ตอนที่ 697 รักจนหมดทางหนี (3)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

ไป๋ซู่เย่มองด้านหลังของรูปอยู่สักครู่ อยู่ๆ ก็นึกครึ้มจะยื่นมือดึงรูปออกมาแต่ทันใดนั้นกระเป๋าเงินก็ถูกมือใหญ่แย่งไปก่อน

 

 

เย่เซียวเอาไปโยนไว้บริเวณหน้าคอนโซลรถ ถามเสียงนิ่ง “ดูอะไร?”

 

 

“เปล่า” ไป๋ซู่เย่ส่ายหน้า

 

 

เย่เซียวจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรอีก รถขับไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เงียบๆ ไป๋ซู่เย่เบี่ยงหน้าหันไปนอกหน้าต่างซึ่งหน้าต่างนั้นสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเย่เซียว เธอยกนิ้วลูบไล้หน้าต่างรถอย่างไม่รู้ตัวราวกับได้สัมผัสกรอบใบหน้าเย็นชาของเขา สันจมูกโด่งจนถึงริมฝีปากที่เม้มแน่น…

 

 

สุดท้าย…

 

 

ยามรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นั้นหน้าอกก็โล่งเปล่าในฉับพลัน เกิดความรู้สึกขมขื่นอย่างยากจะเอื้อนเอ่ย

 

 

ผู้ชายคนนี้ทั้งที่อยู่ห่างจากตนเพียงเอื้อมมือ แต่ว่า…

 

 

สิ่งที่เธอสัมผัสแตะต้องได้ตามอำเภอใจ กลับมีเพียงเงา…

 

 

เธอพยายามหักห้ามไม่ให้สูญเสียการควบคุมต่อหน้าเขา เก็บมือกอดเสื้อเขาแน่น ทิ้งตัวลงเบาะนั่ง

 

 

มีระยะห่างประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ

 

 

มีความรักประเภทที่เรียกว่า การหักห้ามใจ…

 

 

……………………

 

 

รถยนต์ขับต่อไป

 

 

เมื่อขับถึงภูเขามู่เจี้ยก็เป็นเวลาตีสองกว่า ท้องฟ้ายามรัตติกาลมืดสนิท ดีที่คืนนี้พระจันทร์ดวงใหญ่ แสงจันทร์เปล่งประกายราวกับหยกนวลเนียน

 

 

ใต้ภูเขามีรถจอดอยู่มากมาย เย่เซียวจอดรถไว้บนสนามหญ้ากว้างแล้วเปิดประตูลง ไป๋ซู่เย่ก็ลงรถเช่นกัน ลมหนาวพัดโชยมาปัดเป่าผมยาวของเธอให้ยุ่งเหยิง

 

 

นี่เป็นใต้ภูเขาหิมะที่อุณหภูมิจะต่ำกว่าในตัวเมืองสิบกว่าองศา หากจะบอกว่าในเมืองนั้นกำลังอยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ถ้าอย่างนั้นตรงนี้ก็เป็นอุณหภูมิของฤดูหนาวแล้ว

 

 

ไป๋ซู่เย่สวมเพียงกระโปร่งยาวกับเสื้อโค้ท รู้สึกแทบทนไม่ไหวกับอุณหภูมิที่ได้สัมผัส เธอปรายตามองเย่เซียวแวบหนึ่งพลางยื่นเสื้อสูทเขาไปให้ “คุณใส่สิ”

 

 

เย่เซียวกวาดมองเธอโดยไม่ได้ขยับตัว

 

 

ไป๋ซู่เย่ไม่ค่อยสบายตัวเพราะความหนาวแต่บนตัวเย่เซียวมีเพียงเสื้อเชิ้ตบางตัวเดียวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แผลบนตัวเขายังไม่หายดี กระสุนในอกยังไม่ผ่าออกมา หากเป็นหวัดอีกไม่แน่ระบบหัวใจทำงานผิดปกติอีก ไป๋ซู่เย่เห็นเขาไม่ขยับตัวจึงเอาเสื้อสูทคลุมตัวเขาด้วยตัวเอง “ในเมื่อคุณคิดจะมาที่นี่อยู่แล้วทำไมไม่เอาเสื้อโค้ทมาสักตัว? เดินขึ้นไปต้องหนาวตายแน่ๆ”

 

 

“คุณถูกฝึกร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ทนหนาวแค่นี้ไม่ได้เลย?” เย่เซียวไม่ได้ห้ามเธอแค่ก้มมองเธอวูบหนึ่ง ค่ำคืนดึกดื่นมีเพียงแสงจันทร์โอบล้อมกันและกัน ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงคืบ เห็นโครงหน้าของเธอที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เพราะบรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ดังนั้นเสียงหายใจของเธอ…ถึงได้ชัดเจนขนาดนั้น…

 

 

หรือกระทั่ง…

 

 

เหมือนได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้น…

 

 

“นั่นก็ตอนเด็ก ไม่ได้ฝึกทนหนาวมาหลายปีแล้ว อีกอย่าง…” ไป๋ซู่เย่เผลอเงยหน้าขึ้นและไม่คิดว่าจะสบตาที่มองมาของเขาพอดี หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายที คำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยชะงักค้างในหัวและตั้งตัวไม่ทัน

 

 

“อีกอย่างอะไร?” เย่เซียวถาม

 

 

มือของเธอเลื่อนลงจากไหล่เขา แย้มปากกล่าว “อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว จะกลัวหนาวก็ปกติ”

 

 

ชั่ววินาทีที่มือเลื่อนลงจากไหล่เขา จู่ๆ เย่เซียวก็คว้ามือเธอไว้ สร้างความตะลึงแก่เธอ ฝ่ามือของทั้งคู่เย็นเฉียบและนิ้วมือเรียวของเธอที่งอตัวในการกอบกุมของเขา ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ แต่กลับทำใจให้ดึงออกมาไม่ได้

 

 

สุดท้าย…

 

 

เย่เซียวมองเธอแวบหนึ่งก็ดึงมือเธอให้เดินไปที่หลังรถ เปิดหลังรถมาก็มีผ้าห่มผืนบางข้างในหนึ่งผืน

 

 

“คลุมไว้” เย่เซียวโยนผ้าห่มให้เธอ

 

 

เธอทั้งอยากขำทั้งอยากร้องไห้ “เป็นเสื้อคลุมหรือไง?”

 

 

“ไม่งั้นก็ทนหนาวขึ้นไปแบบนี้?”

 

 

“มันก็ค่อนข้างน่าเกลียดจริงๆ”

 

 

“เพิ่งตัดสินใจมาที่นี่เลยไม่ได้เตรียมอะไร” เย่เซียวมองเธอวูบหนึ่ง “คลุมไว้ น่าเกลียดขนาดไหนตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไม่มีใครเห็น”

 

 

ไป๋ซู่เย่เอาผ้าห่มพันตัวเองไว้ เมื่อกี้เขาบอกว่าเพิ่งตัดสินใจ…ไป๋ซู่เย่อดคิดไม่ได้ว่าจุดประสงค์ที่เขาทำการตัดสินใจนี้ เพื่ออะไร?

 

 

……………………

 

 

กลางคืนใส่กระโปรงกับรองเท้าส้นสูงมาปีนเขา ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตนต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

 

 

ดังนั้นปีนบันไดไม่ถึงสองร้อยขั้นดีสองขาเธอก็เริ่มอ่อนแรง

 

 

“เย่เซียว ฉันไม่เดินแล้ว ใส่รองเท้าส้นสูงปีนเขามันเป็นการทรมานชัดๆ”

 

 

เย่เซียวหันกลับมามองเธอแวบหนึ่ง หัวคิ้วสวยของเธอขมวดเบาๆ สายตาหงุดหงิดถลึงมองเขาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เธอมีความอดทนสั้นกว่าที่เขาคาดคิดไว้นัก เดิมทีเขาคิดว่าผู้หญิงดื้อด้านคนนี้จะยอมทนเดินบันไดหลายร้อยขั้นถึงจะยอมแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าเขา

 

 

แต่ว่า…

 

 

เขารอคอยให้เธอแสดงท่าทีอ่อนแอมาโดยตลอด

 

 

หันหลังช้อนตัวเธอขึ้นในทีเดียว หัวใจเธอเต้นระรัวพลางเงยหน้ามองเขา “เย่เซียว…”

 

 

“อ่อนแอกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ” เย่เซียวย่ำเท้าเดินขึ้นเขาขณะที่ปากก็จิกกัดเธอไม่ปล่อย “ขึ้นชื่อว่าวีรสตรีของประเทศ S พละกำลังกับความอดทนอย่างคุณน่ะเหรอ?”

 

 

พูดบ้าๆ!

 

 

“ผู้ชายอย่างพวกคุณไม่เคยใส่รองเท้าส้นสูง ไม่รู้ว่าหรอกว่ามันเป็นอาวุธพิฆาตขนาดไหน”

 

 

“ผู้ชายอย่างเราไม่โง่ถึงขั้นยอมใส่ของที่ทรมานตัวเองทุกวันเพราะความดูดี” เย่เซียวยังคงหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม ก้มมองเธอแวบหนึ่ง “กอดคอผมไว้ ไม่งั้นตกลงไปผมไม่รับผิดชอบ”

 

 

ไป๋ซู่เย่มองเขาด้วยแววตาล้ำลึกวูบหนึ่ง สุดท้ายค่อยๆ ยื่นแขนโอบลำคอเขา

 

 

เธอพิงอกเขาโดยมีลมพัดผ่านข้างหูไป เธอซบหน้าที่เย็นเฉียบกับอกเขาอย่างเผลอไผลเพราะความหนาว

 

 

รู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างสูงใหญ่ของเขาเกร็งอยู่นิดๆ

 

 

มีเสื้อเชิ้ตกันอยู่ เธอคล้ายจะได้ยินเสียงหัวใจดวงนั้นที่เต้นอยู่ตรงทรวงอกดัง ‘ตึกตัก–’ หนักแน่นแข็งแรง

 

 

ลมหายใจเย่เซียวหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

 

 

ลมหายใจของไป๋ซู่เย่ก็ผิดจังหวะไปบ้าง

 

 

ทั้งคู่เดินขึ้นเขาทั้งอย่างนี้

 

 

“เย่เซียว…” ไป๋ซู่เย่ที่นอนขุดคู้ตัวตรงอกเรียกเขา

 

 

“อืม”

 

 

“กระสุนลูกนั้น…คุณผ่ามันออกมาหรือยัง?”

 

 

“…ยัง”

 

 

“คิดจะผ่าออกมาเมื่อไหร่?”

 

 

“วันไหนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็จะผ่าออกมา”

 

 

เขาพูดเสียงราบเรียบแต่ไป๋ซู่เย่กลับเจ็บแปลบที่หัวใจเมื่อได้ยินดังกล่าว เธอไม่ปริปากแต่มือที่โอบลำคอเขาอยู่กลับกระชับแรงแน่นกว่าเดิมมาก ราวกับว่าได้กอดเขาอย่างนี้เขาก็จะไม่ตาย จะไม่มีวันเป็นอะไรไป…

 

 

“กอดแน่นขนาดนี้ กลัวผมตายหรือไง?”

 

 

เย่เซียวถาม

 

 

ดวงตาไป๋ซู่เย่เริ่มมีน้ำใสคลอหน่วย “ใช่ ฉันกลัวคุณตาย…เย่เซียว ฉันไม่เคยคิดจะเอาชีวิตคุณเลย…”

 

 

“งั้นเหรอ?” เย่เซียวหัวเราะเสียงต่ำที เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกไร้ความอบอุ่น เขาไม่ได้มองเธอ แค่ทอดมองไปตรงหน้าเท่านั้น “คุณไม่เคยคิดจะเอาชีวิตผม แต่สิบปีก่อน กลับเอาของที่สำคัญกว่าชีวิตผมไปมากมาย…”

 

 

…………………………