บทที่ 93 ญาติมาเยี่ยม โดย Ink Stone_Romance
เข้าใกล้ยามสนธยา คนสกุลอวี๋เร่งรุดกลับไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา เงินที่พวกเข้าอดออมมาโดยตลอด ได้ถูกนำไปใช้เช่ารถม้าจากหมู่บ้านอื่น ฝีเท้าของม้านั้นรวดเร็วประหนึ่งโบยบิน หลังคาของรถม้าคล้ายกลับใกล้จะร่วงลงมา จนมาถึงหน้าประตูบ้านของอวี๋หวั่น สารถีจึงจะดึงบังเหียนให้ม้าหยุดฝีเท้าลง
“อาหวั่น!”
ลุงใหญ่เปิดม่านออก
อวี๋เฟิงกลัวว่าเขาจะกระโดดลงไปทั้งอย่างนั้น จึงรีบเข้าไปพยุง “ท่านพ่อ ท่านอย่ารีบร้อน เราถึงแล้ว!”
กล่าวจบ เขาก็กระโดดลงไป แล้วค่อยๆ พยุงบิดาลงจากรถ
เมื่อลุงใหญ่ลงจากรถม้า ก็ถือไม้เท้าเดินเข้าไป “อาหวั่น! น้องสะใภ้! เถี่ยตั้น! มีใครอยู่หรือไม่?”
ชาวบ้านช่วยกันดึงผักขึ้นมาจากดิน นางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยก็ไปช่วยเช่นกัน มีเพียงอวี๋หวั่นที่อยู่บ้าน เธอเพิ่งจะกล่อมเด็กทั้งสามจนหลับ พร้อมกับอุ้มพวกเขากลับไปบ้านข้างๆ
ลุงใหญ่ร้อนรนจนมิทันสังเกตเห็นว่าอวี๋หวั่นเดินมาจากหลังบ้านของบ้านข้างๆ แล้วเข้าไปยังห้องครัว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมิทันได้สังเกตเห็นผู้ซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
แต่อวี๋เฟิงเหลือบไปมองบ้านใหม่สกุลติงก่อนที่จะเข้าบ้านอาหวั่น เขารู้สึกว่าบ้านหลังนั้นสะอาดกว่าแต่ก่อน
แน่นอนว่าสองพ่อลูกต่างคิดเรื่องของครอบครัวอาหวั่นมากกว่า เมื่อวานพวกเขาไปเยี่ยมเยียนบิดาและมารดาของป้าสะใภ้ใหญ่ และคิดว่าจะพักที่บ้านเดิมของป้าสะใภ้ใหญ่ในหมู่บ้านเหยาสุ่ยก่อน ทว่าตกดึก หมู่บ้านเหย่าสุ่ยก็เผชิญกับแผ่นดินไหวระลอกหนึ่ง ทั้งสองหมู่บ้านไม่นับว่าห่างกันมาก ลุงใหญ่กังวลว่าหมู่บ้านเหลียนฮวาจะเกิดแผ่นดินไหวเช่นกัน เมื่อฟ้าสาง เขาจึงเช่าเกวียนจากหมู่บ้านเหยาสุ่ยกลับมา แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเกวียนเล่มนี้กลับเสียระหว่างทาง อวี๋เฟิงและสารถีช่วยกันซ่อม หากแต่ไร้ผล จำต้องไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง และจ่ายเงินเพิ่มอีกสองเท่าเป็นค่าเช่ารถม้าซึ่งแทบจะหาได้ยากยิ่ง
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ท่านลุงใหญ่ พี่ใหญ่ ทำไมพวกท่านกลับมาแล้วล่ะ? ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ที่บ้านสกุลกัวสองวันหรอกหรือ?”
พี่ใหญ่ของป้าสะใภ้ใหญ่จัดงานฉลองวันเกิดช่วงเทศกาลซั่งหยวน สกุลอวี๋จึงเดินทางไปเยี่ยมเยียนและช่วยงานจิปาถะ
อวี๋หวั่นนึกได้ จึงกล่าวว่า “ที่นั่นก็เกิดแผ่นดินไหวใช่หรือไม่? ป้าสะใภ้ใหญ่และพี่รองเป็นอย่างไร ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เสี่ยวซงบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่มีปัญหาอะไร ว่าแต่พวกเจ้า ไม่เป็นไรใช่ไหม?” คำพูดของลุงใหญ่ยืนยันได้ว่าที่หมู่บ้านเหยาสุ่ยนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวเช่นกัน
อวี๋เฟิงกล่าวว่า “ท่านพ่อข้าเป็นห่วงเจ้า จึงกลับมาดูเจ้าก่อน ท่านแม่ข้าพวกเขากำลังเดินทางมา”
ความรู้สึกบางอย่างพรั่งพรูออกมาจากจิตใจของอวี๋หวั่น “ข้าไม่เป็นไร ที่บ้านเดิมข้าไปดูมาแล้ว หลังคาที่ซ่อมเมื่อครั้งก่อนพังลงมา คานของห้องพี่ใหญ่ก็หัก”
ยังดีที่สองสามวันนี้พวกเขาไม่อยู่บ้าน มิเช่นนั้นหากคานบ้านถล่มลงมา อวี๋เฟิงคงจะเครียดหนักกว่านี้
สองพ่อลูกถอนหายใจอย่างจนปัญญา หักแล้วก็หักไปเถิด ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่มีประสบการณ์ย่อมไม่รู้ เมื่อเทียบกับธรรมชาติ มนุษย์นั้นช่างดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน
“ว่าแต่ อาหวั่น ลุงมีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าสักหน่อย” ลุงใหญ่เอ่ยขึ้น
อวี๋หวั่นมองลุงใหญ่ “ท่านลุงใหญ่เชิญกล่าว”
ลุงใหญ่กล่าวว่า “คือว่าบ้านสกุลกัว ครอบครัวของป้าสะใภ้ใหญ่ ถูกแผ่นดินไหวจนพังลงมา พวกเขาจะมาอยู่ที่บ้านเราสักสามสี่วัน”
ลุงใหญ่กล่าวว่า ‘บ้านเรา’ ที่จริงแล้วหมายถึงบ้านเดิม แม้อวี๋หวั่นจะแยกบ้านมาแล้ว ทว่าสำหรับลุงใหญ่ บ้านเดิมก็ยังคงเป็นบ้านของเธอมาโดยตลอด
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ได้เลย ยินดีต้อนรับพวกเขาเสมอ”
ในตอนค่ำ ป้าสะใภ้ใหญ่อุ้มเจินเจินกลับหมู่บ้านเหลียนฮวามาพร้อมกับอวี๋ซงและกัวต้าโย่ว
หากจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของสกุลกัวและสกุลอวี๋ ก็มิอาจเรียกได้ว่าสนิทสนมกัน หมู่บ้านเหยาสุ่ยแม้จะมิได้มั่งคั่งเหมือนกับหมู่บ้านซิ่งฮวา แต่ก็นับว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่อันดับต้นๆ ของตำบลเหลียนฮวา อีกทั้งนายท่านสกุลกัวก็เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเหยาสุ่ย สกุลกัวจึงรู้สึกว่าตนนั้นสูงส่งกว่าผู้อื่นอีกขั้นหนึ่ง พวกเขาดูแคลนสกุลอวี๋ซึ่งตกอับมาโดยตลอด จึงมิได้ให้ความสำคัญกับป้าสะใภ้ใหญ่เท่าไรนัก
เมื่อรู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่กลับไปเยี่ยมเยียน บ้านสกุลกัวมีสีหน้าย่ำแย่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาจะปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่
ตรงกันข้ามกับบุตรสาวอีกคนหนึ่งของสกุลกัวซึ่งแต่งเข้าบ้านคหบดีผู้มั่งคั่ง ทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้าน กัวต้าโย่วก็จะฆ่าเป็ดฆ่าไก่มาให้กิน ด้วยเกรงว่าจะต้อนรับน้องสาวและน้องเขยจากในเมืองไม่ดีพอ
แผ่นดินไหวครั้งนี้ บ้านสกุลกัวถล่มลงมา เดิมทีนึกจะไปพึ่งพาน้องเขยสักสองสามวัน ไหนเลยจะรู้ว่าน้องเขยส่งข่าวมาว่าบ้านของพวกเขาก็ได้รับความเสียหาย กำลังหาวิธีซ่อมแซม หากซ่อมเสร็จแล้วจะส่งคนมารับเขาไป
ภายใต้ความอับจนหนทางนี้ กัวต้าโย่วจำต้องหันมาพึ่งพาพี่เขยแทน
ทันทีที่เข้ามาในหมู่บ้าน กัวต้าโย่วเผยสีหน้ารังเกียจ “ผ่านมาหลายปี หมู่บ้านของพวกเจ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยน ดูโกโรโกโสเหมือนเดิม”
อวี๋ซงทำสีหน้าบึ้งตึง
บุตรสาวคนเล็กมองไปยังลุงใหญ่ของตนด้วยความประหลาดใจ
กัวต้าโย่วเคยมาร่วมงานศพของนายท่านสกุลอวี๋ที่หมู่บ้านเหลียนฮวาเมื่อสิบปีก่อน ทว่าครั้นฮูหยินสกุลอวี๋จากไป บังเอิญว่าเขาก็มีเรื่องให้ต้องไปยังบ้านของน้องเขยพอดี จึงตัดสินใจพาภรรยาและลูกเข้าเมืองไป
หมู่บ้านเหลียนฮวาในปัจจุบันต่างจากเมื่อสิบปีก่อนมาก แต่ในสายตาของกัวต้าโย่วนั้น หมู่บ้านนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม
ป้าสะใภ้ใหญ่อุ้มบุตรสาวเอาไว้ มิได้ต่อปากต่อคำกับเขา
เกวียนเคลื่อนมาหยุดที่หน้าบ้านเดิม
ภรรยาและบุตรของกัวต้าโย่วกำลังเดินทางมา เพียงแต่ว่า ทั้งสามมิได้นั่งเกวียน แต่ให้คนไปเช่ารถม้าในตำบล คาดว่าอีกประมาณครึ่งชั่วยามจึงจะถึง
อวี๋ซงถูกกระเบื้องตกลงมากระแทกศีรษะ มีเพียงรอยแตกภายนอก ไม่ได้กระทบถึงกระโหลกของเขา ทว่าก็ยังรู้สึกเจ็บมากอยู่
อวี๋ซงลงจากเกวียน และรับน้องสาวมาจากมารดา
เจินเจินเห็นเถี่ยตั้นน้อยกำลังนอนอยู่หลังประตูและมองออกมา ก็สะบัดมือของพี่รอง แล้ววิ่งเตาะแตะไปหาพี่เถี่ยตั้น
“ไปเรียกพี่ใหญ่เจ้ามา” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าว
ทันทีที่นางกล่าวจบ กัวต้าโย่วก็ตะโกนเสียงดังว่า “เสี่ยวซง! ยกของบนเกวียนลงมาที! กล่องของน้าสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องเจ้าก็อย่าลืมเสียล่ะ!”
ป้าสะใภ้ใหญ่หลับตาลง
อวี๋ซงมองไปยังญาติของมารดา แต่ก็มิได้กล่าวอะไร เขาพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผล แล้วเดินไปยังเกวียน
ขณะที่กำลังจะยกของลง ก็มีมือเรียวยื่นเข้ามา “ข้ายกเอง”
อวี๋ซงชะงัก
อวี๋หวั่นดันเขาไปยืนด้านข้าง แล้วยกสัมภาระกล่องใหญ่ลงจากเกวียน
……………………………………