บทที่ 102 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 102 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (1)
อี้เป่ยซียังคงพาถังเสวี่ยมาที่ของรถลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหานมองที่นั่งว่างๆ ด้านข้าง แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวความอี้เป่ยซีกับถังเสวี่ยจากกระจกมองหลัง ถังเสวี่ยดูเหมือนคนที่อกหักจริงๆ เอนตัวพิงอยู่ข้าง
อี้เป่ยซี ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา กัดริมฝีปากแน่น ราวกับว่ากำลังอดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอยู่ เสียงที่อ่อนโยนของอี้เป่ยซีปลอบโยนเธอ ทำให้ลั่วจื่อหานรู้สึกระคายเคืองหู
จนกระทั่งรถมาจอดที่ชั้นล่างหอพัก
“เป่ยซี” อี้เป่ยซีกำลังจะลงรถ ถูกลั่วจื่อหานเรียกไว้
“มีอะไร?”
ตอนนั้นถังเสวี่ยยืนอยู่นอกรถแล้ว ยังคงกุมมืออี้เป่ยซี ได้ยินเสียงของลั่วจื่อหานก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอเรียกชื่อของอี้เป่ยซีด้วยความเขินอาย เจือปนความอ่อนแอ ความอาลัยอาวรณ์ และความหวังที่จะพึ่งพิง
อี้เป่ยซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ออกจากรถไปแล้ว
จะอยู่ต่อเพื่อให้ลั่วจื่อหานเกี้ยวพาราสีเธอไม่ได้หรอกนะ อี้เป่ยซีกุมมือของถังเสวี่ย “ฉันจะโทรหานายดึกๆ หน่อย ขอบคุณนะ ลาก่อน” ลากถังเสวี่ยเข้าตึกหอพักไปโดยไม่หันกลับมามอง
“ยัยเด็กคนนี้” ลั่วจื่อหานสตาร์ทรถ ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ‘จะทำอะไรถังเสวี่ยบุ่มบ่ามไม่ได้แล้ว จะปล่อยเธอไปอีกสองสามวัน ทีแรกอยากจะถามสักหน่อยว่าเพลงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง’
“ท่านประธาน ยังจะประชุมต่อไหมครับ?” เสียงในบลูทูธดังขึ้น ลั่วจื่อหานกลับสู่สภาพเย็นชาดังปกติ “ผมจะถึงอีกครึ่งชั่วโมง”
รถก็หายเข้าไปในบริเวณมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนกลับไปเป็นปกติแล้ว
หลังจากถังเสวี่ยกลับหอพักแล้วก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป กอดอี้เป่ยซีและเริ่มร้องไห้โฮ แม้แต่อี้เป่ยซียังสงสัยว่าเธอร้องไห้จนน้ำหมดตัวแล้วหรือเปล่า เธอตบๆ หลังของถังเสวี่ย เรียกเธอสองสามครั้ง จึงพบว่าตอนนี้เธอผล็อยหลับไปแล้ว
ดึงผ้าห่มคลุมตัวของถังเสวี่ยแผ่วเบา อี้เป่ยซีถอนหายใจยาว
‘เป็นเพราะเธอ ลู่เยี่ยจิ่งจึงมาหาเรื่องถังเสวี่ยสินะ’
‘ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ลู่เยี่ยจิ่ง…ช่างเถอะ แม้ตัวเองก็ไม่ปล่อยตัวเอง มีสิทธิ์อะไรขอร้องให้เขาปล่อยล่ะ ถ้าเธอเป็นเขา ก็คงจะทำรุนแรงกว่านี้ล่ะมั้ง’
เธอเท้าศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เสียงแห่งฤดูร้อนดังมาจากกิ่งก้านของต้นไม้ข้างถนน เธอยิ้ม
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า อี้เป่ยซีขังเซี่ยเช่ออยู่ในออฟฟิศ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ปล่อยเขาออกไป
“ฉันเลิกงานแล้ว จะออกไปทำธุระส่วนตัว”
“นายเคยบอกว่าจื่อจวีหานซื่อจะมา ทำไมตั้งนานแล้วถึงไม่มีข่าวเลย”
“งั้นก็ต้องถามเธอแล้ว” เซี่ยเช่อเหลือบมองเธอ คว้าไหล่ที่บอบบาง เพียงหมุนตัวทั้งสองก็สลับตำแหน่งกันแล้ว “เด็กดี เธอต้องพิจารณาถึงชีวิตรักของฉันบ้างนะ อย่าลืมล็อคประตูล่ะ”
“นี่” อี้เป่ยซีต้องการยื่นมือดึงชายเสื้อของเขาไว้ ราวกับเซี่ยเช่อคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ปัดมือของเธอออกทันที
“ถ้าเธอไม่มีอะไรทำแล้วทำออฟฟิศฉันรกอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะทำโทษให้เธอเช็ดกระดานดำหนึ่งเทอม”
อี้เป่ยซีโกรธจนกัดฟันกรอด จงใจเดินกระแทกเท้าไปนั่งที่โซฟาของเขา ถอนหายใจ
‘อ๊า ทำไมกันนะ นึกว่าจะได้เจอเทพบุตรจริงๆ แล้วซะอีก’
‘ช่างเถอะๆ อาจจะเป็นตาแก่พิลึกเนื้อตัวมอมแมมก็ได้ หึๆๆ งั้นก็น่าตั้งตาคอยเหมือนกัน’
“เป่ยซี” อี้เป่ยซีรีบวิ่งไปหาเธอ กอดเธอไว้
“เยี่ยฉินจ๋า เยี่ยฉิน เซี่ยเช่อแกล้งฉันอีกแล้ว จื่อจวีหานซื่อไม่มาแล้ว ไม่มาแล้ว”
เยี่ยฉินลูบๆ หัวของเธออย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรน่า เธอก็รู้นี่ว่าเขาไม่ชอบปรากฏตัวในที่สาธารณะ”
“เธอกำลังจะบอกว่าฉันโง่มากที่เชื่อเซี่ยเช่อเหรอ เยี่ยฉิน ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้ ฉันเสียใจจริงๆ”
เธอส่ายหน้า “เอาล่ะ เป่ยซี วันนี้ที่ฉันมาหาเธอเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
“เรื่องเหรอ? เรื่องอะไร?” อี้เป่ยซีกระพริบตาใส่เธอ เยี่ยฉินอดไม่ไหวหยิกแก้มอี้เป่ยซี
“ที่นี่…”
อี้เป่ยซีเห็นสายตาที่ลังเลเล็กน้อยของเธอ พยักหน้า “ก็ได้ พวกเราหาที่คุยกัน ไม่เป็นไร” อี้เป่ยซีทำโต๊ะของเซี่ยเช่อให้รกอีกครั้งด้วยความโมโห แล้วเดินไปร้านกาแฟกับเยี่ยฉินอย่างมีความสุข
อี้เป่ยซีกัดหลอด กระพริบตาใส่เยี่ยฉิน ส่งสัญญาณให้เธอพูดได้แล้ว
“เป่ยซี เธอคบกับมู่ลี่ไป๋เหรอ?”
สำลักน้ำ กลิ่นฉุนตรงเข้าไปในโพรงจมูก อี้เป่ยซีอดไม่ไหวไอแล้วไออีก น้ำตาก็รื้นด้วย จากนั้นสักพักจึงหยุด “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”
“เพราะฉันปากมากเอง” เยี่ยฉินก้มหน้า นัยตาเปี่ยมด้วยความหม่นหมอง “ขอโทษนะ เป่ยซี ฉันไม่ได้ใส่ใจจิตใจของเธอ”
“หา” อี้เป่ยซีโบกมือพัลวัน “ฉันไม่ได้ไม่พอใจ ฉันก็แค่ไม่เข้าใจ พี่เยี่ยฉินรู้จักมู่ลี่ไป๋เหรอ?”
“น่าจะถือว่ารู้จักแหละ” เยี่ยฉินหยิบช้อนขึ้นมาคนกาแฟในถ้วย “ช่างเถอะ พวกเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “คุยเรื่องอื่นเธอก็คุยไม่รู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
คนกาแฟอยู่เป็นเวลานาน เยี่ยฉินจึงเอ่ยอย่างขมขื่น ”เป่ยซี มู่ลี่ไป๋เป็นคนที่ดีมากๆ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง” ‘อย่าทำร้ายเขาเหมือนฉัน’
“หา?”
“ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์และไม่มีเหตุผลที่จะพูดแบบนี้กับเธอ เพียงแต่ คิดซะว่า คิดซะว่าเป็นห่วงเธอในฐานะเพื่อนของเธอก็แล้วกัน”
อี้เป่ยซีมุ่ยปาก “นี่คือความเป็นห่วงมู่ลี่ไป๋ชัดๆ”
“เป่ย…” เยี่ยฉินยังไม่ทันพูดจบ อี้เป่ยซีก็ถูกคนดึงขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที
“นาย…” เมื่อเห็นว่าเป็นใคร อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคนสองคน หุบปากทันใด
มู่ลี่ไป๋หัวเราะเย็นชา “ในเมื่อคุณหนูเยี่ยรู้ว่าตัวเองไม่มีสถานะและตำแหน่งอะไร แล้วทำไมต้องพูดกับซีซีเยอะขนาดนั้นด้วย”
อี้เป่ยซีที่ถูกดึงขึ้นมาขนลุกชันทั้งตัว นายก็เรียกว่า ‘ซีซี’ งั้นเหรอ?
มือของเยี่ยฉินที่อยู่ใต้โต๊ะยิ่งกำแน่น เธออึดอัดใจเล็กน้อย “ฉันก็แค่…”
“ก็แค่อะไร? ใช้วิธีอื่นดึงดูดความสนใจงั้นเหรอ? ซีซีขี้หึง คุณหนูเยี่ยก็อย่าโผล่มาให้ผมเห็นบ่อยๆ ยิ่งห้ามพูดอะไรที่เกี่ยวกับผม อย่าคิดเองเออเองว่าเข้าใจและหวังดีกับผม ซีซี พวกเรากลับ” พูดจบก็ลากอี้เป่ยซี
ออกจาร้านกาแฟทันที เงาของเยี่ยฉินดูเศร้าสร้อยและเปล่าเปลี่ยวยิ่งยวด
มู่ลี่ไป๋มองดูเธออยู่สักพัก จุดบุหรี่ และดูดด้วยความรู้สึกหดหู่ อี้เป่ยซีรีบบีบจมูก หนีห่างไปไกล
“นายกับเยี่ยฉิน เอ่อ ผิดใจเรื่องอะไรกันหรือเปล่า?”
“ไม่มี ฉันไม่รู้จักเขา”
อี้เป่ยซีมองค้อนมู่ลี่ไป๋ “นายคิดว่าฉันโง่เหรอ?”
“เธอคิดว่าตัวเองฉลาดมากเหรอ?”
“มู่ลี่ไป๋ ถ้าไม่ใช่เห็นแก่ที่นายเป็นเทพบุตรของฉัน ฉันลงมือกับนายไปนานแล้ว ปากเสียแบบนี้ กินดินปืนมาหรือไง?”
มู่ลี่ไป๋ดับบุหรี่ในมือ สองมือล้วงกระเป๋า เดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจสิ่งใด อี้เป่ยซีรีบตามไป
“นี่ นายพูดสิ ฉันคุยกับคนอื่นไม่เป็นหรอก บางทีถ้านายพูดออกมาก็หมดปัญหาแล้ว”
“คนที่ชอบขีดเขียนอย่างเธอ ก็ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นมากด้วยเหรอไง?”
เธอส่ายหน้าทันที “ฉันเห็นนายอยู่ที่มหา’ลัยพวกเราตั้งนาน ก็แค่อยากช่วยนาย”
มู่ลี่ไป๋หยุดเดิน เม้มปาก “ไม่มีความเห็น เธอไปถามเขาเองเถอะ”
อี้เป่ยซีเกาหัว ‘ถ้าเธออยากพูดก็คงบอกเธอนานแล้ว อ๊า พวกนายนี่แปลกจริงๆ’
————