ประโยคที่เขียนไว้ที่ประตูนั้นต้องการเห็นความวุ่นวาย ประโยคนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ว่ามันได้ฝังเมล็ดพันธ์ุแห่งความสงสัยเอาไว้ในใจของพวกเขา ค่อย ๆ ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวชั่วคราวของพวกเขาลงจากภายใน

“นี่ดูเป็นวิธีการของเงานั่น ดังนั้นเขาน่าจะเป็นคนทำเอาไว้” เจียหมิงกระแทกไหล่กับหลี่เจิ้ง “เขาชอบปิดบังความจริงเอาไว้ในความโกหก และซ่อนคำโกหกไว้ในความจริง– เงานั่นเก่งในเรื่องจิตวิทยาอย่างนี้แหละ มันไม่ใช่คนที่บอกคุณว่ามันจะออกอะไรเวลาเป่ายิงฉุบ เงานั่นชอบทำสงครามจิตวิทยา เขาเข้าสิงร่างคนมานับไม่ถ้วน เห็นความมืดดำในหัวใจของคนมากมาย และมีชีวิตมาแล้วนานจนนับไม่ได้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาที่ไม่มีใครเหนือไปกว่า”

“อย่างนั้นแกคิดว่าเงานั่นตอนนี้อยู่ในกลุ่มพวกเราหรือเปล่า?” หลี่เจิ้งกำปืนตัวเองแน่น ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักเช่นนี้ มีแค่ปืนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัย

“จากความเข้าใจในเงานั่นของผมแล้ว เขาอาจจะปลอมเป็นหนึ่งในพวกเราแล้ว” เจียหมิงพูดช้าลง “ทุกคนที่นี่อาจจะเป็นเขาก็ได้ รวมทั้งคุณและผม และผมก็บอกคุณได้อย่างแน่ใจเลยว่าคนที่จะเป็นเขาได้นั้นเป็นคนที่คุณสงสัยน้อยที่สุด”

“คนที่ฉันสงสัยน้อยที่สุดงั้นเหรอ?” หลี่เจิ้งมองไปทั่ว ๆ กลุ่มคนตรงหน้าและสายตาของเขาก็ไปจับจ้องอยู่ที่เฉินเกอ ในทุกคนที่นี่ เขารู้จักเฉินเกอดีที่สุด และเขาก็แน่ใจได้ว่าเฉินเกอไม่มีทางเป็นเงานั่นได้

“พอคุณคิดว่ามันน่าจะเป็นเขา มันก็จะไม่ใช่เขา แต่พอคุณคิดว่าคงไม่ใช่เขา อย่างนั้นเขาก็จะจัดการกับคุณตอนที่คุณคาดไม่ถึง เขาจะไม่ให้โอกาสคุณได้ต่อต้านด้วยซ้ำ” เจียหมิงพูดอย่างลึกลับ

“แกพูดมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีประโยชน์เลย ทำไมมันเหมือนกับแกแค่พยายามทำให้ฉันสับสนอยู่?” หลี่เจิ้งขมวดคิ้ว “แกเพิ่งพยายามปัดข้อสงสัยออกจากตัวเองใช่ไหม? เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แกตัดสินใจลากคนอื่น ๆ เข้ามาร่วมบ่อน้ำขุ่น”

“ผมบอกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าเงานั่นออกไปจากร่างผมแล้ว ทำไมคุณถึงไม่เชื่อผม? ที่นี่ไม่มีคนดี ๆ หรอกนะ พวกเราสองคนมาจากโลกด้านนอก ดังนั้นพวกเราคุ้นเคยกันและกัน ดังนั้น ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเราควรจะทิ้งอคติก่อนหน้านี้แล้วทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง” เจียหมิงนั้นไม่เชื่อคนอื่นนอกเหนือจากหลี่เจิ้ง เขาเคยถูกเงานั่นสิงร่างมาก่อนและรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเงานั่นน่ากลัวได้เพียงใด

“อย่าลืมว่าแกคือเหตุผลให้ฉันต้องมาที่นี่ ดังนั้น นี่อาจจะเป็นแผนการของแกตั้งแต่แรก และแกยังเผยเรื่องเหล่านี้ให้ฉันรู้อย่างจงใจ แกต้องการให้ฉันคิดว่าเฉินเกอคือเงานั่นและจากนั้นก็ให้ฉันเป็นพยานให้แก” หลี่เจิ้งตอบอย่างเยือกเย็น

“ผมไม่มีทางเลือกตอนที่ลวงคุณมาที่นี่ ถ้าผมไม่ทำตามที่เงานั่นสั่ง ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่คุยกับคุณตอนนี้แล้ว เงานั่นน่ากลัวกว่าที่คุณจะจินตนาการได้และยังเหี้ยมโหดกว่ามาก ใครที่ไม่มีประโยชน์กับมันแล้วก็จะถูกฆ่าอย่างไม่ลังเล คุณก็รู้นี่? จากมุมมองของเขา ทุกอย่างที่เขาใช้งานไม่ได้ในโลกนี้ล้วนนับเป็นสิ่งกีดขวางทาง ดังนั้นฆ่าทิ้งเสียก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”

“ฉันก็ยังไม่เชื่อแกอยู่ดี นอกเสียจากแกจะช่วยให้ฉันได้เจอเงานั่น” หลี่เจิ้งลดเสียงลง “เงานั่นเคยอาศัยอยู่ในร่างแกหลายปี ดังนั้นแกน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเงานั่นที่สุดแล้ว แกคิดว่ามันปลอมตัวเป็นใครอยู่?”

“ที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเฉินเกอ ลองคิดดู มันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง? พวกเราบังเอิญมาที่นี่ และพวกเราก็บังเอิญเจอเขาเข้า? เขาพยายามอย่างมากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาก่อนหน้านี้ และเขาก็ให้ผมล่อคุณมาที่นี่เพื่อเป็นพยานให้เขา มันชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เจียหมิงยักไหล่ “เฉินเกอผู้นี้เป็นตัวปลอม เขาวางแผนที่จะเปลี่ยนเฉินเกอตัวปลอมไปเป็นตัวจริง เพราะว่าหลังจากที่ฆ่าเฉินเกอตัวจริงแล้ว เขาก็จะเป็นผู้เดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงเข้าใช้ตัวตนของเฉินเกอตัวจริง”

ด้วยการโน้มน้าวซ้ำ ๆ จากเจียหมิง สายตาของหลี่เจิ้งเริ่มเปลี่ยนไป

“อันที่จริง คุณคงจะรู้ตัวเร็วกว่านี้แล้ว คุณไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เหรอ– ทำไมเงานั่นถึงมีรูปลักษณ์คล้ายเฉินเกอ และเขาทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?” เจียหมิงถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าความเชื่อมั่นของหลี่เจิ้งเริ่มสั่นคลอน “ในทุกคนที่นี่ พวกเราเป็นสองคนที่เข้ามาที่นี่ด้วยกัน ดังนั้นพวกเราจึงเชื่อถือได้แค่พวกเรากันเอง นอกจากตัวคุณแล้ว คนอื่นอาจจะเป็นเงานั่นได้หมด”

“ฉันก็ยังไม่เชื่อคำพูดของแกง่าย ๆ แต่ฉันจะหาโอกาสทดสอบเขาดู” หลี่เจิ้งมองเฉินเกอ และสายตาของเขาก็ซับซ้อน

“คุณทำสอบเขาได้ทั้งหมดตามที่ต้องการเลย แต่ผมหวังว่าคุณจะจำเอาไว้ เงานั่นเปลี่ยนไปเป็นคนที่พวกเราคิดว่าเป็นไปได้น้อยที่สุด เขามุดผ่านช่องว่างในใจคน พวกเราไม่ใช่คู่มือเขา และทางเดียวที่จะรอดอยู่ได้ก็คือไม่เป็นศัตรูกับเขา” เจียหมิงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเกอและหลี่เจิ้ง เขาพยายามโน้มน้าวหลี่เจิ้งตอนที่ดวงตาของเขาบังเอิญมองไปยังเงาของหลี่เจิ้ง

“คนที่คุณสงสัยน้อยที่สุด…” ดวงตาของเจียหมิงจู่ ๆ ก็เบิกกว้าง เขารีบหันหน้าไปทำเป็นมองทางอื่นเพื่อซ่อนความตระหนกในใจ

“เกิดอะไรขึ้นกับแก? อะไรอีกล่ะคราวนี้?” หลี่เจิ้งกระแทกปากกระบอกปืนเข้าที่แผ่นหลังเจียหมิง

“ไม่มีอะไร ผมคิดว่าผมเห็นบางอย่างวิ่งผ่านตึกนั่นไปเมื่อกี้นี้” ตอนที่เจียหมิงพูด เขาไม่ได้หันหน้าไป หัวใจของเขาสั่นด้วยอารมณ์มากมายท่วมโถม

ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เหมือนกับเงานั่นจะยิ่งเป็นคนผู้นั้น ฉันเป็นคนล่อหลี่เจิ้งมาที่นี่ และจากมุมมองของฉัน เขาเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อถือได้ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขาจงใจงับเหยื่อ? ใช้ฉันเป็นโล่มนุษย์ในการปลอมตัว? อันที่จริง เขาคือเงาตัวจริง และฉันก็เป็นเหยื่อที่เขาสามารถทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนร้าย โดยเฉพาะตอนที่เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวโทษ

ยิ่งเจียหมิงคิด เขาก็ยิ่งหวาดกลัว มันเหมือนเขาถูกกรอกปูนแห้ง ๆ ลงไปในคอและมันก็ไม่ไหลไปไหน ตอนนี้ เขาไม่กล้ากระทั่งมองหลี่เจิ้ง– เขากลัวว่าเขาอาจจะบังเอิญเผยจุดอ่อนออกไปและทำลายแผนการของเงา

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดคุยกันเอง เข้าไปข้างใน ต่อให้เงานั่นเป็นหนึ่งในพวกเรา มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก” เฉินเกอไม่ชอบเกมคาดเดาแบบนี้ ถ้าไม่เพราะมีคนคุ้นเคยอยู่ด้วย เขาก็คงใช้วิธีการตัดตัวเลือกที่เขาคุ้นเคยที่สุดในการหาความจริง เฉินเกอเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตที่พักอาศัยโดยไม่สนใจประโยคที่ประตู

“ผมรู้แค่ว่าประตูอยู่ที่ชั้นแรก แต่ว่าห้องไหน พวกเราต้องค้นหาเอาเอง” ชายมีรอยสักตามหลังเฉินเกอไป ตอนที่เขาเข้าไปในเขตนั้น กะโหลกศีรษะที่บนแขนของเขาก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว

เฉินเกอนั้นเคยมาที่บ้านฟ่านฉงหลายครั้ง แต่แผนผังของตึกที่นี่นั้นต่างไปจากที่เขาจำได้

“ที่นี่ดูเหมือนจะรักษารูปแบบจากเมื่อหลายปีก่อนเอาไว้” เฉินเกอมองไปที่ด้านนอกตึกซึ่งถูกหมอกสีเลือดกัดกร่อน เขาอ่านบางคำออก “อพาร์ทเม้นท์สวัสดิการโรงพยาบาลหลี่ว่าน? เขตที่พักอาศัยนี้ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อนั้นใช่ไหม? โรงพยาบาลหลี่ว่านหมายถึงโรงพยาบาลเอกชนในเมืองใช่ไหม?”

“โรงพยาบาลเอกชนนั้นสร้างขึ้นทีหลังจากนั้นมาก– โรงพยาบาลหลี่ว่านจริง ๆ แล้วปิดตัวไปเมื่อกว่าสิบปีก่อน” ชายมีรอยสักอธิบาย ”เมืองหลี่ว่านครั้งหนึ่งเคยมีโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคติดต่อ แต่ว่ามันปิดตัวลงด้วยเหตุผลอันลึกลับ ห้องทดลองสำคัญบางอย่างนั้นย้ายไปรวมกับโรงพยาบาลเมืองจิ่วเจียงและโรงพยาบาลในซินไห่”