บทที่ 104 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 104 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (3)
เมื่อกลับมาที่หอพัก ใบหน้าของอี้เป่ยซียังคงแดงอยู่เล็กน้อย เธอยืนอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ สองมือจับแก้มของตัวเอง ความสุขที่อธิบายไม่ได้เอ่อล้นภายในหัวใจ
เมื่อครู่เธอแสดงอาการโจ่งแจ้งเกินไปหรือเปล่า ลั่วจื่อหานเห็นว่าเธอหน้าแดงหรือเปล่า? เมื่อครู่ก่อนที่จะจูบเธอได้กินอะไรมาหรือเปล่า? ตอนนั้นลั่วจื่อหานกำลังคิดอะไรอยู่? อ๊า จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจ คราวหน้า…
‘คราวหน้าเหรอ’ อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกาย เธอก้มหน้า มองดูมือของตัวเอง ‘ยังจะมีคราวหน้าอีกเหรอ?’
เธอควรจะทำอย่างไรดี
อี้เป่ยซีเปิดฝักบัวและยืนอยู่เงียบๆ เนิ่นนานจึงมีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก
“เป่ยซี”
“อืม มีอะไรเหรอ?”
“คือว่า คืนนี้ฟางหมิ่นจะกลับมา เธอจะ…” น้ำเสียงที่ประหม่าและลังเลเล็กน้อยยังคงเจือปนความเป็นห่วงเหมือนปกติ อี้เป่ยซีได้ยินเสียงของถังเสวี่ย ปิดผักบัว
“ไม่ต้องหรอก ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิด” เธอเปิดประตู เหลือบมองถังเสวี่ย เริ่มง่วนอยู่กับการเก็บของ ถังเสวี่ยตามติดเธอตลอด อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเล
“ยังมีอะไรอีกไหม?”
ถังเสวี่ยสูดหายใจลึก “เป่ยซี ตอนนี้เธอกับลั่วจื่อหานเป็นอะไรกันเหรอ”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ ก็แค่…เพื่อนธรรมดามั้ง” แม้แต่ตัวเองก็ไม่เชื่อที่พูด อี้เป่ยซีส่ายหน้า ไม่ได้มองถังเสวี่ย รีบเก็บของเร็วขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วเวลาจะหมุนเร็วขึ้นและจะกำจัดปัญหานี้รวมถึงความยุ่งเหยิงทั้งหมดที่จะตามมาได้
“งั้นเธอก็ยังชอบลู่เยี่ยหวาสินะ”
ชื่อที่กล่าวขึ้นมากะทันหันทำให้อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เสียงแผดร้องดังก้องอยู่ข้างหู ดวงตาแดงก่ำ ผ่านไปสักพัก เธอค่อยๆ หันมามองตาของถังเสวี่ยโดยตรง ถังเสวี่ยก็เบิกตาโตมองเธอเช่นกัน ระคนความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ “ถังเสวี่ย เธออยากจะพูดอะไร?”
“เปล่านะ เปล่า” เธอรีบก้มศีรษะ “ฉันก็แค่ ก็แค่คิดว่าเขาเป็นคนที่สำคัญมากในใจของเธอใช่หรือเปล่า จนถึงตอนนี้เธอก็เลยยังไม่ลืมเขา เขามีอิทธิพลไปทุกที่ ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็แค่เป็นห่วงเธอ ฉันก็ไม่อยากให้เธอจมปลักกับอดีต จริงๆ นะ เป่ยซี เป่ยซี…”
อี้เป่ยซีทำหูทวนลมกับคำพูดของเธอ จนกระทั่งเมื่อเธอเรียกชื่อเธออย่างตื่นตระหนก อี้เป่ยซีจึงเงยหน้าขึ้น “ถังเสวี่ย ลู่เยี่ยหวาเป็นคนดีมากๆ ใครก็เทียบเขาไม่ได้”
“งั้นเธอกับลั่วจื่อหาน”
เธอยิ้มขมขื่น ภาพวาดที่มีสีสันถูกฉีกขาดและร่วงหล่น ทิวทัศน์นอกหน้าต่างกระจกเริ่มเตือนสติเธออีกครั้งว่านี่คือกลางดึกของฤดูหนาว “ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาจริงๆ ฉันจะเล่นเกมส์แล้ว ยังมีอะไรอีกไหม?”
ถังเสวี่ยส่ายหน้า ยิ้มด้วยความอบอุ่นเช่นเดิม อี้เป่ยซีจิบน้ำอย่างรวดเร็ว เปิดเกมส์ บังคับไม่ให้ตัวเองคิดอะไรอีก ตั้งใจเริ่มทำการต่อสู้กับเพื่อนร่วมทีม
บนหน้าจอแอลอีดีไม่ใช่ฉากเสมือนจริงอะไร อี้เป่ยซีใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มีเพื่อนร่วมทีมของเธอ อาณาเขตของเธอ ดินแดนของเธอ ไม่มีใครที่จากไปอย่างกะทันหัน ในเวลายากลำบาก ขอเพียงมีคริสตัล ขอเพียงมีเหรียญ ทุกคนก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ ฟื้นได้ทุกคน
จะไม่มีความตายและจะไม่มีการจากลาเพราะความตาย จึงไม่มีเรื่องที่น่ารำคาญเหล่านี้
คิดเช่นนี้แล้ว อี้เป่ยซีปรี่ไปที่ร้านค้าทันที พริบตาเดียวก็ซื้อน้ำอมฤตจำนวนมาก ให้ทุกคนใช้จนหมดตัว ทั้งศัตรู ทั้งเพื่อนร่วมทีม
“แม่งเอ๊ย เธอเป็นบ้าอะไร เกือบจะฆ่าได้อยู่แล้ว เธอให้เลือดฝ่ายตรงข้ามทำไม”
อี้เป่ยซีไม่สนใจ แจกจ่ายเลือดต่อไป
“พวกเราไม่เข้าใจโลกของทรราชเลย”
“ให้ตายสิ รอบนี้จะยืดเยื้อจนถึงเมื่อไร”
หลังจากยาครอบจักรวาลถูกใช้จนหมดแล้ว อี้เป่ยซีจึงถอนหายใจโล่งอก พิมพ์ตัวหนังสือหนึ่งบรรทัดบนหน้าจอ
‘เอาล่ะ พวกเธอตามสบายเลย’
ทั้งสองฝ่ายดึงสติออกจากความงุนงงทันทีและเริ่มต่อสู้อย่างไม่ลดละ อี้เป่ยซีหัวเราะอย่างคนโรคจิตนิดๆ
โปรแกรมแชทกระพริบสองสามครั้ง เธอขมวดคิ้วแต่ก็ยังเปิดดู
คนแปลกหน้า: อารมณ์ไม่ดี?
หลิงซี: มาเผือกอะไรด้วย พวกเรารู้จักกันเหรอ?
คนแปลกหน้า: แย่งไอเท็มของฉันเยอะขนาดนั้น ยังจะบอกว่าพวกเราไม่รู้จักอีก แล้วต้องทำยังไงถึงจะเรียกว่ารู้จัก? จูบเหรอ?
หลิงซี: ไสหัวไปให้พ้น ลูกพี่อารมณ์ไม่ดี
คนแปลกหน้า: ดูออกแล้วล่ะ วันนี้เหมือนเป็นบ้าเลย
หลิงซี: นายอยากหาเรื่องหรือไง อยากนัดสู้เหรอ?
คนแปลกหน้า: ฉันนึกว่าเมื่อกี้พวกเราสู้กันแล้วซะอีก
หลิงซี: เหลวไหล ลูกพี่ยังไม่ได้ลงมือ นับกับผีสิ
คนแปลกหน้า: คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำหยาบเยอะแบบนี้ เด็กผู้หญิงพูดคำหยาบไม่ดีนะ
เด็กผู้หญิง มือของอี้เป่ยซีที่กำลังพิมพ์หยุดชะงัก ทั้งๆ ที่ตัวเองเลือกตัวละครชาย ทำไมถึงรู้ว่าเป็นผู้หญิงล่ะ
คนแปลกหน้า: เป่ยซี ฉันยังอยู่ข้างๆ มหา’ลัยเธอ
ลั่วจื่อหาน!
เพียงครู่เดียว เสียงโทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยซีก็ดังขึ้น เธอรับสายโดยไม่ได้มองเลย “ลั่วจื่อหาน”
“ฉันเอง เป็นอะไรไป เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีอะไร ฉันจะออฟไลน์แล้ว บาย”
“เป่ย…” อี้เป่ยซีกดวางสายแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกขำและรู้สึกเหนื่อยล้า
‘อี้เป่ยซีเธอช่างโชคดีเหลือเกิน ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ฉันทิ้งเธอไปนานแล้ว ตอนนี้เขายังเล่นกับเธอเหมือนเด็กๆ อย่างกะตือรือร้นขนาดนั้น และยังหัวเราะกับเธอเหมือนคนโง่’
เธอครุ่นคิด กดปุ่มออกจากระบบ ปิดคอมพิวเตอร์อย่างแรง มันคือโลกเสมือนจริงๆ เธอยื่นมือออกไป อาจเป็นแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง ยื่นฝ่ามือคว้าตัวเอง ยิ้มขมขื่น
นี่ต่างหากคือเรื่องจริง ความจริงที่ไม่สามารถจับต้องได้
จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกเสียงดังปัง ฟางหมิ่นสะพายกระเป๋า เหลือบมองถังเสวี่ยแล้วมองอี้เป่ยซีเยือกเย็น “เธอสืบเรื่องฉันอยู่เหรอ?”
ถังเสวี่ยก็เผยอาการประหลาดใจเช่นกัน เดินไปหาอี้เป่ยซีด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ดึงๆ แขนเสื้อของเธอ “จริงเหรอ?”
อี้เป่ยซีลืมตา พยักหน้า
“มีอะไรน่าสืบ เรื่องพวกนั้นไม่ว่าใครก็บอกเธอได้สบายอยู่แล้ว ทำไมจะต้องรบกวนให้คุณหนูอี้ลงมือด้วย ใช่ไหมคุณหนูใหญ่ถัง” การประชดประชัดและกระอิดกระเอื้อนนั้นหนักหน่วง อี้เป่ยซีมองสำรวจฟางหมิ่น ไม่เจอกันตั้งนาน ผมของเธอยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งนั้นซีดขาว ยกเว้นรอยคล้ำใต้ดวงตาขนาดใหญ่และดวงตาที่แดงก่ำ
เธอเป็นอะไรไป ตอนที่ไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอก็แค่สงสัยเท่านั้น การสืบก็เป็นเพียงแค่การยืนยันอะไรบางอย่าง เธอเองก็เต็มใจเชื่อว่าเธอไม่ใช่คนทำ
“ฮ่า…” เธอหัวเราะเย็นชา แววตาที่คมดุจมีดจ้องมองอี้เป่ยซี เธอรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้องฉับพลัน “ไม่ต้องสืบแล้ว ที่คุณหนูใหญ่ถังพูดคือเรื่องจริง ทุกอย่างเป็นฝีมือฉันเอง ฉันทนเธอมามากพอแล้ว ทนกับท่าทางของเธอที่เหมือนกับว่าใครก็เทียบไม่ติด เกลียดที่คนอย่างเธอไม่มีความสามารถอะไรแต่กลับมีคนคอยช่วยเหลือ แถมยังทำตัวเหมือนไม่ต้องพึ่งพาใคร อี้เป่ยซี เธอเล่นละครเก่งจริงๆ น่าขยะแขยง”
————