วิบัติบุพผายังไม่ทันเริ่มดีซือหยูก็พบกับภัยคุกคามใหม่ที่ไม่รู้ที่มาแล้ว
พวกสำนักช่างสวรรค์อาจจะใช้อะไรบางอย่าง…
ดูจากพฤติกรรมและคุณธรรมของเหล่าศิษย์ช่างสวรรค์เหล่านั้นแล้วซือหยูแทบจะไม่เชื่อว่าสำนักช่างสวรรค์ยังคงมีความเป็นมิตรกับดินแดนพรสวรรค์อีก
แม้ว่าพวกเขาจะเคยร่วมมือกับทำสงครามกับพวกภูติผีแต่ตอนนี้ความเป็นพันธมิตรคงหมดลงแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาไม่ต่อท้ายดินแดนพรสวรรค์อย่างเปิดเผยเพียงเพราะว่าดินแดนพรสวรรค์ยังมีชื่อเสียงอยู่ซึ่งความสัมพันธ์ที่ว่ามาก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น
ซือหยูต้องเจอกับขวากหนามและความยากลำบากมาตลอดชีวิตสำหรับเขา เหล่าวิกฤตินั้นเป็นเพียงเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน มันคือสิ่งที่ต้องให้ความสนใจ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะจบชีวิตเขา
ฟึ่บ!
เมื่อความคิดแล่นผ่านไปความรู้สึกถึงอันตรายที่เคยมีอยู่ก็หยุดลง ซือหยูสัมผัสพื้นอันมั่นคงอีกครั้ง
เขาลืมตาเหลือบมองสิ่งรอบข้างและพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางป่าเขาพบต้นไม้ประหลาดมากมายที่มีสีเข้มและใบไม้สีเลือด มันคือป่าที่กว้างมากทีเดียว เขามองไม่เห็นขอบของป่าเลย
ซือหยูมองเหล่าแมกไม้แต่ก็ต้องแปลกใจที่พบว่ามีตำราฝังอยู่ในต้นไม้แต่ละต้นแต่ละเล่มมีสีปกที่แตกต่างกัน!
ซือหยูร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวลเขาบินไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดและยื่นมือไปหาตำรา เขาคิดว่าตำราเหล่านี้ติดอยู่ในต้นไม้ แต่เมื่อเข้าใกล้เขาก็พบว่าตำราเหล่านั้นเติบโตมาจากตอไม้! เขาเปิดตำราและมองข้อความหลายบรรทัดที่มีข้อความอัดกันแน่น
ฮวงฉีอายุยี่สิบสามปี เข้าสู่วิถีการบ่มเพาะเมื่อสิบขวบ เป็นภูติเมื่ออายุสิบสามและเป็นจ้าวเทวะเมื่ออายุสิบหกปี เป็นจ้าวเทวะชั้นสูงที่อายุยี่สิบปี เชี่ยวชาญวิชาราชสีห์สายฟ้าคำราม เขาร่ำเรียนวิชาอยู่ที่ดินแดนมีดสวรรค์
เสียชีวิตในปีจิวโจวที่1703 ชีวประวัติดังนี้…
เนื้อหาต่อไปนั้นคล้ายเอกสารทางการอย่างมาก
ฮวงฉีเล่าทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ในชีวิตด้วยมุมมองของตัวเองเขาเล่าแม้กระทั่งเรื่องริดสีดวงทวารที่ก้นตัวเอง
ซือหยูประหลาดใจที่อ่านเรื่องราวเหล่านี้มันราวกับเรื่องที่เล่าให้ตัวเองฟัง
หลังจากพลิกหน้ากระดาษไปมาซือหยูอ่านไปจนถึงหน้าสุดท้าย
“ในปีจิวโจวที่1703 เขาสิ้นชีวิตด้วยมือของม่อเทียนฉวนแห่งตำหนักโลหิต ขณะที่ต่อสู้เพื่อตำราแห่งชีวิตดาราจรัสม่อจือเต๋า”
เมื่ออ่านถึงหน้าสุดท้ายซือหยูแปลกใจที่ได้เห็นบันทึกเกี่ยวม่อเทียนฉวน ในปีจิวโจว 1703 นั้นคือเมื่อสามร้อยปีก่อน และม่อเทียนฉวนก็กลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อยู่ในยุคสมัยนั้น
ในเวลานั้นนางได้เข้าร่วมแดนมณีด้วยและสังหารศิษย์สำนักช่างสวรรค์นามฮวงฉีที่กล่าวตามตำรา พวกนางต่อสู้กันเพื่อตำราแห่งชีวิตของม่อจือเต๋า
“ตำราแห่งชีวิตคืออะไรกัน?”
ซือหยูถามจ้าวสวนบุพผาที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้
นางเงียบกริบตั้งแต่ที่ถูกส่งมาที่นี่กับเขานางรออยู่ใต้ต้นไม้และไม่เข้ามาใกล้ ราวกับว่าต้นไม้เป็นสิ่งที่ต่อต้านกับนาง
จ้าวสวนบุพผาแววตาเศร้าหมอง
“ที่เจ้าถืออยู่ไม่ใช่ตำราแห่งชีวิตหรือยังไงกัน?”
ซือหยูปล่อยตำราทิ้งทันทีเมื่อตำราร่วงไปยังพื้น มันก็ติดไฟตั้งแต่กลางอากาศ ต้นไม้สีดำสนิทเริ่มติดไฟเช่นกัน
ทั้งตำราและต้นไม้กลายเป็นกองฝุ่นฝุ่นเหล่านี้มิใช่เถ้าถ่านแต่เป็นผงแป้งจากกระดูกที่ถูกสายลมพัดปลิว
“ร่างของคนตายในสวนตำราจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สีดำสนิทวิญญาณจะกลายเป็นตำราที่เล่าเรื่องราวตลอดชีวิตของผู้ตาย เมื่อครู่ เจ้าได้อ่านเรื่องของคนตายไปแล้ว”
ซือหยูโล่งใจไม่แปลกใจเลยที่เรื่องราวในตำราจะดูแปลกไปบ้าง
ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อมองเศษกระดูกเบื้องล่างจ้าวเทวะชั้นสูงอายุยี่สิบปีนับเป็นผู้มีพรสวรรค์อันหาได้ยากในโลกใบนี้ novel-lucky
ช่างน่าเศร้าที่เขาต้องมาตายในแดนมณีก่อนที่จะจารึกบางอย่างไว้บนโลก ซือหยูพับแขนเสื้อและปลดปล่อยพลังขุดหลุมฝังซากกระดูก
จ้าวสวนพูด
“จงดูแลตัวเองอย่าตายที่นี่ล่ะ…”
ซือหยูพยักหน้าเขาไม่อยากจะให้รายละเอียดทุกอย่างในชีวิตเขาถูกบันทึกไว้บนต้นไม้ให้คนแปลกหน้าอ่านเช่นกัน
“จ้าวสวนเจ้าคุ้นเคยกับสวนตำราหรือ? บอกข้อมูลให้ข้าจะได้หรือไม่?”
ซือหยูหันไปถาม
เขาช่วยจ้าวสวนออกมาด้วยความเวทนาและเพราะหวังจะให้นางช่วยเหลือบ้างเขาอาจจะใช้ความคุ้นเคยต่อแดนมณีของนางเป็นข้อได้เปรียบ
“เทียบกับสวนบุพผาสวนตำราไร้อันตรายยิ่งกว่า”
จ้าวสวนตอบห้วนๆ
“เจ้าแค่ป้องกันตัวเองจากวิบัติตำราและพวกผู้เข้าร่วมคนอื่นก็พอแล้วเจ้าจะปลอดภัย” ซือหยูไม่รู้จะตอบอย่างไรนางอาจจะไม่พูดอะไรและบอกเขาเพียงข้อมูลกว้าง ๆ
ราวกับว่านางรู้ความคิดของซือหยูนางพูดต่อ
“ข้าไม่เคยออกจากสวนตำรามาก่อนทุกอย่างที่รู้มาจากคำเล่าขานของผู้มาเยือนในอดีต นั่นคือสิ่งที่คนเหล่านั้นเล่าให้ข้าฟัง”
จู่ๆ นางพูดขึ้นมาอีก
“โอ้ข้าจำได้แล้ว พวกเขาบอกว่ามันจะอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเจ้าอยู่ในส่วนที่ลึกขึ้น เพราะยิ่งใกล้ใจกลางสวนเท่าใด ต้นไม้ของผู้ตายในอดีตจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”
ซือหยูมองต้นไม้หนาแน่นรอบกายดูจากตำราฮวงฉีที่เขาอ่าน นอกจากจะรู้เรื่องชีวประวัติแล้วเขายังรู้เรื่องประสบการณ์การบ่มเพาะของเขาอีกด้วย
วิชาราชสีห์สายฟ้าคำรามที่เขาบ่มเพาะนั้นถูกบันทึกไว้ในตำราแม้แต่ขั้นตอนการฝึกฝนก็ถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าใครจะได้อ่านตำราแห่งชีวิตก็จะได้ใช้วิชาของผู้ตายในระยะเวลาอันสั้น
สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็นับเป็นรางวัลแล้ว!
ท่ามกลางบุคคลชั้นสูงที่ล่วงลับในอดีตมากมายจะไม่มีวิชาอันยอดเยี่ยมของพวกเขาอยู่หรือ?
ซือหยูใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นแต่เขาก็ไม่รู้ว่ามียอดฝีมืออยู่ในสวนตำรามากเท่าใด และอันตรายในใจกลางป่าก็ยิ่งไม่แน่นอน
“จริงสิข้าจำเรื่องอื่นได้อีก พวกเขาบอกว่าความสูงของต้นไม้จะใช้บอกระยะห่างจากใจกลาง ต้นไม้ร้อยศอกคือป่าส่วนนอก สองร้อยศอกคือกลางขอบ สามร้อยศอกคือส่วนใน และสี่ร้อยศอกน่าจะเป็นใจกลาง”
ซือหยูมองต้นไม้สูงพันศอกรอบตัวเส้นเลือดที่หน้าผากสั่นไหว
“นี่เจ้ายังจำอะไรไม่ได้อีก?”
เขาถูกเคลื่อนย้ายมาที่ใจกลางป่า!
ไม่แปลกเลยที่เขาได้เจอกับยอดฝีมือจ้าวเทวะชั้นสูงอายุยี่สิบปีตั้งแต่เปิดตำราเล่มแรก
จ้าวสวนหน้าแดงนางพูด
“อืมมมมีอย่างอื่นอีก สวนตำราไม่เหมือนกับสวนบุพผา เมื่อเข้ามาในสวนตำราแล้ว หากไม่เปิดตำรา คนผู้นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิบัติตำรา วิบัติตำราจะสนใจแต่คนที่เปิดอ่านตำราไปแล้ว”
เวลานี้ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คำที่ซือหยูอยากจะพูด
ทำไมไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?!
มันสายไปแล้ววิบัติบุพผายังไม่จบ วิบัติตำรากำลังจะมาถึง
“อะแฮ่มที่นี่เป็นสวนตำรา ข้าที่เป็นจ้าวสวนบุพผาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เจ้ามีวิธีให้ข้าลี้ภัยไหม?”
จ้าวสวนบุพผาถามนางหวังจะออกจากแดนมณีไปพร้อมกับซือหยู ต่อให้ซือหยูไล่นางไปตอนนี้นางก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ซือหยูถาม
“ที่เก็บของธรรมดาใช้ได้หรือไม่?”
จ้าวสวนหันมาจ้องเขม็ง
“เจ้าคิดว่ายังไงเล่า?”
ที่เก็บของทั่วไปมิอาจเก็บสิ่งมีชีวิตได้เพราะมันขาดธาตุแห่งชีวิตแม้แต่อสูรเนรมิตรก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งมีอยู่พื้นที่เดียวที่เหมาะกับจ้าวสวนบุพผา
“ก็ได้ข้าจะจัดการให้”
��