ไป๋ซู่เย่ในตอนนั้นคุยเรื่องอนาคตกับเขาซึ่งความจริงนั้นกลับล่อยลอย ใจเธอรู้ดีกว่าใครกับมุมมองสถานะที่ต่างออกไปอย่างพวกเขา ไม่มีวันมีอนาคต
ดังนั้นความคาดหวังเหล่านั้นเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
ยามที่หลอกเขาก็หลอกตัวเองไปด้วย แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้มาภูเขามู่เจี้ยกับเขาจริงๆ
รอไป๋ซู่เย่ได้สติอีกทีเย่เซียวก็เข้าไปแล้ว เธอจัดผมที่ถูกลมพัดเสียทรงก่อนเดินตามเข้าไป ข้างๆ ร้านขายของชำเป็นร้านอาหารซอมซ่อร้านหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วแต่ภายในร้านอาหารยังมีคู่รักวัยรุ่นหลายคู่กำลังทานอาหาร
เย่เซียวนั่งตำแหน่งมุมสุดของร้านและทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากมุมที่ไป๋ซู่เย่มองไปเห็นแค่แผ่นหลังหยัดตรงและน่าเกรงขามของเขา เธอเทน้ำร้อนสองแก้วไป วางหนึ่งแก้วไว้ตรงหน้าเขา
“ตอนเย็นคุณไม่ได้ทานข้าว?” เธอถาม
“อืม”
ไป๋ซู่เย่มองเขา ขยับปากทีสุดท้ายก็อดไม่ได้ “คุณอยู่กับประธานเซียวไม่ใช่เหรอ พวกคุณไม่ได้ทานมื้อเย็นด้วยกันเหรอ?”
“…” มือที่กำส้อมของเขาหยุดกึก ท้ายที่สุดกล่าวเสียงเย็นเพียงว่า “ไม่อยากอาหาร”
เธอนั่งตรงข้ามเขาโดยไม่พูดอะไรอีก ความจริงตลอดมื้อเย็นเธอเองก็ไม่อยากอาหารเท่าไรเลยแทบไม่ได้ทานอะไร
พวกเขาต่างคนต่างเงียบ
มีแค่เขาที่ก้มหน้าทานบะหมี่ไป ส่วนเธอยกน้ำร้อนจิบเป็นบางครั้ง
ข้างๆ คู่รักวัยรุ่นคู่หนึ่งเหมือนฝ่ายเด็กหนุ่มพูดเรื่องตลกไป เด็กสาวเลยหัวเราะเสียงใส “นิสัยไม่ดีเลยอ่ะ หนาวขนาดนี้แล้วยังพูดเรื่องตลกที่ไม่ตลกอีก แทบจะหนาวตายเพราะนายแล้ว”
แม้จะบ่นอุบอิบแต่น้ำเสียงกลับหวานชื่นอย่างชัดเจน เรียกให้คนรู้สึกอิจฉา
“หนาวใช่ไหม? ถ้าหนาวก็ถูกแล้ว” เด็กหนุ่มหัวเราะคิดคักยื่นหน้าไปจับมือทั้งคู่ของเด็กสาวพลางนวดคลึงไปก็พ่นลมใส่ไป “แบบนี้ยังหนาวอีกไหม?”
เด็กสาวเขินอายผลักเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “นายออกไปเลย มาจับมือฉันแบบนี้ ฉันกินอะไรไม่ได้ รีบออกไป”
“ก็ได้ ไม่จับแล้ว แต่คงกอดได้สินะ?” เด็กหนุ่มพูดจบไม่รอการขัดขืนที่เคอะเขินของเด็กสาว แขนยาวโอบรั้งตัวเด็กสาวเข้าไปในอ้อมแขนทันควัน เด็กสาวกำลังทานเกี๊ยวอยู่พอถูกเขากอดเข้าแทบสำลัก ไอไปก็ทุบเขาด้วยความหงุดหงิดไป แต่รอยยิ้มแสนสดใสบนใบหน้าของเด็กสาวกลับน่าประทับใจนัก
“เจ้าบ้า ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อย ชีวิตนี้ฉันจะตามตื๊อเธอแบบนี้แหละ อย่าคิดจะให้ฉันปล่อยมือไปตลอดชีวิตเลย!”
“ใครจะอยู่กับนายไปตลอดชีวิตกัน”
“เธอไง”
วัยรุ่นสองคนสนทนากันประโยคแล้วประโยคเล่าเพิ่มความคึกคักแก่ร้านอาหารแสนเงียบร้านนี้ ไป๋ซู่เย่เบนหน้ามองฉากนี้จนขอบตาชื้นอย่างอดไม่ได้ ทั้งที่เป็นปกติสำหรับคู่รักแต่สำหรับเธอนั้นกลับเป็นความใฝ่ฝันที่ไม่อาจเอื้อม…
สายตาเย่เซียวก็ทิ้งอยู่ที่ตัวทั้งสองคนนั้นนานคล้ายขบคิดบางอย่าง แต่สายตาของเขาดึงดูดความสนใจได้ง่ายอยู่เสมอ ทั้งเย็นชาตลอดกาลเรียกให้คนไม่สามารถมองข้ามได้
สุดท้ายคู่รักคู่นั้นถูกเขาจ้องมองจนเหงื่อแตกพลั่กรีบเหยียดตัวนั่งตรงไม่กล้าหยอกล้อกันอีก สงสัยเหลือเกินว่าหากตนยังหยอกล้อกันต่อผู้ชายที่จ้องพวกเขานิ่งจะโยนพวกเขาออกทางหน้าต่างหรือไม่
ไป๋ซู่เย่เห็นทั้งสองคนเงียบลงเลยหันมามองเย่เซียวแวบหนึ่งจึงเข้าใจทันท่วงที ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าเมื่อใดก็แสดงความอาฆาตได้รุนแรงเหลือเกิน
“คุณจ้องพวกเขาทำไม?” ไป๋ซู่เย่ดื่มน้ำเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย
“คุณก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“คุณทำพวกเขาตกใจ คุณดูสิ ตอนแรกพวกเขาสนุกสนานมาก ตอนนี้แค่จะคุยกันยังต้องกระซิบกระซาบ”
เย่เซียวตวัดตาเยือกเย็นมองสองคนนั้นแวบหนึ่ง “ในที่สาธารณะ การแสดงความรักเดิมก็หน้าไม่อายอยู่แล้ว”
ไป๋ซู่เย่แย้มปาก “คุณกับน่าหลันก็แสดงความรักต่อหน้าฉันบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ?”
เย่เซียวเลิกตาเขม่นมองเธอวูบหนึ่งซึ่งเป็นสายตาที่ทำให้ไป๋ซู่เย่ชะงัก ค่อยมารู้สึกตัวทีหลังว่าคำพูดของตนแฝงด้วยความหึงหวงรวมถึงอารมณ์ที่ไม่ควรมีบางส่วน เธอรีบวางแก้วน้ำลงหยิบเสื้อสูทของเขาลุกขึ้น “ฉันไปเลือกของกินที่ร้านขายของสักหน่อย จะรอคุณที่นั่นนะ”
เย่เซียวไม่ได้ห้ามเธอ
เธอเดินเลือกซื้อของตรงชั้นวางของแถวแรกที่บนชั้นเต็มไปด้วยของกินจำพวกของทานเล่น ไป๋ซู่เย่เลือกช็อกโกแลตสองสามกล่อง คุกกี้สองกล่องแล้วก็น้ำเปล่าอีกหลายขวด ตอนชำระเงินถึงนึกได้ว่าลืมกระเป๋าใส่เงินรวมถึงกระเป๋าทั้งใบไว้บนรถ
เธอเผลอหันมามองเย่เซียวโดยอัตโนมัติ เย่เซียวเดินออกจากร้านอาหารทางนั้นพอดีพอเงยหน้าก็สบสายตาขอความช่วยเหลือจากเธอ ถาม “ไม่ได้พกเงินมา?”
“ลืมไว้ในรถ”
“เท่าไหร่?”
“แปดสิบหกหยวน”
เย่เซียวล้วงธนบัตรหนึ่งร้อยจากกระเป๋าให้เธอ จากนั้นก็หยิบของในมือเธอไปถือเองอย่างเป็นธรรมชาติโดยไร้คำพูดใดๆ ดันประตูเดินนำออกไปจากร้านขายของชำ ไป๋ซู่เย่รอพนักงานขายของทอนเงินอยู่สายตาจึงไล่มองตามแผ่นหลังที่หายเข้าไปในความมืดอย่างไม่รู้ตัว พนักงานขายของเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง คิดเงินไปก็ยิ้มคุยกับเธอไป “พี่สาว แฟนของพี่หล่อมากเลย เมื่อกี้นะ ตอนที่พี่ยังไม่ลงรถมีผู้หญิงสองคนขอเบอร์เขาแหละ”
ไป๋ซู่เย่ได้ยินกลับรู้สึกตะลึง มีคนใจกล้าขนาดนั้นเชียว? เย่เซียวเป็นคนหล่อจริงแต่กลับมีท่าทางห้ามคนนอกเข้าใกล้ คนที่อ้าปากขอเบอร์โทรเขาได้ต้องเป็นหญิงแกร่งกล้าแน่ๆ
“แต่ว่าแฟนพี่เท่จริงๆ อย่าว่าแต่จะสนใจพวกเธอเลย ไม่มองพวกเธอด้วยซ้ำ สุดท้ายอาจจะรำคาญจริงๆ แค่สายตาเดียวก็ทำเอาผู้หญิงสองคนนั้นตกใจจนวิ่งหนีไป”
“…” ไป๋ซู่เย่ได้ยินก็ทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากขำ ในใจกลับมีความรู้สึกอื่นมากมายเพิ่มเข้ามา
ผู้ชายคนนี้นะ เหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องกับผู้หญิงจริงๆ…
สำหรับผู้หญิงที่ตามตื๊อเขา เขาไม่มีวันใช้คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ ทุกครั้งล้วนจัดการอย่างเด็ดขาดและไร้ความปราณี เหมือนเย่เซียวเมื่อสิบปีก่อน ไม่มีผิด…
แต่ว่า…
กับเธอ สุดท้ายเขาก็ยอมปราณีแล้วสินะ
ไม่อย่างนั้น จากนิสัยที่ใจเ**้ยมอย่างเขา ความจริงเธอตายหมื่นครั้งยังไม่พอด้วยซ้ำไป…
………………
ได้เงินทอนมาเธอก็กลับไปที่รถ
คาดเข็มขัดเสร็จเย่เซียวถึงสตาร์ทรถ ไป๋ซู่เย่กล่าว “คุณเอากระเป๋าใส่เงินคุณให้ฉันหน่อย”
“เมื่อกี้โยนไว้ในลิ้นชักเก็บของ”
ไป๋ซู่เย่เปิดลิ้นชักหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา แวบเดียวก็เห็นคลิปหนีบเนกไทที่แตกหักนอนอยู่ในนั้น รวมถึงเครื่องดักฟัง
เป็นคลิปหนีบเนกไทที่เอาไปจากเธอจริงๆ ด้วย…
เธอรู้สึกว่าสายตาของเย่เซียวจรดที่หน้าเธอชั่วขณะ เธอไม่ได้อธิบายในเมื่อความจริงแล้ววันนั้นได้อธิบายทุกสิ่งที่ควรอธิบายไปแล้ว เธอเอาเงินที่เหลือยัดใส่กระเป๋าเงินเขา
ในกระเป๋าเงินมีรูปหนึ่งใบเสียบอยู่
เป็นรูปภาพถ่ายนิ้วธรรมดาที่ด้านหลังฉีกขาดอย่างเห็นได้ชัดแล้วถูกประกอบเข้าด้วยกัน สามารถเห็นรอยฉีกขาดจากด้านหลังได้
……………………………