ภาคที่ 4 บทที่ 168 การเจรจา (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 168 การเจรจา (1)

ในที่สุดคู่ต่อสู้แห่งโชคชะตาทั้งสองก็ได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง ! และทันทีที่สายตาของทั้งคู่ปะทะกัน มันก็พลันเกิดประกายไฟบาง ๆ ขึ้น

หลังจากจ้องหน้ากันอยู่สักพักตานปาก็หัวเราะ “ไม่เจอกันนานเลยนะซูเฉิน นับตั้งแต่ที่ซากโบราณลุ่มน้ำทอง ข้านึกถึงเจ้าอยู่ตลอด ดูเหมือนว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นและรับมือได้ยากขึ้นมากเลยนะ”

ซูเฉินยิ้ม “ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เจ้าเป็นนักรบคนเถื่อนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา นับเป็นโชคของเผ่าคนเถื่อนจริง ๆ ที่มีเจ้าอยู่”

ไม่มีความตึงเครียดหรือการเขม่นกันในการพบหน้านี้แต่อย่างใด มีเพียงคำชื่นชมยกย่องกันและกัน

การที่ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ 2 คนยกย่องกันและกัน ถือเป็นเรื่องปกติที่ใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์เบื้องหน้า ดั่งการใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตนปิดซ่อนความเย่อหยิ่งไว้เบื้องหลัง

อย่างไรก็ดีหลังจากการคุยอย่างสุภาพแล้ว พวกเขาก็จะกลับเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง เมื่อมีผู้ชนะก็ย่อมมีผู้แพ้ คนที่โหดเหี้ยมและเด็ดขาดกว่ามักจะชนะอยู่เสมอ

โดยปกติแล้ว ฝ่ายที่แข็งแกร่งนั้นจะเริ่มโจมตีก่อน… หรืออย่างน้อย ก็ฝ่ายที่เชื่อว่าพวกเขาคือผู้แข็งแกร่งกว่า

ดังนั้นตานปาจึงกล่าวต่อ “ตานปาผู้นี้ก็เป็นเพียงแค่ตานปาแห่งชนเผ่ากิ้งก่ากรวด แม้แต่ชะตากรรมของเผ่าข้าเอง ข้ายังไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้ นับประสาอะไรกับชะตาของทั้งเผ่าคนเถื่อนกัน ทว่าซูเฉิน เจ้าคือซูเฉินแห่งเผ่ามนุษย์ ตัวตนของเจ้านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเผ่ามนุษย์ได้และเจ้าก็กำลังทำมันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวิธีการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตหรือวิธีการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณก็ดี ไหนจะยังมีโทเทมโลหิตสลาย… แค่สิ่งเหล่านี้ก็เกินพอแล้วที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ขึ้นไปอีกขั้น”

ซูเฉินเองก็ตอบกลับ “พี่ชายตานปา เจ้าเข้าใจผิดแล้ว วิธีการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตนั่นถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์ของข้า ข้าเป็นเพียงผู้รับผลประโยชน์จากผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่าน ส่วนโทเทมโลหิตสลายนั้นจะนับว่าข้าเป็นผู้สร้างก็คงไม่ผิดนัก”

“แต่เจ้าก็กำลังสานต่องานของเขามิใช่หรือ ? อาจารย์ของเจ้าทำได้ดีแต่ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ดีกว่านั้น ด่านสู่พิสดารถือเป็นรากฐานที่สำคัญของความแข็งแกร่งสำหรับเผ่ามนุษย์ เมื่อวิธีการทะลวงสู่ด่านเหล่านั้นได้โดยไร้ซึ่งสายเลือดถูกค้นพบ มูลค่าของมันย่อมมากเสียยิ่งกว่าวิธีการทะลวงด่านก่อนหน้ารวมกันอยู่แล้ว เรียกจะถือว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ตราบเท่าที่มันยังมีความเป็นไปได้นั่นก็เกินพอแล้ว ในฐานะสมาชิกของเผ่าคนเถื่อน ข้าก็มีหน้าที่ที่จะต้องตัดไฟแต่ต้นลม และหยุดยั้งความเป็นไปได้นั้นซะ”

“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าพาทุกคนมาที่นี่เพื่อจับข้า ?”

“ใช่ !” ตานปาตอบอย่างจริงใจ “เพื่อเผ่าคนเถื่อน เจ้าต้องตาย !”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เกรงว่าเจ้าคงจะต้องผิดหวัง ข้าสาบานได้เลยว่าวันนี้เจ้าไม่มีทางที่จะจับข้าได้” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีแผนอื่นเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยข้าก็ต้องลอง” ตานปายกกำปั้นขวาขึ้นในขณะที่พูด นักรบคนเถื่อนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยกขวานศึกขึ้นและเตรียมจะขว้างเข้าใส่ซูเฉิน

ซูเฉินมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “เจ้าจะลงมือแล้ว ? น่าเสียดาย ข้าคิดว่าเจ้าจะยินดีที่จะพูดคุยกับข้าต่อสักหน่อยเสียอีก”

ตานปาส่ายหัว “ราตรีที่ยาวนานมีความฝันอยู่หลากหลาย[1]”

ตานปาอาจจะไม่เข้าใจถึงคำกล่าวที่ว่าคนร้ายตายเพราะพูดมาก แต่สุภาษิตที่เขาเพิ่งพูดมาก็นับมีความหมายคล้ายกัน นอกจากนี้มันก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนร้าย เพราะจากมุมมองของเขา ทุกสิ่งที่เขาทำคือเพื่ออาณาจักรและคนของเขา ดังนั้นหลังจากการพูดคุยแนะนำตัวเล็กน้อย เขาจึงพร้อมที่จะจบเรื่องนี้ทันที ตานปาไม่รู้ว่าแผนสำรองของซูเฉินคืออะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสู้ถึงจะรู้

ซูเฉินถอนหายใจ “งั้นเจ้าจะช่วยรอสักครู่ แล้วฟังสิ่งที่ข้าพูดให้จบก่อนค่อยลงมือจะได้หรือไม่ ?”

ตานปาส่ายหัว “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร มันก็ไม่อาจหยุดข้าจากการเอาชีวิตเจ้าได้”

เมื่อเขากำลังจะออกคำสั่งอีกครั้ง ซูเฉินก็กล่าวขัด “แล้วหากว่าข้ากล่าวว่า ข้ามีวิชาที่สามารถพัฒนาร่างกายของเผ่าคนเถื่อน และช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้พลังต้นกำเนิดได้เล่า ?”

แขนของตานปาชะงักค้างอยู่กลางอากาศในทันทีที่ได้ยินคำพูดของซูเฉิน

เขาจ้องไปที่ซูเฉินด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ !”

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ซูเฉินตอบ

“ในเมื่อเจ้าเข้าใจข้าดี เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าทำอะไรได้บ้าง หากข้าสามารถทำลายข้อจำกัดของเผ่ามนุษย์ได้ แล้วเหตุใดข้าถึงจะทำเรื่องเดียวกันนี้กับเผ่าคนเถื่อนไม่ได้ ? ข้าอยู่ในดินแดนของคนเถื่อนมาสักพักใหญ่แล้ว ข้าได้จับและทดลองกับสมาชิกเผ่าของเจ้ามามาก สำหรับข้าแล้ว การปรับปรุงความสามารถในการรับรู้พลังต้นกำเนิดของคนเถื่อนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ข้ายังสามารถพัฒนาวิชาไร้สายเลือด และปรับแก้วิชาที่เดิมทีมีไว้สำหรับมนุษย์ให้แม้แต่เผ่าคนเถื่อนก็สามารถใช้มันได้ด้วย เจ้าคงจะเข้าใจไหมว่ามันหมายถึงอะไร ใช่ไหม ?”

ตานปาตกตะลึงโดยสมบูรณ์

ก่อนจะมาที่นี่เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เขามีทั้งสติปัญญาและกองทัพขนาดใหญ่ ด้วยโอกาสที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการจู่โจมรวมกับกองทัพที่อยู่เคียงข้าง ไม่ว่า ‘แผนสำรอง’ ของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการและสังหารศัตรูได้

ทว่าในเวลานี้ คำพูดง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำจากปากของซูเฉิน กลับทำให้เขาตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้อย่างง่ายดาย

พริบตานั้น ซูเฉินได้วาดอนาคตที่สวยงามให้กับเขา มันคงจะเป็นการโกหก หากเขาจะพูดว่าอีกฝ่ายสร้างความหวั่นไหวให้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เหตุใดความหวังของเผ่ามนุษย์ถึงไม่อาจเป็นความหวังของเผ่าคนเถื่อนได้กัน !?

สักวันหนึ่งบางทีพวกเขาอาจจะสามารถก้าวข้ามเผ่ามนุษย์ไปได้ก็เป็นได้ !

ไม่ว่าอย่างไรที่เผ่ามนุษย์สามารถพึ่งพาตนเองได้ก็เพราะการฝึกตน ในขณะที่เผ่าคนเถื่อนเองก็อาศัยพึ่งพาอารามพลังต้นกำเนิดเช่นกัน

ตานปาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “อย่างแรกเลยเหตุใดข้าถึงจะต้องเชื่อว่าเจ้าจะทำได้ ? อย่างที่สองแม้ว่าเจ้าจะทำได้ แล้วเหตุใดข้าถึงต้องเชื่อว่าจะมอบมันให้ข้า ? เผ่ามนุษย์กับเผ่าคนเถื่อนเป็นศัตรูกันมานานนับหมื่นปี เหตุใดเจ้าถึงต้องที่จะมอบสิ่งที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ศัตรูกับศัตรูของตัวเองด้วย ?”

ซูเฉินชู 2 นิ้วขี้นก่อนจะโต้กลับ “อย่างแรก มันไม่เกี่ยวกับว่าข้าจะทำได้หรือเปล่าเพราะข้าทำไปแล้ว ในขณะที่ข้ากำลังค้นคว้าเรื่องคนเถื่อน ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายคนเถื่อนในระดับหนึ่งแล้ว และยังค้นพบวิธีการพัฒนาสัมผัสรับรู้พลังต้นกำเนิดของพวกเจ้า แล้วก็อย่างที่เจ้าพูดไป ข้ายังทำมันไม่เสร็จนั่นก็เพราะข้าไม่มีเหตุผลที่ต้องทำ ดังนั้นมันจะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาไม่ใช่โอกาส”

“อย่างที่สอง ตามที่เจ้าพูด เผ่ามนุษย์กับเผ่าคนเถื่อนขัดแย้งกันมานับหมื่นปี ทว่าศัตรูหลักของมนุษย์นั้นไม่ใช่เผ่าคนเถื่อนแต่เป็นเผ่าสัตว์อสูร พูดให้ถูกเลยคือเผ่าสัตว์อสูรเป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด และมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเผ่ามนุษย์ นั้นนับเป็นการเพิ่มความสามารถในการต่อต้านเผ่าสัตว์อสูร แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเผ่าคนเถื่อนเองก็มีผลไม่ต่างกัน”

หัวใจของตานปาสั่นสะท้าน คำพูดของซูเฉินกระทบถึงก้นบึ้งในหัวใจของเขา

แม้ว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งห้าจะต่อสู้กันเองอยู่บ่อยครั้ง แต่เผ่าสัตว์อสูรก็ยังถือเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนอยู่ใต้การคุกคามของเผ่าสัตว์อสูร เมื่อมีขบวนอสูรเกิดขึ้น พวกมันจะโจมตีทุกสิ่งที่อยู่ในระยะของพวกมัน ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาจากเผ่าใด นอกเหนือจากเผ่าปักษาที่อาศัยอยู่บนปราการสวรรค์ที่ห่างไกลจากอิทธิพลของเผ่าสัตว์อสูรแล้ว เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้ง 4 กลุ่มใหญ่ที่เหลือนั้น ต่างก็ต้องคอยป้องกันเผ่าสัตว์อสูรอยู่เสมอ ในหมู่พวกเขากลุ่มที่น่าสงสารมากที่สุด คือเผ่าท้องสมุทรที่ถูกบังคับให้ต้องเผชิญกับเหล่าอสูรทะเลทั้งหมดด้วยตัวเอง ส่วนมนุษย์ คนเถื่อนและวิญญาณ ต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับอสูรบกและอสูรเวหา

ดังนั้นตามความเป็นจริงแล้ว คำพูดของซูเฉินจึงไม่นับว่าผิด

น่าเสียดาย ที่ตานปาไม่เชื่ออีกฝ่ายเพียงเพราะเรื่องนี้

หัวใจของเขาหวั่นไหวแต่มันก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่จะกลับมามีสติอีกครั้ง เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม้จะฟังดูน่าเกรงขามแต่ก็ยังไม่น่าเชื่อถือพอ ยังไงคนเถื่อนก็ยังคงเป็นศัตรูของมนุษย์ แค่กวาดล้างแล้วเข้ายึดดินแดนของพวกข้า และขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วในขณะที่เพิ่มความแข็งแกร่งไปด้วย ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าก็ยังสามารถต่อต้านเผ่าสัตว์อสูรได้ หากเจ้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้ศัตรูกำจัดศัตรู ก็ช่างโง่เขลายิ่งนัก”

[1] 夜长梦多- ราตรีที่ยาวนานมีความฝันอยู่หลากหลาย เป็นการเปรียบเปรยว่า หากเรื่องราวยังคงยืดเยือออกไป อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้