บทที่ 94 เย็บปิดปากแผล โดย Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นยกกล่องสัมภาระซึ่งทั้งใหญ่ทั้งหนักเข้าไปในบ้าน
ในตอนแรกกัวต้าโย่วก็มิได้สังเกตเห็น จนกระทั่งเขามองเห็นร่างอันบอบบางผ่านหน้าไป จึงเงยหน้าขึ้น ทว่าอวี๋หวั่นก็เดินข้ามธรณีประตูบ้านไปเสียแล้ว
“นั่นคือ…” เขาเอ่ยถามอย่างงุนงง
อวี๋ซงหยิบห่อผ้าที่เหลือลงมา มิได้ตอบคำถาม และเดินเข้าบ้านไปเช่นกัน
ป้าสะใภ้ใหญ่จึงตอบว่า “อาหวั่น ลูกสาวคนโตของน้องสาม”
“อ๋อ นางเองหรือ” กัวต้าโย่วเข้าใจในทันที “ครั้งก่อนที่ข้าเห็นนาง น่าจะอายุเท่ากับเฉี่ยวเอ่อร์กระมัง? ผ่านไปพริบตาเดียวก็จะโตทันเยว่เอ่อร์แล้ว”
เฉี่ยวเอ่อร์ที่เขาพูดถึงก็คือกัวเซี่ยนเฉี่ยว บุตรสาวคนเล็กของเขา ปีนี้อายุแปดขวบ และเยว่เอ่อร์คือบุตรสาวคนโต เพิ่งจะอายุสิบหกปีเต็ม อายุน้อยกว่าอวี๋หวั่นหนึ่งปี
กัวต้าโย่วเดินเข้าไปในบ้าน มิได้แม้แต่จะจ่ายเงินค่าเกวียน
สารถียืนประดักประเดิดอยู่ด้านหน้า กลับเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่เข้าบ้านไปหยิบเงินมาให้เขาโดยไม่ขาดแม้แต่เหรียญเดียว
เขาจึงจูงเกวียนกลับไป
อวี๋หวั่นย้ายกล่องสัมภาระเข้าไปในห้อง ห้องนี้เคยเป็นห้องของอวี๋เซ่าชิงและนางเจียง หลังจากแยกบ้านกัน ห้องนี้ก็กลายเป็นห้องว่าง ทว่าห้องนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเท่าไรนัก รอยแตกบนผนังก็ให้อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงนำดินเหนียวมาทาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อกัวต้าโย่วเข้าไปในห้อง อวี๋หวั่นก็กำลังยกกล่องขึ้นวางบนโต๊ะพอดี
อวี๋หวั่นหันหลังมาเห็นกัวต้าโย่ว แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเธอ แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาคือใคร เธอจึงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ท่านน้า”
เธอเรียกเขาตามพวกอวี๋เฟิง
ก่อนหน้านี้เห็นเพียงด้านหลัง บัดนี้ได้เห็นใบหน้าชัดๆ กัวต้าโย่วก็อดตกตะลึงไม่ได้ เด็กคนนี้ไม่เพียงเติบโตขึ้นมาก แต่ยังหน้าตาสะสวย มิได้ละม้ายคล้ายกับเด็กตัวผอมแห้งหน้าซีดเหลืองคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
…………………..
อวี๋เฟิงซ่อมคานอยู่ในห้อง
ลุงใหญ่ชงชาสำหรับฮ่องเต้ที่ลุงวั่นให้มาให้กับกัวต้าโย่ว
กัวต้าโย่วไม่รู้ จึงเอ่ยขึ้นว่าชานี้ไม่อร่อยเท่าชาของบ้านน้องเขย
ลุงใหญ่มิได้ใส่ใจ หัวเราะตามน้ำไป
แต่เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่เดินหน้าบึ้งตึงไปยังห้องครัว
อวี๋หวั่นลากอวี๋ซงเข้าไปให้ห้องของเขา
“ทำอะไร” อวี๋ซงขมวดคิ้ว มองไปยังมือของอวี๋หวั่นที่จับข้อมือของเขาอยู่
“ข้าได้ยินท่านลุงใหญ่และพี่ใหญ่บอกว่าพี่รองบาดเจ็บ” หลังจากที่เข้าไปในห้อง อวี๋หวั่นก็ปล่อยข้อมือเขา เธอเปิดห่อผ้า แล้วหยิบยาจินชวง[1]และอุปกรณ์ทำแผลอีกสองสามชนิดออกมา อุปกรณ์ทำแผลเหล่านี้ได้มาครั้นเธอรักษาม้าที่สถานีส่งสารและวัวของซวนจื่อ ส่วนยาจินชวงนั้นได้มาจากลุงวั่น ใช้สำหรับรักษาเยี่ยนจิ่วเฉาโดยเฉพาะ สิ่งใดที่ใช้กับเยี่ยนจิ่วเฉาได้ล้วนเป็นของดี
นี่เรียกว่าลักลอบนำมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเปล่านะ? อวี๋หวั่นแอบคิด
อวี๋ซงมีสีหน้าไม่ยินดีเท่าไรนัก “แค่แผลเล็กน้อย”
“ต่อให้เล็กกว่านี้ก็เรียกว่าแผล อีกทั้งยังอยู่บนหัว ให้ข้าดูหน่อย” อวี๋หวั่นเริ่มมีโทสะ
อวี๋ซงไม่ยินยอม
อวี๋หวั่นจับเขาเอาไว้ แล้วใช้แรงดึงใบหน้าของเขาให้หันมา
อวี๋ซงพยายามจะดิ้น แต่กลับพบว่าเด็กคนนี้มีแรงมากกว่าที่คิด
อวี๋หวั่นแกะผ้าพันแผลซึ่งผูกเอาไว้ลวกๆ บนศีรษะของเขาออก ในตอนแรกอวี๋เฟิงบอกว่าเป็นแผลเล็ก เธอก็ยัง
คิดว่าเป็นแผลเล็กเสียอีก เมื่อเปิดผ้าพันแผลออกจึงเห็นว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นแผลใหญ่ ใหญ่จนศีรษะของเขาบวมเป่ง
“ข้าจะเย็บแผลให้” อวี๋หวั่นดึงมือกลับมา
เมื่ออวี๋ซงได้ยินว่า ‘เย็บ’ เขาก็ผงะและกระโดดโหยงลงจากเก้าอี้ทันที “ข้าไม่เอา!”
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ พลางมองไปยังเขา “ทำไม? กลัวรึ?”
อวี๋ซงชะงักไป ถึงเขาจะโตแล้ว แต่ก็กลัวคนนำเข็มมาเย็บแผลบนหัวไม่ได้หรืออย่างไร? อีกอย่าง เรื่องแบบนี้จะให้เด็กนี่รู้ไม่ได้เป็นอันขาด!
“ละ…แล้วเจ้าเย็บแผลเป็นหรืออย่างไร?”
อวี๋ซงกล่าวพลางถอยออกไประยะหนึ่ง
อวี๋หวั่นหยิบเข็มเล่มใหม่ออกมา แล้วนำไปเผาไฟ กล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ท่านวางใจ แผลแบบนี้ข้าเย็บมานักต่อนักแล้ว”
เพียงแต่ไม่ได้เย็บแผลให้คนก็เท่านั้น
เรื่องเล่ห์เหลี่ยม อวี๋ซงมิใช่คู่ต่อสู้ของอวี๋หวั่น ส่วนเรื่องแรงนั้น อวี๋ซงก็จำต้องนั่งอย่างว่า(ถูก)ง่าย(บังคับ)บนเก้าอี้ ให้อวี๋หวั่นเย็บปากแผลไปห้าหกเข็มเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังจะปริปากบ่นออกมา มือเย็นเฉียบก็แตะบนหน้าผากของเขา
“พี่รองอย่าขยับ ยังไม่เสร็จ” อวี๋หวั่นกล่าวเสียงค่อย
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนอวี๋เฟิงสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของอวี๋หวั่นใกล้กับแผลของเขา ทั้งยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย
เมื่ออวี๋หวั่นเย็บแผลให้อวี๋ซงเสร็จ คนสกุลกัวก็เดินทางมาถึง เป็นบ้านลุงใหญ่ที่จ่ายค่ารถม้าดังเคย ทันทีที่เห็นว่าลุงใหญ่ควักเงินจ่ายค่ารถม้า น้องสะใภ้สกุลกัวซึ่งนั่งทำหน้าบูดบึ้งมาตลอดทางก็มีสีหน้าดีขึ้น
น้องสะใภ้สกุลกัวนี้เป็นคนสกุลตู้ นามว่าจินฮวา นางเป็นภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามหลักประเพณีของกัวต้าโย่ว สกุลตู้ก็นับว่าเป็นสกุลใหญ่ของหมู่บ้านเหยาสุ่ย หลังจากที่ตู้จินฮวาแต่งงานเข้าสกุลกัว ก็มิได้มีบุตรชาย นางให้กำเนิดบุตรสาวสองคน แล้วก็ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก มิต้องเอ่ยถึงในชนบท แม้แต่ในเมืองเอง การไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้นั้นนับเป็นเรื่องร้ายแรง ทว่าใครให้คนสกุลตู้เด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ตู้จินฮวาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านสกุลกัวได้อย่างหยิ่งผยอง
ตู้จินฮวาสวมกางเกงผ้าฝ้ายสีน้ำตาลแดง นางสวมรองเท้ากำมะหยี่ปักดิ้นส้นสีขาว สวมเสื้อคลุมยาวลายดอกประดับกระดุมถักสีน้ำเงินสด เส้นผมมันเงาถูกหวีเป็นอย่างดี บนศีรษะมีปิ่นปักผมลายดอกฉยงฮวาสีทองประดับไข่มุก
ไม่เพียงเท่านี้ นางยังแต่งหน้าทาปากและเขียนคิ้วอย่างงดงาม ในเมืองอาจมิใช่เรื่องแปลก แต่ในชนบทที่ทุกคนต่างตรากตรำทำงานหนักทั้งวันนั้นนับว่าพบเห็นได้ยากยิ่ง
ทั้งสองข้างของตู้จินฮวาคือกัวเซี่ยนเยว่ซึ่งอายุสิบหกปี และกัวเซี่ยนเฉี่ยวซึ่งอายุแปดปี
กัวเซี่ยนเยว่รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น รูปโฉมงดงาม นางนับว่าเป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ของหมู่บ้านเหยาสุ่ย
ในทางตรงกันข้าม กัวเซี่ยนเฉี่ยวบุตรสาวคนที่สองนั้นดูงามน้อยกว่าพี่สาวมาก นางอ้วนท้วนกว่ากัวเซี่ยนเยว่ถึงสองเท่า องคาพยพบนใบหน้าก็มิได้จัดว่าน่าพึงพอใจนัก เมื่อเข้าไปในบ้าน นางมิได้กล่าวทักทายผู้ใด ได้แต่กินขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาลทรายแดงที่อยู่ในมือ
………………………………..
[1] ยาจินชวง ยาสำหรับใช้รักษาบาดแผลและอาการฟกช้ำ