ตอนที่ 695 รักจนหมดทางหนี (1)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

เธอคิดว่าตัวเองดูผิดไป

 

 

เมื่อกี้เจอเขาที่ห้างสรรพสินค้าก็นับว่าบังเอิญแล้ว ตอนนี้อยู่ที่นี่…บนถนนใหญ่ กลับเจอเขาอีก ก็นับว่าบังเอิญได้ไหม? หรือว่า…

 

 

หัวใจสั่นไหว ไม่กล้าคิดไปไกล

 

 

แต่ชายหนุ่มที่เหยียบเบรกตรงหน้าไฟจราจรขึ้นสีแดงคนนั้นจู่ๆ ก็หันหน้ามา ภายใต้แสงหลากสีของเมืองใหญ่ เธอยืนอยู่ริมถนน เขานั่งอยู่ในรถ ทั้งสองคนประสานสายตา

 

 

แววตาของเขาเรียบเย็น

 

 

เย็นเสียจนคนมองเห็นใจสั่นเทา

 

 

พักใหญ่…

 

 

เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ครู่นานที่ไม่สามารถถอนสายตาจากแววตาของเขาได้

 

 

ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้นเธอถึงได้สติกลับมา หยิบออกมาดูแวบหนึ่งพบว่าบนหน้าจอเป็นเบอร์รหัสแปลก เย่เซียวได้หันหน้าไปทางอื่นโดยแนบโทรศัพท์ชิดหู

 

 

ไป๋ซู่เย่ได้สติทันที กำโทรศัพท์ไว้ไม่กล้ารับ

 

 

เธอเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ โทรศัพท์ก็ดังไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าดังเป็นครั้งที่เท่าไรเธอกดรับในที่สุด

 

 

“เย่เซียว ฉันไม่กล้ารับประกันว่าโทรศัพท์ฉันจะถูกกระทรวงความมั่นคงดักฟังมั้ยไหม ฉะนั้น…”

 

 

“ขึ้นรถ ผมจะรอคุณอยู่ในอีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า” เขาวางสายเธอไปทันใด

 

 

“คุณไม่ต้องรอฉัน ฉันไม่ไปหรอก” เธอปรับเสียงตัวเองให้ฟังดูใจร้ายเด็ดขาดเสียบ้าง

 

 

“ผมจะรอคุณแค่สองนาที สองนาทีคุณไม่ขึ้นรถ พรุ่งนี้ผมจะไปหาคุณที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรง”

 

 

“เย่เซียว!”

 

 

ไป๋ซู่เย่เน้นเสียงหนักแต่เย่เซียวได้วางสายไปแล้ว จากนั้นรถคันที่คุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นตานั่นได้ขับผ่านไฟเขียวไปจอดข้างถนนนิ่ง เธอยืนอยู่ตรงนั้นคอยมองอยู่ห่างออกไปนิ่ง เขายื่นมือออกนอกหน้าต่างโดยคีบบุหรี่ที่ถูกจุดเผาให้เห็นประกายไฟท่ามกลางความมืดยามราตรี

 

 

ร่างกายของเขาในตอนนี้สูบบุหรี่ รับไหวหรือ?

 

 

เธอสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พลางเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนเดินไปหาเย่เซียว หน้าต่างรถลดลง เธอไม่ได้ขึ้นไปแค่โน้มตัวตรงฝั่งข้างคนขับพูดกับเขาโดยรักษาระยะห่างไว้ “ถ้ามีเรื่องอะไร เราคุยกันแบบนี้เถอะ”

 

 

“พรุ่งนี้ไปคุยกันที่กระทรวงความมั่นคงแล้วกัน” เย่เซียวพูดจบก็เลื่อนหน้าต่างขึ้นบดบังใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั่นไว้ในรถ วินาทีถัดมารถถูกสตาร์ท

 

 

ไป๋ซู่เย่กังวลว่าเขาจะไปหาตนที่กระทรวงความมั่นคงจริงๆ หากเป็นเช่นนี้จะยิ่งทำให้ปลัดกระทรวงเกิดความคิดมากกว่านี้ เธอถอนหายใจเปิดประตูชิงขึ้นรถก่อนที่เย่เซียวจะขับรถไปก่อน

 

 

ภายในรถตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่

 

 

แสบจมูกนัก

 

 

เธอก้มมองดูพบว่าที่เขี่ยบุหรี่ในรถนั้นมีก้นบุหรี่กว่าสิบมวนแล้ว

 

 

ในมือเขายังคีบอีกหนึ่งมวน

 

 

ไป๋ซู่เย่นั่งข้างๆ ยังรู้สึกสำลักจนปวดไปทั้งปอด ยากจะคิดว่าชายหนุ่มที่สูบบุหรี่มากขนาดนี้จะรับไหวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นสุขภาพเขายังอาการแย่ขนาดนั้น จนบัดนี้แผลกระสุนยังคงไม่หายดีหรือเปล่า!

 

 

เธอลดกระจกลงเบนหน้าหันไปทางนอกหน้าต่าง แสร้งเอ่ยปากพูดเสียงเย็น “กลิ่นในรถเหม็นมากพอแล้ว คุณช่วยดับบุหรี่ทีได้มั้ยไหม?”

 

 

เย่เซียวสูบแรงๆ หนึ่งทีถึงบดขยี้หัวบุหรี่แรงๆ จากนั้นไม่รอไป๋ซู่เย่ไหวตัวทันตัวรถก็พุ่งทะยานไปราวกับกระสุน ทั้งเร็วทั้งแรงจนเกิดแรงดันให้ตัวเธอพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะสองมือที่ยันข้างหน้าไว้ หน้าผากท่าจะชนกับกระจกหน้ารถนานแล้ว เกรงว่าคงจะชนจนหัวแตกเลือดออกทีเดียว

 

 

“รัดเข็มขัด”

 

 

เย่เซียวกล่าว

 

 

สังเกตแล้วพบว่าเขาเรียบเฉยดังตอนแรก

 

 

ไป๋ซู่เย่ดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาด รถของเขายังเคลื่อนตัวด้วยความแรงเช่นเดิมแต่ขับนิ่มมาก

 

 

……

 

 

ตลอดทางไร้บทสนทนา

 

 

รถยนต์กลับขับออกนอกตัวเมืองไปยังถนนซุปเปอร์ไฮเวย์

 

 

ไป๋ซู่เย่หันข้างมองเขา “นี่คุณจะไปไหน?”

 

 

เธอยกแขนขึ้นดูเวลาแวบหนึ่ง ใกล้จะสามทุ่มกว่าแล้ว

 

 

“นั่งก็พอ” เย่เซียวตอบกลับเธอแค่นั้น

 

 

ข้างนอกลมแรงมาก เธอใส่ชุดกระโปรงยาวสีเข้มและข้างนอกเสื้อคลุมสีเบจ สองขาที่เปลือยเปล่าและเสื้อผ้าชั้นบางทำให้ความเย็นลอดเข้ามายามมีลมพัดผ่าน เธอสูดจมูกเลื่อนกระจกขึ้นกล่าวเพียง “คุณขับช้าหน่อยได้มั้ยไหม? เมื่อกี้ฉันเพิ่งทานข้าวเย็นมา คุณขับรถเร็วขนาดนี้ ฉันรู้สึกคลื่นไส้”

 

 

เขาหันหน้ามา “ไปเจอว่าที่พ่อแม่สามีในอนาคตแล้วทานข้าวยังทำให้คุณไม่สบายได้งั้นเหรอ?”

 

 

ไป๋ซู่เย่กุมท้องไว้ไม่พูดอะไร แต่รู้สึกได้ชัดเจนว่าเย่เซียวลดความเร็วลงมาก คงไว้ที่ความเร็วหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

 

จากนั้นเธอไม่พูดอะไรอีก ภายในตัวรถกลับสู่ความเงียบ

 

 

ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้เย่เซียวอยู่ข้างๆ เธอนั่งอยู่ในรถของเขา ไม่รู้ทำไมความง่วงก็เริ่มจู่โจม

 

 

“ฉันนอนสักแป๊บได้มั้ยไหม?”

 

 

“ถึงแล้วผมจะเรียกคุณเอง”

 

 

ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าเย่เซียวอยากพาตนไปไหนแต่มองถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ตรงหน้า เธอเริ่มจินตนาการอย่างน่าขำ…ถ้ารถคันนี้สามารถขับต่อไปเรื่อยๆ ทิ้งทุกอย่างแล้วขับต่อไป ขับไปตลอดชีวิตคงไม่เลวเลย…

 

 

เธอจินตนาการไปแล้วค่อยๆ หลับตาลง

 

 

การหลับใหลในครั้งนี้ไม่รู้หลับไปนานขนาดไหน รอตื่นมาอีกทีรถกลับจอดอยู่โซนบริการ บนตัวมีเสื้อของเย่เซียวคลุมอยู่ แต่เบาะคนขับกลับไม่มีคนอีก

 

 

กวาดมองรอบข้างกับโซนให้บริการในเวลาดึกดื่น เงียบสงัดมากเสียจนใจเสีย โดยเฉพาะ…ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด

 

 

ความรู้สึกที่ตื่นมาเพียงลำพังในที่แปลกตาคล้ายถูกทอดทิ้ง ความรู้สึกนี้ทำให้เธอลนและย่ำแย่เหลือเกิน

 

 

เธอกอดเสื้อเขาลงจากรถขณะที่เท้าเหยียบรองเท้าส้นสูง สับเท้าเดินไปที่ร้านขายของชำในโซนให้บริการที่มีไฟสว่าง ยังไม่ทันเดินเข้าประตูร้านขายของชำก็ถูกเปิดจากข้างในก่อน

 

 

เรือนร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตขาวก้าวเดินออกมาภายใต้แสงไฟสลัว หยุดชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นเธอ แวบเดียวก็ดูออกถึงความกระวนกระวายที่เธอไม่ทันได้ปกปิด หัวคิ้วขมวดคิ้วน้อยๆ ถามเสียงทุ้มต่ำ “เป็นอะไร?”

 

 

ความอ่อนแอไม่น้อยพุ่งพรวดเข้ามาในใจของไป๋ซู่เย่ เธออยากวิ่งไปในอ้อมกอดเขาจริงๆ แต่สุดท้ายแค่กระชับกอดเสื้อเขาแน่น ผ่านไปพักใหญ่ถึงถามเสียงเบา “ที่นี่…ที่ไหน?”

 

 

“เมืองมู่ ถ้าไปข้างหน้าอีกก็ถึงภูเขามู่เจี้ย”

 

 

ภูเขามู่เจี้ย?

 

 

หัวใจของไป๋ซู่เย่บีบรัด “เราจะไปที่นั่น?”

 

 

ตาเข้มของเย่เซียวมองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรนอกจาก “ในเมื่อตื่นแล้วก็เข้ามาเถอะ ดูว่าจะทานอะไรหน่อยมั้ยไหม ต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะถึง”

 

 

เขาพูดจบพลางเดินเข้าไปในร้านขายของชำอีกครั้ง

 

 

ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ข้างนอกรับลมหนาว มองแผ่นหลังนั่นจนรู้สึกแสบตรงปลายจมูก เขาไม่ได้คุยกับตนด้วยน้ำเสียงใจร้ายใจดำอย่างก่อนหน้าอีกแล้ว อีกทั้งเขาจะพาตนไปที่ภูเขามู่เจี้ย…

 

 

นั่นเป็นภูเขาหิมะลูกหนึ่ง

 

 

เป็นสถานที่ยอดนิยมของคู่รัก

 

 

สิบปีก่อนไป๋ซู่เย่เคยบอกเขาว่าหวังว่าหลังกลับประเทศจะมีสักวันที่ไปดูหิมะที่ภูเขามู่เจี้ยกับเขา ไปใช้เวลาของคู่รัก ไปทำหลายๆ สิ่งที่คู่รักมากมายมักทำกัน…

 

 

…………………………………………….