ภาคที่ 4 บทที่ 169 การเจรจา (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 169 การเจรจา (2)

เมื่อซูเฉินได้ยินคำตอบของตานปาเขาก็ส่ายหัว

“นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดผิด ตามทฤษฎีแล้ว การกวาดล้างเผ่าคนเถื่อน และเข้ายึดครองดินแดนของพวกเจ้าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเรานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมานี้เป็นเพียงการเพิ่มขึ้นในด้านของจำนวนเท่านั้น ไม่ใช่คุณภาพ เผ่าคนเถื่อนไม่เหมือนเผ่ามนุษย์ พวกเจ้ามีร่างกายที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดและเป็นนักรบที่กล้าหาญที่สุด เรื่องนี้แม้แต่เผ่าหินผาก็ยังด้อยกว่ามาก ไม่ว่าเผ่ามนุษย์จะฝึกฝนด้านนี้อย่างไรเราก็ไม่อาจก้าวหน้าไปกว่าพวกเจ้าได้อยู่ดี นี่คือความแตกต่างของคุณภาพพลังชีวิตขั้นพื้นฐาน ที่ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยการฝึกฝน การหลอมรวมความแข็งแกร่งของมนุษย์เข้ากับคนเถื่อนที่อยู่ในระดับเดียวกันนั้น ดีกว่าการเพิ่มคนของเผ่ามนุษย์เป็น 2 เท่า หรือการเพิ่มเผ่าคนเถื่อนเป็น 2 เท่าเสียอีก ข้าคิดว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรอก ใช่ไหม ?”

ตานปาชะงักไปอีกครั้ง

แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตนเอง และคุณลักษณะเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถถูกแทนที่ได้ เพื่อขับไล่เผ่าสัตว์อสูรกลับไปครานั้น เผ่าพันธุ์อัจฉริยะต่างก็พึ่งพาพันธมิตรและผสานความแข็งแกร่งของพวกเขาเข้าด้วยกัน

มิฉะนั้น ลำพังแค่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเพียงเผ่าใดเผ่าหนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะมีจำนวนจะมากเพียงใดก็คงไม่อาจจัดการกับเผ่าเผ่าสัตว์อสูรได้

คำพูดของซูเฉินไม่ใช่ไม่สมเหตุสมผล แต่ตานปาก็ยังคงส่ายหัว

“ข้ายอมรับว่าเจ้าพูดถูก แต่ข้าก็รู้ว่าความชอบธรรมนั้นเป็นเพียงเสื้อคลุมด้านนอกที่งดงามเท่านั้น เว้นเสียแต่ทั่วทั้งทวีปนี้จะตกอยู่ภายใต้การโจมตีของเผ่าสัตว์อสูร มนุษย์ก็ไม่มีวันที่จะใจกว้างขนาดนี้ แต่ตอนนี้พวกเทพอสูรทั้งหมดต่างก็จำศีลอยู่ ขบวนอสูรขนาดใหญ่เช่นนั้นก็ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นแล้ว มันจึงไม่มีเหตุผลให้ก่อตั้งพันธมิตรระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าคนเถื่อนนี้ มนุษย์ไม่มีทางจะร่วมมือกับพวกข้าเพียงเพื่อโจมตีสัตว์อสูรกลับ”

“ทำไมจะไม่ล่ะ ?” ซูเฉินถามกลับ “ในอดีตเราไม่ได้ทำเพราะเราไม่แข็งแกร่งพอ แต่หากในอนาคตเราแข็งแกร่งแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้เราโต้กลับกัน ?”

“น่าเสียดาย ข้าเกรงว่าก่อนจะถึงวันนั้น เผ่าคนเถื่อนก็น่าจะถูกเจ้ากำจัดไปแล้วใช่หรือไม่ ? เจ้าคงจะคิดว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกข้าคือการเป็นทาสของมนุษย์สินะ” ตานปาหัวเราะอย่างเย็นชา

ในยุคนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เป็นผู้เก็บเกี่ยวผลแห่งชัยชนะ

ความแข็งแกร่งของมนุษย์ ไม่เคยหลุดจากการเป็นภัยคุกคามของคนเถื่อน นี่คือความจริง มันไม่ใช่สิ่งที่ซูเฉินสามารถปกปิดได้โดยคำพูดสวยหรู

แม้ว่าอันตรายจากเผ่าสัตว์อสูรในตอนนี้จะถูกจำกัดเอาไว้อยู่ แต่ตานปาก็ไม่เคยคิดที่จะท้าทายเพื่อแย่งชิงบทบาทสำคัญเหล่านั้นเลย เพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถเป็นผู้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้

ในทางตรงกันข้าม ในฐานะผู้ที่คิดค้นและสร้างทักษะวิชาใหม่ ๆ ทั้งหลายนั่น ซูเฉินกระหายความท้าทายนี้ เพราะเขาเป็นคนที่โชคชะตาถูกกำหนดให้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด และกลายเป็นที่เคารพของผู้คนนับพัน

ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ การเจรจาระหว่างทั้งสองจึงไร้ซึ่งจุดร่วม ไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องพูดคุยหรือเจรจากัน ดังนั้นไม่ว่าซูเฉินจะพยายามสาธยายมากแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์

แน่นอน ถ้าซูเฉินยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ เขาก็คงไม่ใช่ซูเฉิน

เขาพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยว่า “แล้วหากข้าเพิ่มเหตุผลไปอีกล่ะ ?”

“อะไร ?”

“นั่นเพราะถึงแม้ข้าจะมอบวิธีฝึกฝนพลังต้นกำเนิดให้แก่เผ่าคนเถื่อนไป ข้าก็ยังคงมั่นใจว่าพวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ได้” ซูเฉินกล่าว

ซูเฉินให้เหตุผลแบบง่าย ๆ ชายหนุ่มกำลังกล่าวว่าถึงเขาจะยอมไม่ให้คนเถื่อนแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ แต่ตราบเท่าที่สมดุลนี้ยังคงอยู่ การจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผู้อื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ซูเฉินพบวิธีทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดแล้ว เขาก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีทะลวงสู่ด่านก่อเกิดลมปราณโดยไร้สายเลือดให้เหมาะกับคนเถื่อนได้ ด้วยวิธีนี้แม้ว่าเผ่าคนเถื่อนจะสามารถฝึกฝนไปถึงระดับที่สูงขึ้น แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์ได้

หากเป็นไปตามที่ซูเฉินอธิบายไว้ มันก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่เรื่องนี้จะกลายเป็นความจริง

“แต่มันจะมีประโยชน์อะไร” ตานปาถาม

ใช่แล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร ? ในเมื่อท้ายที่สุดเผ่าคนเถื่อนก็ยังไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเผ่ามนุษย์ได้ แล้ววิชาที่ทรงพลังที่ได้รับมันจะไปมีประโยชน์อะไร ?

แทนที่จะเป็นเช่นนี้ สู้ฆ่าซูเฉินทิ้งตอนนี้และรักษาสภาพที่เป็นอยู่ไว้จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ ?

ซูเฉินตอบกลับว่า “หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้าเจ้าฆ่าข้าไม่ได้มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง จริงไหม ?”

การแสดงออกของตานปาเปลี่ยนเป็นจริงจัง

เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของซูเฉินดียิ่ง

ถ้าซูเฉินใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องต่อรองเพื่อหลบหนี ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะตราบใดที่ตานปาฆ่าเขาได้ ทุกสิ่งที่เขาพูดมาก็จะไร้ความหมาย

แต่ถ้าทุกอย่างที่ซูเฉินพูด ไม่ได้เป็นการเจรจาเพื่อหลบหนีแต่แรกแล้วล่ะ ?

หากซูเฉินสามารถจากไปได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ โดยที่เผ่าคนเถื่อนไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยล่ะ วิชาฝึกฝนที่ถูกออกแบบมาเพื่อเผ่าคนเถื่อนจะยังมีความหมายอยู่อีกไหม ?

แน่นอนว่ามี !

ทั้งยังมีความหมายอย่างมากด้วย !

เมื่อความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เริ่มก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไล่ตามพวกเขาให้มากที่สุด แม้ว่ามันจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยราคามหาศาลหากไม่สามารถไล่ตามคู่ต่อสู้นั้นได้ทันก็ตาม

แต่จะอย่างไรก็ต้องไล่ !

แม้จะเป็นเพียงการป้องกันไม่ให้ช่องว่างเพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่มากพอแล้ว

การพัฒนาเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง ย่อมสามารถลดความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างเผ่ามนุษย์ได้ และเมื่อมีพลังมากขึ้น พวกเขาก็มีโอกาสจะมีอำนาจเหนือกว่าเผ่าอื่น ๆ พวกเขาอาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าวิญญาณ จากผู้ถูกรังแกเป็นผู้รังแกได้ก็เป็นได้

เมื่อไม่มีทางหาหรือใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ การยอมรับความช่วยเหลือของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเอาชนะศัตรูอีกฝั่ง ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดี

หากไม่อาจเป็นผู้นำได้ การจะเป็นรองผู้นำที่อยู่ในอันดับสองก็นับว่าไม่แย่

เผ่าคนเถื่อนนั้นกล้าหาญมาก แต่ความคิดของพวกเขาก็ไม่ได้ตายตัวนัก พวกเขาเคยเป็นทาสของทั้งเผ่าสัตว์อสูรและเผ่าอาร์คาน่ามาก่อน ดังนั้นภายใต้ความกล้าหาญและความดุดันดุจสุนัขบ้า จึงมีทัศนคติแบบสุนัขล่าเนื้อที่มีเจ้านายแฝงอยู่

กลยุทธ์นี้จึงไม่ใช่สิ่งที่เกินกว่าพวกเขาจะทำได้

ตานปาจ้องมองซูเฉินอย่างดุร้าย “เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถหลบหนีไปได้ ?”

ซูเฉินพยักหน้า “ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้มาทำข้อตกลงกันล่ะ ?”

“เจ้าต้องการจะตกลงอะไร ?”

ขณะที่ซูเฉินกำลังจะตอบ ตานปาก็กดมือขวาลง “โจมตี !”

ฟ้าว !

ขวานนับไม่ถ้วนลอยฝ่าอากาศออกมา

พริบตานั้น นักรบคนเถื่อนนับไม่ถ้วนได้ขว้างขวานของพวกเขาเข้าใส่ซูเฉิน ขวานที่ลอยอยู่ในอากาศมากเสียจนบดบังแสงจากดวงอาทิตย์และทิ้งเงาไว้บนพื้นดิน ขวานที่คมกริบกรีดผ่าอากาศจนเกิดเสียงหวีดร้องของลมขึ้น

ไม่มีใครคาดคิดว่าตานปาจะลงมือจู่โจมตอนนี้ ใบหน้าของฉือหมิงเฟิงเปลี่ยไปในพลัน “ไม่ !”

สายตาของตานปาจับจ้องอยู่ที่ซูเฉินอย่างตั้งใจ

ไม่ใช่เจ้าบอกว่ามั่นใจว่าจะหนีไปได้หรอกหรือ ?

แสดงให้ข้าได้เห็นหน่อยเถอะว่าเจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง

เพล้ง

เสียงที่ฟังดูเหมือนผลึกอะไรบางอย่างแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ดังขึ้น

ขวานปะทะเข้าใส่ซูเฉิน เยี่ยเม่ยและเฮ่อซื่อราวกับมันชนเข้ากับรูปปั้นหิน ร่างของพวกเขาเริ่มมีรอยร้าวขยายออกไปดุจใยแมงมุม ก่อนจะแตกกระจายเป็นเศษแก้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับหมื่น สะท้อนหยอกล้อกับแสงอย่างงดงาม

“ผลึกแก้วไมกาที่โชคร้ายของข้า” เสียงของซูเฉินลอยล่องมาตามลมประหนึ่งเสียงของภูตผี “ตานปาเจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ”

น้ำเสียงของชายหนุ่มล่องลอยอย่างไร้ตัวตน

“เจ้าอยู่ที่ไหน ?” ตานปาคำรามเสียงดัง

เสียงของซูเฉินยังคงลอยผ่านลม “เพื่อตอบแทนที่เจ้าโจมตีข้า ตานปา ข้าขอมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะชอบมัน ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากรู้ว่าข้าจะหนีไปอย่างไรหรอกหรือ ? ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นเอง ตั้งใจมองไว้อย่าให้คลาดสายตาไปเสียเล่า”

ขณะที่เขาพูด น้ำโคลนในหนองน้ำก็เริ่มเดือดขึ้น ก่อนที่กระแสน้ำวนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ทวารไร้บุหงา ?” ตานปาสับสน

มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?

ในตอนนั้นเอง เงาสองสามสายก็ปรากฏขึ้นและพุ่งผ่านอากาศเข้าหาทวารไร้บุหงา นั่นคือซูเฉิน เยี่ยเม่ย เฮ่อซื่อ ตุ๊กตากระดาษขาวและฉือหมิงเฟิงพวกเขามุ่งตรงไปยังทวารไร้บุหงาอย่างไม่ลังเล

นี่คือการพยายามฆ่าตัวตายงั้นหรือ ?

ตานปาไม่เชื่อสายตาของเขา

พริบตาต่อมาร่างทั้งห้าก็ได้หายไปในทวารไร้บุหงา

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ไม่มีวี่แววว่าหนวดขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นมาจากทวารไร้บุหงาเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังคงสงบนิ่ง ผิวน้ำสีน้ำเงินเข้มนั้นไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่น

และเมื่อร่างทั้งห้าพุ่งผ่านทวารไร้บุหงาไป มันก็แตกเป็นเสี่ยง กลายเป็นคลื่นสีฟ้ากระจายไปทั่วบึง

เสียงคำรามที่โกรธจัดดังขึ้นตามมาอย่างกระชั้นชิด “ซูเฉิน อย่าหนี !”

พายุหมุนสีดำพัดเข้ามาทันทีหลังจากเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวนี้ดังขึ้น

“เจ้าอสูรกาย ? เวรเอ้ย !” หน้าตานปาเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าตอนนี้เขากำลังจะมีปัญหาแล้ว !!