ทั้งพนักทั้งเถ้าแก่ต่างก็ตกตะลึงเพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทราบเพียงแต่พวกทหารทำการล้อมที่นี่เอาไว้ เป้าหมายย่อมต้องอยู่ที่นี่

กองทหารที่โอบล้อมพวกเขาอยู่นี้ไม่เพียงแต่เป็นกองพันทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเม็ก หากแต่เป็นทัพทหารม้าที่เก่งที่สุดของจักรวรรดิแลนซ์ บรรพบุรุษเหล่านี้ใยจึงมาที่นี่ เถ้าแก่ของร้านไม่คิดว่าตนจะมีคุณสมบัติชักนำคนเหล่านี้มา อย่างนั้นก็มีอีกเพียงสาเหตุเดียวแล้ว แขกบางคนของเขาได้ไปตอแยใครเข้า “ท่านแม่ทัพเบรุต นี่….เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?” ในที่สุดเถ้าแก่ก็มองเห็นคนคุ้นเคย คนผู้นี้เป็นแม่ทัพของค่าย ลูกค้าขาประจำของร้าน เบรุตจ้องมองเถ้าแก่ก่อนจะกล่าว “ก็ไม่มีอะไรมาก มีไอ้งั่งคนหนึ่งทำร้ายลูกชายของท่านเจ้าเมือง พวกเราจึงมาจับกุมเขา” เถ้าแก่ระบายลมหายใจ ตอนนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง เป้าหมายของพวกทหารไม่ใช่เขา เถ้าแก่ผงกศีรษะและรู้สึกประหลาดใจ ใครกันถึงขั้นกล้าไปตอแยคนระดับนั้นได้? สำหรับลูกชายของเจ้าเมือง เดรอส เถ้าแก่นั้นรู้นิสัยของเขาดี ทั่วทั้งเมืองเม็กแห่งนี้ไม่มีผู้ใดไม่เกลียดชังเขา แต่ใครใช้ให้บิดาของเขาเป็นเจ้าเมืองกันเล่า? ฮาดริน ผู้เป็นเจ้าเมืองนั้นได้รับการแต่งตั้งจากทางการ ถือเป็นหนึ่งในเจ้าเมืองทรงอำนาจของจักรวรรดิ หลังจากคุยกันสักพัก เบรุตก็นำลูกน้องเข้าไปในร้าน เมื่อเห็นว่าเซียวอวี๋กำลังดื่มกินพลางชมทิวทัศน์อย่างสบายใจ ทีแรกก็ไม่ใส่ใจนัก แต่วินาทีถัดมาหัวใจของเขาก็เต้นแรง โดยเฉพาะตอนที่เขาหันไปมองอิลิดันที่ยืนอยู่ด้านหลังของเซียวอวี๋ หัวใจของเขาก็บีบรัด มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าเซียวอวี๋มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่ยังสามารถวางเฉยอยู่ได้ตอนถูกโอบล้อมด้วยกองทหารจำนวนมาก คนผู้นั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น อิลิดันยังให้ความรู้สึกอันตรายตั้งแต่แรกเห็น บางทีความแข็งแกร่งของเขาคงอยู่ในระดับที่น่ากลัว ตัวเบรุตนั้นเป็นนักรบขั้นที่ห้า เขาจึงมีความภาคภูมิในตนเอง แต่ต่อหน้าอิลิดันแล้ว เขากระทั่งไม่มีความกล้าที่จะโจมตีเข้าใส่ เขารู้สึกได้ว่า หากอิลิดันต้องการเด็ดหัวของเขา เขาคงต้านได้ไม่ถึงนาที บุคคลผู้นี้เป็นใครกัน เขากระทั่งกล้าทำร้ายลูกชายของเจ้าเมือง เบรุตส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องลดอาวุธ พวกเขาจึงสอดดาบคืนฝัก เบรุตเดินใกล้เข้าไปก่อนจะกล่าวว่า “คุณชาย ท่านมาจากที่ใด? มีเป้าหมายอะไรในเมืองเม็กของพวกเราหรือ?” เบรุตไม่เพียงแต่เก่งด้านบัญชาการ เขายังมีความสามารถด้านการเจรจา เขามีประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาทราบว่าไม่อาจใช้ไม้แข็งกับเซียวอวี๋ มิเช่นนั้นคงเป็นการสร้างปัญหาใหญ่จนอาจถึงขั้นตำแหน่งสั่นคลอน เซียวอวี๋แค่นเสียงพลางชำเลืองมองเบรุต จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้ามาจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา” ได้ยินดังนั้น เบรุตก็พยักหน้า เขาเดาถูก ตั้งแต่ที่เห็นการแต่งกายของเซียวอวี๋ เขาก็ทราบว่าเซียวอวี๋ไม่ใช่คนของจักรวรรดิแลนซ์ ในจักรวรรดิแลนซ์นั้น เขารู้จักผู้มีอำนาจทุกคนที่กล้าทำร้ายบุตรชายของเจ้าเมืองกลางท้องถนน เมื่อครั้งยังหนุ่ม เบรุตเคยออกเดินทางไปทั่วเพื่อทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ และเขาก็ทราบสถานการณ์ของอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาดี เขาทราบว่ามีเพียงบุตรหลานที่มาจากตระกูลใหญ่ของอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาเท่านั้นที่กล้าวางท่าในจักรวรรดิแลนซ์ ยิ่งไปกว่านั้น ลูกหลานเหล่านั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่ไม่อาจตอแยได้ ครั้งนั้น สงครามระหว่างจักรวรรดิทั้งสองจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิแลนซ์ หรือกล่าวอย่างเจาะจง พวกเขาพ่ายแพ้ต่อความสามารถทางทหารอันยอดเยี่ยมของเซียวซานเทียน หรือหากกล่าวลงไปอีก อีกฝ่ายมีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง ด้วยเหตุนั้น แม้ตอนนี้เซียวอวี๋จะอยู่ภายในจักรวรรดิแลนซ์ เบรุตก็ไม่กล้าแตกหักกับเซียวอวี๋ หากว่าเขาพลั้งมือทำร้ายเซียวอวี๋ที่นี่ เช่นนั้นเขาก็คงต้องเผชิญกับโทสะของเหล่าตระกูลใหญ่ หลังจากได้ยินว่าเซียวอวี๋มาจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา ท่าทีของเบรุตก็ดูอ่อนลง “เป็นว่าคุณชายท่านมาจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา ข้าไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่ากระไร?” แม้จะถูกรายล้อมด้วยทหารมากมาย น้ำเสียงของเซียวอวี๋ก็ยังมั่นคง ขณะที่ทางฝั่งเบรุตกลับพูดจาอย่างสุภาพนอบน้อม อันที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แม้แม่ทัพคุมกำลังจะดูมีอำนาจมาก แต่หากไปเจอผู้ที่สูงส่งกว่า ตำแหน่งของพวกเขาก็แทบไม่นับเป็นอย่างไร “ข้าแซ่เซียว” เซียวอวี๋จิบไวน์ก่อนจะกล่าวอย่างเฉื่อยชา เขาทราบว่าตอนนี้ยิ่งมั่นใจเท่าใด ตัวเขาก็จะยิ่งมีเบี้ยต่อรอง “อา..คุณชายเซียวนี่เอง” เบรุตไล่นึกหาตระกูลใหญ่ที่ใช้แซ่เซียว “ไอ้เวรนั่นอยู่ไหนแล้ว? หากบิดาผู้นี้ไม่ถลกหนังมันออก ข้าก็ไม่ขอใช้ชื่อเดรอสอีก!” มีเสียงตวาดดังขึ้นมาจากทางชั้นล่าง ได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็ทราบถึงตัวตนของเจ้าของเสียง เบรุตถึงกับขมวดคิ้ว ผู้มาย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นนายน้อยเจ้าสำราญ ตัวเบรุตเองไม่ได้ชื่นชอบคนผู้นี้ แต่ทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้เขาเป็นลูกเจ้าเมืองเล่า? เขาไม่มีความสามารถไปหยุดยั้ง จะเข้าข้างฝ่ายใดมากไปก็ไม่ได้ และหากว่าทั้งคู่ต่อสู้กัน ตัวเขาก็ยังต้องซวยอยู่ดี นี่มันวันโชคร้ายอะไรกัน? ครู่ถัดมา นายน้อยที่ถูกอิลิดันตบหน้าก็ขึ้นบันไดมาพร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเจ็บตัวถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้เขามาระบายโทสะได้อย่างไร? “เบรุต มัวชักช้าอะไรอยู่? รีบๆลากคอมันไปได้แล้ว!” เดรอสจ้องเบรุตอย่างโมโห เบรุตรีบเดินเข้าหาเดรอส ก่อนที่เขาจะกระซิบที่ข้างหู “นายน้อย คนพวกนั้นอันตรายมาก เกรงว่าทหารของเราคงไม่อาจจัดการได้ ข้าจะไปเรียกคนที่แข็งแกร่งมา ท่านต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว หากอีกฝ่ายลงมือทำร้ายท่าน ผู้น้อยคงไม่อาจปกป้อง” เดรอสยิ่งฟังก็ยิ่งสั่น นึกย้อนถึงตอนโดนอิลิดันตบ ในใจก็กลัวแทบฉี่ราด ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพียงใด เหลือบมองอิลิดันที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลังของเซียวอวี๋ เดรอสก็เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “พานายน้อยออกไปจากที่นี่” เบรุตสั่งพวกทหารให้คุ้มกันเดรอสออกไป ซึ่งเขาก็ทราบดี หากอิลิดันต้องการลงมือขึ้นมาจริงๆ ลำพังทหารกลุ่มนั้นย่อมไม่อาจขัดขวางได้ เขาเดาว่าอิลิดันคงเป็นนักรบขั้นที่หก ไม่อย่างนั้น ด้วยความแข็งแกร่งขั้นที่ห้าของเขาแล้ว เขาคงไม่รู้สึกอันตรายยามมองอิลิดันถึงเพียงนี้ เดรอสฮึดฮัดและกำลังจะออกไป แต่ในตอนนั้นเอง สายตาของเขาก็สบประสานกับอิลิดันที่จ้องมองมา ร่างกายของเดรอสพลันสั่นเทาจนแทบจะพลัดตกบันได หลังมองส่งเดรอสจากไปแล้ว เบรุตก็ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าเซียวอวี๋ “คุณชายเซียว ไม่ทราบว่าคุณชายมีธุระใดในเมืองเม็กหรือ?” เบรุตใคร่ครวญดู บุคคลเช่นเซียวอวี๋คงไม่เพียงแต่มาเดินเล่นในเมือง เขาจะต้องมีเป้าหมายในการมายังเมืองแห่งนี้ เซียวอวี๋กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้ามีนัดกับเซี่ยชาน ผู้จัดการทั่วไปของหอการค้าฝูลู่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลง ข้าเพียงแต่มารอเขา” “อะไรนะ?” ได้ยินคำตอบของเซียวอวี๋ เบรุตก็ผงะ “นี่….เป็นข้อตกลงแบบใดหรือ?” เบรุตลองเลียบเคียง เซียวอวี๋ยกไวน์ขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวสบายๆ “เป็นข้อตกลงที่จะทำให้หอการค้าฝูลู่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นเท่าตัว” “หือ? สองเท่า?” เบรุตตกตะลึง