บทที่ 103 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 103 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (2)
เวลาของพวกเราถูกเติมเต็มด้วยบุคคลหนึ่งและด้วยเรื่องราวหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลายเป็นอดีต ในขณะเดียวกันมันก็ยื่นมืออันอบอุ่นของมันออกมาแสดงให้เห็นว่านั่นคือเส้นทางของคุณที่จะต้องเดินสู่อนาคต มันช่วยเลือกปัจจุบันเพื่อที่ประวัติศาสตร์จะได้สอดคล้องกับอนาคต
อี้เป่ยซีเขียนประโยคนี้จบ กัดปลายปากกา เขียนชื่อของเยี่ยฉินลงบนกระดาษเปล่าข้างๆ โดยใม่รู้ตัว
‘ฮึ่ม ช่างเถอะๆ ทุกคนต่างมีเรื่องที่ตัวเองไม่อยากพูด อยากรู้มันก็อยากรู้ แต่ว่าอย่ากระตุ้นแผลเป็นจะดีกว่า’ เธอพิงหลัง ยกขาของตัวเองขึ้นแกว่งไปมาสองสามครั้ง
ลั่วจื่อหาน เขา…
คิดถึงเขา จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย วางเท้าลงบนพื้น เอามือเท้าศีรษะ
คนบางคน เธอไม่มีทางดูออกว่าเขามีเรื่องราวอะไร
‘จริงสิ’ อี้เป่ยซีตบโต๊ะ ‘เขายังไม่ได้บอกเธอเรื่องของฟางหมิ่นเลย ตอนนี้จะต้องไปหาเขา ไปคุยเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง’
‘จะว่าไปก็ไม่ได้เจอหน้าเขาหลายวันแล้ว’ อี้เป่ยซีควานหาโทรศัพท์ถือมือของตัวเองในกระเป๋าเรียน
‘เชอะ ที่เธอหาเขาเพราะมีเรื่องสำคัญน่ะโอเคหรือเปล่า ไม่มีความรู้สึกอื่นใดต่อเขาเลย ไม่มีเลยสักนิด’
“ฮัลโหล” อี้เป่ยซีเพิ่งจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา เธอลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังกดรับสาย
“เสี่ยวซี” ได้ยินเสียงของอี้เป่ยเฉิน เธอเม้มปาก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ แม้ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจแบบนั้นแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกดีใจเหมือนเมื่อก่อนอีก สิ่งที่มีมากขึ้นก็คือความรู้สึกเฉยเมยที่ได้พานพบอะไรบางอย่าง
“อืม พี่เป่ยเฉิน”
“เสี่ยวซี คืนนี้กลับบ้านไหม?”
อี้เป่ยซีครุ่นคิด “ไม่ล่ะ ฉันยังมีธุระนิดหน่อย ไว้คราวหน้าเถอะ คราวหน้าฉันค่อยกลับไป”
ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ความเงียบ อี้เป่ยซีมองมือของตัวเองตลอดเวลา ผ่านไปสักพักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พี่เป่ยเฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันก็ไปทำธุระของฉันก่อนนะ ดึกๆ ค่อยคุยกันเถอะ”
“ได้”
ได้ยินเสียงวางสาย โทรศัพท์มือถือค่อยๆ เลื่อนลงมาจากข้างหู เขามองหน้าจอที่ดำสนิท สองมือกำแน่น ขว้างมือถือลงพื้นอย่างแรง
ทันใดนั้นเสียงไอรุนแรงดังขึ้นในห้องว่างเปล่า จากนั้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ
“เป่ยเฉิน คุณอยากไปโรงพยาบาลก่อนหรือเปล่า คุณดูไม่ดีเลย”
อี้เป่ยเฉินปัดมือของเธอออก “ไปให้พ้น”
ฉินรั่วเข่ออึ้งไปครู่หนึ่ง ก้มหน้าพยายามซ่อนเร้นอาการเจ็บปวดของตัวเอง “เพราะ เป่ยซีไม่ยอมกลับมาใช่ไหม?”
“คุณอยากให้ผมโยนคุณออกไปหรือเปล่า?” อี้เป่ยเฉินลุกขึ้น เสียงเก้าอี้ที่ถูกับพื้นแสบหูจนทำให้แทบอยากกรีดร้อง ฉินรั่วเข่อหวาดกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว หลีกทางให้เขา อี้เป่ยเฉินก้าวขึ้นไปชั้นบนโดยไม่มองเธอเลย
เธอมองดูเงาของอี้เป่ยเฉินจากไป สองมือค่อยๆ กำแน่น
‘อี้เป่ยซี เธอทนให้เขาทรมานแบบนี้ได้อย่างไร เธอทนปฏิเสธเขาได้อย่างไร หรือว่าคนที่สง่างามเช่นนี้เธอก็ยังทำร้ายเขาลงงั้นหรอ?’
‘อี้เป่ยซี ฉันไม่มีวัน ไม่มีวันปล่อยให้เธออยู่ข้างกายเขาและทำให้เขาเจ็บปวดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว อี้เป่ยเฉิน ฉันจะต้องพาคุณจากไปแน่นอน’
ราวกับว่ารู้สึกอะไรได้บางอย่าง อี้เป่นเฉินหันมาทันใด กล่าวอย่างเยือกเย็น “ผมรับปากคุณ ไม่ได้เชื่อใจคุณ คุณทำตัวให้ดีก็แล้วกัน”
“อืม ฉันรู้ คุณวางใจเถอะ ฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี”
พ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วเดินต่อไป ฉินรั่วเข่อเก็บซากโทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยเฉินที่กระจัดกระจายขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่าง
‘น่าจะมีส่วนไหนที่ซ่อมได้มั้งนะ ไม่เป็นไร เสียแล้วก็ซ่อมใหม่สิ ต่อไปมันก็ยังใช้ได้ไม่ต่างจากเมื่อก่อน’
วางสาย อี้เป่ยซีรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมากรอกน้ำใส่ตัวเองไม่หยุด จนกระทั่งดื่มไม่ลงแล้ว จนกระทั่งรู้สึกว่าลำคอเต็มไปด้วยน้ำ เธอจึงหยุด
‘เรื่องก็เกิดขึ้นอาทิตย์ที่แล้ว พี่เป่ยเฉินเรียกเธอกลับไปเพื่ออะไร?’
‘กลับไป กลับไป หึ กลับไปตอนนี้แล้วจะมีที่ของเธองั้นเหรอ กลับไปดูสภาพที่เขาอยู่กับฉินรั่วเข่อสองพี่น้องเหมือนครอบครัวงั้นเหรอ?’
“น่ารำคาญจะตายอี้เป่ยซี ทำไมเธอวันๆ ถึงได้คิดมากแบบนี้ ไม่ได้ๆ หอพักน่าเบื่อเกินไปแล้ว ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า” ล็อคประตู เริ่มเดินอย่างไร้จุดหมายในมหาวิทยาลัย อากาศยามค่ำคืนยังคงร้อนอบอ้าว ลมที่พัดมาก็ทำให้ไม่สบายตัวเท่าไรนัก เพียงครู่เดียวก็มีเหงื่อเหนียวๆ ซึมออกมาจากร่างกาย
เดินผ่านผู้คน เดินผ่านถนนใต้แสงไฟ อี้เป่ยซีไม่รู้สึกถึงความผ่อนคลายจากการเดินเล่นเลย มีแต่จะยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย ยิ่งรู้สึกอยากอัดคน
แบบนี้ไม่สบายใจเท่ากับการเล่นเกมส์สองสามด่านเลย เธอมองตึกเรียนที่เปิดไฟสว่างข้างๆ สูดหายใจลึกแล้วก็ถอนหายใจอย่างแรง
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเดินมาหาเธอ มีรอยยิ้มอบอุ่น
“ลั่วจื่อหาน นายหาฉันเจอได้ยังไง?”
ในดวงตาของเขามีประกายบางอย่าง เอ่ยปากอย่างสบายใจ “เป็นอะไรไป? อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
อี้เป่ยซีพิงอยู่บนต้นไม้ข้างๆ พยักหน้าแล้วถอนหายใจ มองดูท้องฟ้าที่ถูกยอดไม้บดบังเป็นส่วนมาก “ลั่วจื่อหาน นายดูดาวบนฟ้าสิ เหมือนไม่รับรู้อะไรเลย วันๆ ยิ้มอย่างมีความสุข แต่ว่าทั้งๆ ที่พวกมันมองเห็นทุกอย่าง เห็นตั้งเยอะขนาดนั้น มันไม่เสียใจบ้างเหรอ?”
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานโอบไหล่ของเธอ อี้เป่ยซีมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ฉันเห็นดาวสองดวงตรงหน้า กำลังเป็นทุกข์ กำลังอารมณ์เสีย”
“ดวงดาวอะไรกัน” อี้เป่ยซีรีบหลบสายตาเขา “แค่ก นายหาฉันมีอะไรเหรอ”
ลั่วจื่อหานลูบๆ หัวของเธอ “ไม่ได้เจอเธอนานแล้ว”
อี้เป่ยซีรู้สึกว่าคำพูดนี้อบอุ่นมาก ร้อนมาก เหมือนกับน้ำในทะเลสาบที่กำลังเดือด ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เธอไอเบาๆ บ่นพึมพำ “ทำไมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพูดเก่งขนาดนี้”
“หืม?”
“ฉันบอกว่า รู้เรื่องของฟางหมิ่นแล้วยัง?”
ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้ในอ้อมแขน อีกคนสัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้สึกร้อนเหมือนที่คิดไว้ อี้เป่ยซียังสามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นสบายที่มาจากร่างกายของเขา เย็นสบายเหมือนมิ้นท์ สบายมากจนไม่อยากจากไปไหน
“ยังมีปัญหานิดหน่อย ไว้จัดการเรียบร้อยแล้วจะบอกเธอดีหรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า แนบชิดหน้าอกของเขา จังหวะหัวใจที่มั่นคงดูเหมือนว่าจะเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ความอบอุ่นที่เริ่มแผ่ซ่านมาจากที่ไหนสักแห่งบนหน้าอกกลายเป็นอุณหภูมิที่ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย
“เป่ยซี” ลั่วจื่อหานคลายกอดเธอ “ฉันคิดถึงเธอจัง” อี้เป่ยซียังไม่ทันตอบสนอง ริมฝีปากก็ถูกเขาประกบแล้ว จูบอย่างที่แนบแน่นทำให้เธอไร้ทางปัดป้อง มือข้างหนึ่งของลั่วจื่อหานโอบกอดเธอ ร่างของทั้งสองคนแนบสนิทด้วยกัน
“อือ…ลั่ว….” เสียงขาดๆ หายๆ ถูกลมแห่งฤดูร้อนพัดหายไป ดูเหมือนว่ามีกลิ่นสดชื่นของมิ้นท์ในอากาศ ความร้อนที่ล่องลอยอยู่นั้นเข้ากันได้ดีกับกลิ่นมิ้นท์ที่เงียบสงบ ราวกับว่าเป็นรสชาติความรู้สึกแห่งฤดูร้อน
————