ภาคที่ 4 บทที่ 170 วังจักรพรรดิสีชาด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 170 วังจักรพรรดิสีชาด

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง !

เงาห้าร่างตกลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกลงบนพื้นหญ้าบาง ๆ

“นี่ !” เยี่ยเม่ยตะโกนขณะที่นางผลักซูเฉินที่หล่นมาทับตัวนางออกไป “ทำไมทางออกอยู่กลางอากาศกัน ?”

นางเงยหน้าขึ้นมองดูประตูทางออก ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศเหนือพวกเขาราว ๆ 3 จั้งที่ค่อย ๆ จางหายไป สำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแล้ว ความสูงระดับนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่การเดินทางผ่านความว่างเปล่านั้นมักจะทำให้เกิดอาการมึนงง ทั้งยังทำให้พลังต้นกำเนิดของพวกเขาปั่นป่วนและควบคุมไม่ได้อยู่ชั่วครู่ เป็นผลให้ทั้งห้าตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเฉินที่ตกลงมาทับเยี่ยเม่ยเอาไว้ข้างใต้

อันที่จริงซูเฉินสามารถลุกขึ้นได้ในทันที แต่เมื่อเขาได้สัมผัสความนุ่มนวลที่น่ารื่นรมย์ใต้ร่าง เขาก็ไม่อยากรีบร้อนมากนัก หลังจากที่เส้นทางของอนุภรรยาไม่ได้ถูกปิดกั้นอีกต่อไป ความกดดันในใจของชายหนุ่มจึงลดลงไปมาก

แต่ในวินาทีต่อมาชายหนุ่มก็ถูกเยี่ยเม่ยโจมตีทันที ไม่ว่านางจะใสซื่อบริสุทธิ์แค่ไหนแต่นางก็ยังรู้วิธีป้องกันตัวเอง

หลังจากตั้งหลักได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมใหม่ และพบว่ามีทุ่งหญ้าเขียวขจีล้อมอยู่รอบด้าน ไม่ใกล้ไม่ไกลนักเป็นสวนดอกไม้ที่มีพืชและสมุนไพรหายากหลากชนิดที่ปลูกอยู่ในนั้น ไม่เพียงแค่มองดูสวยงาม ทว่ามูลค่าเองก็ไม่น้อยเช่นกัน

ห่างออกไปเล็กน้อยเป็นพระราชวังหลังหนึ่ง

วัสดุก่อสร้างหลักของตัววังคือหินสีแดง ทำให้เมื่อมองมาจากที่ไกล ๆ วังนี้จึงดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสด

เหนือวังมีเสาหินสูงตระหง่านที่ปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา มันดูราวดาบขนาดใหญ่ที่ถูกปักเอาไว้

“นี้มันที่ไหนกัน ?” ฉือหมิงเฟิงกับเฮ่อซื่อต่างก็อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ

ตุ๊กตากระดาษขาวลอยขึ้นไปในอากาศและตอบว่า “นี่คือวังจักรพรรดิสีชาด”

“วังจักรพรรดิสีชาด ?” ทุกคนสับสนและไม่เข้าใจ

“วังของใจสีเลือด” ซูเฉินชี้แจง

“ใจสีเลือด … ” ฉือหมิงเฟิงรุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและร้องขึ้นเสียงดัง “เจ้าหมายถึงจักรพรรดิอสูรสีชาด ?”

“ชู่ว !” ซูเฉินวางนิ้วบนริมฝีปากของเขาและทำสัญญาณเงียบ “อย่าตะโกน”

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? เจ้าพาพวกเรามาที่วังของมันทำไมกัน ? มันเป็นถึงจักรพรรดิอสูรเลยนะ !” ฉือหมิงเฟิงคว้าคอเสื้อของซูเฉินและพูดอย่างกังวล

จักรพรรดิอสูร !

นั่นเป็นตัวตนแบบไหน ?

ตัวตนของพวกมันนั้นมีความแข็งแกร่งเทียบได้เท่ากับผู้ฝึกฝนระดับด่านมหาราชัน เหตุใดด่านมหาราชันถึงได้ถูกเรียกว่า ‘มหาราชัน’ ? พูดง่าย ๆ เลยนั่นก็เพราะพวกเขามีความสามารถมากพอที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรได้

เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้าที่พวกเขาเคยได้สู้ด้วยก่อนหน้านี้ นั้นมีความสามารถพอที่จะครองความได้เปรียบทั้งที่อยู่ในการสู้แบบ 1 ต่อ 20 กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้ และจักรพรรดิอสูรที่กำลังกล่าวนี้มีระดับที่สูงกว่าถึง 2 ระดับ แน่นอนว่ายิ่งระดับยิ่งสูงเท่าใด ช่องว่างในความแข็งแกร่งก็จะยิ่งมากขึ้น

ดังนั้น หากจะกล่าวว่าตัวตนระดับจักรพรรดิอสูรนั้น สามารถฆ่าฉือหมิงเฟิงทิ้งได้ด้วยการหายใจออกเพียงครั้งเดียวก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารมากถึง 300 คน ถึงจะพอคู่ควรจักรพรรดิอสูรหันมาสนใจได้บ้าง

ซูเฉินได้เลือกที่จะหลบหนีและวิ่งเข้าไปในวังของจักรพรรดิอสูร หากเขาไม่ได้พยายามจะฆ่าตัวตาย เช่นนั้นเขาตั้งใจกำลังจะทำอะไรกัน ?

“ไม่ต้องกังวลไป” ซูเฉินพูดช้า ๆ “ตอนนี้ใจสีเลือดไม่ได้อยู่ที่นี่”

“ไม่ได้อยู่ในวัง ? งั้นมันอยู่ที่ไหน ?” ฉือหมิงเฟิงผงะไปชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “ขบวนอสูร ?”

“ใช่ !” ซูเฉินพยักหน้า “มันกำลังกระตุ้นขบวนอสูร”

การเคลื่อนไหวของขบวนอสูร ไม่ใช่การรวมตัวกันเองของอสูรกายจำนวนมาก แต่เป็นการจัดการของตัวตนในระดับสูงกว่า ส่วนใหญ่แล้วขบวนอสูรขนาดเล็กจะถูกจัดการโดยเจ้าอสูร ขนาดกลางนั้นถูกจัดการโดยราชันอสูร และขนาดใหญ่ที่ถูกจัดการโดยจักรพรรดิอสูร ส่วนขบวนอสูรที่ใหญ่มากก็จะมีจักรพรรดิอสูรหลายตนเป็นตัวจัดการ

ซูเฉินและคนอื่น ๆ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อยั่วยุให้เผ่าสัตว์อสูรเดือดดาล ดังนั้นขบวนอสูรนี้จึงเป็นขบวนอสูรขนาดใหญ่ที่มีจักรพรรดิอสูรเป็นผู้นำ

จักรพรรดิอสูรผู้นี้คือจักรพรรดิอสูรใจสีเลือด แม้ว่าจะเป็นชื่อที่ฟังดูไม่น่ากลัวมากนักแต่มันก็ทรงพลังอย่างยิ่ง รูปร่างที่แท้จริงของอสูรร้ายตนนี้คือตัวแบดเจอร์ที่ชอบกินหัวใจ มันมีนิสัยที่ชั่วดุร้ายและโหดเหี้ยมอย่างไม่น่าเชื่อ มันฝึกตนมานานกว่า 3,000 ปี แต่สำหรับในลำดับจักรพรรดิอสูรแล้ว มันยังถือว่าเป็นน้องใหม่ตนหนึ่ง

มันขึ้นชื่อเรื่องความขี้โมโห กระหายเลือด และดุร้าย

แม้ว่าฉือหมิงเฟิงจะอาศัยอยู่ในหลงซาง แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับใจสีเลือดมาพอสมควร ทันทีที่ได้ยินว่าพวกเขาได้เข้ามายังรังของจักรพรรดิอสูร จึงทำให้เขาเกือบจะฉี่ราดกางเกง

เมื่อเขาได้ยินคำตอบของซูเฉิน ฉือหมิงเฟิงก็พูดอย่างไม่สบายใจ “แม้จักรพรรดิอสูรจะไม่อยู่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ซึ่งผู้คุ้มกัน ! ด้วยความแข็งแกร่งของเรา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับยามเหล่านั้น”

“ใช่ ดังนั้นข้าถึงไม่ได้วางแผนที่จะใช้กำลังตั้งแต่แรก” ขณะที่ซูเฉินพูด ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ชายหนุ่มกลายเป็นอสูรรูปร่างเสือตัวหนึ่ง เฮ่อซื่อเลือกที่จะกลายเป็นงูเหลือม ตุ๊กตากระดาษขาวนั้นไม่จำเป็นต้องแปลง เนื่องจากมันเป็นสัตว์อสูรประเภทหนึ่งแต่แรกแล้ว อันที่จริงมันยังเป็นอสูรมีชื่อของที่นี่ตนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

“แล้วข้ากับเยี่ยเม่ยเล่า ?” ฉือหมิงเฟิงเริ่มกังวล เพราะเขาไม่สามารถแปลงร่างได้

“ไม่ต้องห่วงไป ข้าก็อยู่ที่นี่ด้วยจริงไหม ?” ซูเฉินดึงขวดยาออกมา 2 ขวดแล้วยื่นให้กับพวกเขา

เขาเคยปรุงยาแปลงกายมาก่อน จะทำเพิ่มอีกขวดสองขวดในตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

เว้นเสียก็แต่เฮ่อซื่อที่ดูจะไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “อย่าแจกจ่ายให้มันมากเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นความสามารถของตระกูลข้าก็ได้ไร้ค่ากันพอดี”

“ข้ารู้ ข้ารู้ ไม่ต้องกังวล ของฉือหมิงเฟิงนั้นเป็นของที่อยู่ได้เพียงชั่วคราว มีแค่ของเยี่ยเม่ยเท่านั้นที่ถาวร” ซูเฉินกล่าวปลอบเฮ่อซื่อ

ฉือหมิงเฟิงแทบจะกระอักเลือดออกมา การเป็นคนพิเศษนี้มันดีเช่นนั้นเลย ?

เยี่ยเม่ยยิ้มและกอดซูเฉิน “ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดี”

ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็กลืนยาและแปลงร่างเป็นสัตว์อสูร เยี่ยเม่ยห่วงเรื่องรูปร่างหน้าตาของนางอยู่นิดหน่อยจึงเลือกที่จะกลายเป็นจิ้งจอกแดงที่มีเสน่ห์ เย้ายวน ขณะที่ฉือหมิงเฟิงเลือกที่จะเป็นตัวนิ่มขนาดใหญ่ เรียบง่าย และดูซื่อ

เมื่อแปลงกายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินเป็นผู้นำพาทุกคนมุ่งหน้าไปที่วัง

ฉือหมิงเฟิงตามมาอยู่ด้านข้างและถามว่า “น้องซู เจ้าคิดจะทำอะไรหลังจากเข้าไปในวังได้แล้ว ?”

“ยังต้องถามอีกหรือ ? แน่นอนว่าก็ต้องไล่คว้าโชคลาภอยู่แล้ว !” ซูเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา

“วังของจักรพรรดิอสูรใจสีเลือดย่อมต้องมีของดีอยู่มากมายอย่างแน่นอน การปล้นปราสาทคุ้มค่ากว่าการออกไปค้นหาในโลกภายนอกอยู่แล้ว ทั้งยังสามารถยั่วยุให้มันโกรธเพิ่มขึ้นอีกนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อรั้งเวลาและเพิ่มขนาดของบวนอสูรได้อีกด้วย”

ซูเฉินไม่เคยลืมเป้าหมายสูงสุดของเขาในการมาเยือนดินแดนของเผ่าสัตว์อสูรเลย

และการปล้นวังของจักรพรรดิอสูร ก็ถือเป็นวิธีในการ ‘ยั่วยุ’ ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“แต่มันก็เสี่ยงมากเช่นกัน หากวังของจักรพรรดิอสูรมีผู้ครองความสามารถในการตรวจจับ เราจะจบเห่กันแล้ว” ฉือหมิงเฟิงกังวล

“ข้ารู้ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่เคยวางแผนจะทำอะไรแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าโชคของข้าจะแย่มาก ข้าเลยดันตกเป็นเป้าหมายของเจ้าอสูร” ซูเฉินตอบอย่างช่วยไม่ได้

หนึ่งในสิ่งที่งี่เง่าที่สุดที่แมงมุมสาวน้อยโชกเลือดทำ คือการเปิดเผยการมีอยู่ของเจ้าอสูรวาโยทมิฬ

ซูเฉินคงจะไม่ใช่ซูเฉินอีกต่อไป หากเขาไม่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ทันทีที่เขาได้รู้มัน

แต่ถึงการเตรียมพร้อมจะดีเลิศสักเพียงใด มันก็ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะเจ้าอสูรได้ แม้เขาจะกลั่นปรุงยาได้มากมายก็ตาม

ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้คิดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเสี่ยงและมาที่วังของจักรพรรดิอสูรแห่งนี้ เพราะแม้ว่าเจ้าอสูรวาโยทมิฬจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่มีทางที่มันจะกล้าโจมตีอย่างบุ่มบ่าม

สิ่งเดียวที่ซูเฉินไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก็คือเรื่องที่ตานปาปรากฏตัวมาพร้อมกับกองทัพขนาดใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด จนกว่าเจ้าอสูรวาโยทมิฬจะมาถึง จากนั้นก็โยนอีกฝ่ายให้ตานปาจัดการและเผ่นหนีออกมา

ที่จริงแล้ว ที่ซูเฉินคุยกับตานปาเรื่องการเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่าคนเถื่อนนั้นเป็นแค่เรื่องไร้สาระ

ทว่าหลังจากที่พูดจบ ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี

ไม่ว่าเรื่องที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นจะหลอกล่อตานปาได้สำเร็จหรือไม่ อย่างน้อยซูเฉินก็หลอกล่อใจของตัวเองได้แล้ว หากสถานการณ์ในภายภาคหน้าเอื้ออำนวย เขาจะลองค้นคว้าวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่าคนเถื่อนดูสักครั้ง

แน่นอนว่างานหลักของเขาในตอนนี้คือการปล้นพระราชวังของจักรพรรดิอสูร

หัวใจของซูเฉินเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ

อย่างไรที่นี่ก็เป็นรังของจักรพรรดิอสูร ตัวตนที่อยู่สูงกว่าซูเฉินหลายระดับ แต่บ้านของมันในตอนนี้กลับกำลังจะถูกเขาปล้น ไม่ว่าใครหากได้มาอยู่แทนที่เขาในตอนนี้ก็คงจะหวั่นไหวกันทั้งนั้น