“ขอบคุณนายน้อยยิ่งนักที่ตกลงยอมขายสินค้าให้ข้า นายน้อยสะดวกจะให้ข้าเรียกว่าอะไรหรือขอรับ”

“ข้าชื่อเซี่ยไห่หยาง ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก สหายเต๋า เพราะถึงอย่างไร เจ้ากับข้านั้นสนิทกันมาช้านาน ไม่จำเป็นต้องทักทายกันอย่างเป็นทางการนักหรอก เจ้าว่าไหมเล่า”

“สนิทกันอย่างนั้นหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อตะลึง ก่อนจะจ้องมองเซี่ยไห่หยางด้วยสายตาแปลกแปร่ง ชายหนุ่มไม่ได้พูดต่อทันที แต่กลับแสร้งทำเป็นคิดทบทวนอย่างละเอียด หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ จึงได้ฝืนยิ้มออกมา

“ข้าทำรัศมีบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยจากการฝึกปราณก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะความทรงจำของข้าเลอะเลือน ข้าจึงจำท่านไม่ได้ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอขอบคุณที่ท่านยอมขายสินค้าให้ข้า” หวังเป่าเล่อไม่ได้ปฏิเสธ ในฐานะผู้ชำนาญการด้านปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแข็งขันเกินไป ก็จะเท่ากับยอมรับความจริง เพราะอย่างไรเสีย เมื่อคนทั่วไปต้องเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ ส่วนมากก็คงไม่ปฏิเสธเสียงแข็งเท่าใดนัก

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย น้ำเสียงและท่าทางของหวังเป่าเล่อทำให้เซี่ยไห่หยางรู้สึกชั่งใจ ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก กลับกัน เขากลับยกถ้วยชาขึ้นแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับหวังเป่าเล่อแทน

เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางจำตนเองไม่ได้ หวังเป่าเล่อจึงยกมือขึ้นประสานก่อนจะเตรียมตัวหันหลังกลับ ทันทีที่ชายหนุ่มหันหลังหนีมาได้ หัวใจเขาก็เริ่มเต้นโครมคราม จนอดไม่ได้ที่จะต้องสบถออกมา…เขาเปิดเผยตัวตนไปแล้วอยู่ดี

แทบจะทันทีที่หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางก็เป็นประกายวาบ ก่อนที่จะฉีกยิ้มแล้วพูดขึ้น “โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้! ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อ เจ้าสบายดีหรอกหรือ”

หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนจะหันรีหันขวาง แล้วจึงหันกลับมามองเซี่ยไห่หยาง ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้มีอาการว่ากำลังเสียเปรียบแต่อย่างใด แต่กลับแสดงความกระอักกระอ่วนเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อที่ผิดมากกว่า

“ข้าขอบคุณนายน้อยอีกครั้ง แต่ข้า หลงหนานจื่อ คงต้องขอตัวก่อน” เขากระแอมกระไอครั้งหนึ่ง ราวกับว่าพยายามจะช่วยเซี่ยไห่หยางแก้ไขความเข้าใจผิดจากการเรียกตนด้วยนามของใครอีกคน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยไห่หยางก็ถอนหายใจ โคลงศีรษะ ขณะจัดการกับความรู้สึกมหาศาลที่เกิดขึ้น

“ข้าขออภัยด้วย ข้าคงจำผิดไป หลงคิดไปว่าท่านเป็นเพื่อนสนิทของข้าจากกาลก่อนและกำลังคิดว่าจะลดราคาให้เสียหน่อย แต่อย่างไรเสีย การจะเจอเพื่อนเก่าในต่างแดนคงเป็นเรื่องยาก ถ้าท่านไม่ใช่เขา…ก็โปรดอย่าใส่ใจเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อกะพริบตาแล้วพูดขึ้นทันควัน

“ลดให้เท่าใดหรือ”

………………………..