ไป๋ซู่เย่มองด้านหลังของรูปอยู่สักครู่ อยู่ๆ ก็นึกครึ้มจะยื่นมือดึงรูปออกมาแต่ทันใดนั้นกระเป๋าเงินก็ถูกมือใหญ่แย่งไปก่อน
เย่เซียวเอาไปโยนไว้บริเวณหน้าคอนโซลรถ ถามเสียงนิ่ง “ดูอะไร?”
“เปล่า” ไป๋ซู่เย่ส่ายหน้า
เย่เซียวจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรอีก รถขับไปตามถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เงียบๆ ไป๋ซู่เย่เบี่ยงหน้าหันไปนอกหน้าต่างซึ่งหน้าต่างนั้นสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเย่เซียว เธอยกนิ้วลูบไล้หน้าต่างรถอย่างไม่รู้ตัวราวกับได้สัมผัสกรอบใบหน้าเย็นชาของเขา สันจมูกโด่งจนถึงริมฝีปากที่เม้มแน่น…
สุดท้าย…
ยามรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นั้นหน้าอกก็โล่งเปล่าในฉับพลัน เกิดความรู้สึกขมขื่นอย่างยากจะเอื้อนเอ่ย
ผู้ชายคนนี้ทั้งที่อยู่ห่างจากตนเพียงเอื้อมมือ แต่ว่า…
สิ่งที่เธอสัมผัสแตะต้องได้ตามอำเภอใจ กลับมีเพียงเงา…
เธอพยายามหักห้ามไม่ให้สูญเสียการควบคุมต่อหน้าเขา เก็บมือกอดเสื้อเขาแน่น ทิ้งตัวลงเบาะนั่ง
มีระยะห่างประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ
มีความรักประเภทที่เรียกว่า การหักห้ามใจ…
……………………
รถยนต์ขับต่อไป
เมื่อขับถึงภูเขามู่เจี้ยก็เป็นเวลาตีสองกว่า ท้องฟ้ายามรัตติกาลมืดสนิท ดีที่คืนนี้พระจันทร์ดวงใหญ่ แสงจันทร์เปล่งประกายราวกับหยกนวลเนียน
ใต้ภูเขามีรถจอดอยู่มากมาย เย่เซียวจอดรถไว้บนสนามหญ้ากว้างแล้วเปิดประตูลง ไป๋ซู่เย่ก็ลงรถเช่นกัน ลมหนาวพัดโชยมาปัดเป่าผมยาวของเธอให้ยุ่งเหยิง
นี่เป็นใต้ภูเขาหิมะที่อุณหภูมิจะต่ำกว่าในตัวเมืองสิบกว่าองศา หากจะบอกว่าในเมืองนั้นกำลังอยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ถ้าอย่างนั้นตรงนี้ก็เป็นอุณหภูมิของฤดูหนาวแล้ว
ไป๋ซู่เย่สวมเพียงกระโปร่งยาวกับเสื้อโค้ท รู้สึกแทบทนไม่ไหวกับอุณหภูมิที่ได้สัมผัส เธอปรายตามองเย่เซียวแวบหนึ่งพลางยื่นเสื้อสูทเขาไปให้ “คุณใส่สิ”
เย่เซียวกวาดมองเธอโดยไม่ได้ขยับตัว
ไป๋ซู่เย่ไม่ค่อยสบายตัวเพราะความหนาวแต่บนตัวเย่เซียวมีเพียงเสื้อเชิ้ตบางตัวเดียวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แผลบนตัวเขายังไม่หายดี กระสุนในอกยังไม่ผ่าออกมา หากเป็นหวัดอีกไม่แน่ระบบหัวใจทำงานผิดปกติอีก ไป๋ซู่เย่เห็นเขาไม่ขยับตัวจึงเอาเสื้อสูทคลุมตัวเขาด้วยตัวเอง “ในเมื่อคุณคิดจะมาที่นี่อยู่แล้วทำไมไม่เอาเสื้อโค้ทมาสักตัว? เดินขึ้นไปต้องหนาวตายแน่ๆ”
“คุณถูกฝึกร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ทนหนาวแค่นี้ไม่ได้เลย?” เย่เซียวไม่ได้ห้ามเธอแค่ก้มมองเธอวูบหนึ่ง ค่ำคืนดึกดื่นมีเพียงแสงจันทร์โอบล้อมกันและกัน ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงคืบ เห็นโครงหน้าของเธอที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เพราะบรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ดังนั้นเสียงหายใจของเธอ…ถึงได้ชัดเจนขนาดนั้น…
หรือกระทั่ง…
เหมือนได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้น…
“นั่นก็ตอนเด็ก ไม่ได้ฝึกทนหนาวมาหลายปีแล้ว อีกอย่าง…” ไป๋ซู่เย่เผลอเงยหน้าขึ้นและไม่คิดว่าจะสบตาที่มองมาของเขาพอดี หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายที คำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยชะงักค้างในหัวและตั้งตัวไม่ทัน
“อีกอย่างอะไร?” เย่เซียวถาม
มือของเธอเลื่อนลงจากไหล่เขา แย้มปากกล่าว “อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว จะกลัวหนาวก็ปกติ”
ชั่ววินาทีที่มือเลื่อนลงจากไหล่เขา จู่ๆ เย่เซียวก็คว้ามือเธอไว้ สร้างความตะลึงแก่เธอ ฝ่ามือของทั้งคู่เย็นเฉียบและนิ้วมือเรียวของเธอที่งอตัวในการกอบกุมของเขา ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ แต่กลับทำใจให้ดึงออกมาไม่ได้
สุดท้าย…
เย่เซียวมองเธอแวบหนึ่งก็ดึงมือเธอให้เดินไปที่หลังรถ เปิดหลังรถมาก็มีผ้าห่มผืนบางข้างในหนึ่งผืน
“คลุมไว้” เย่เซียวโยนผ้าห่มให้เธอ
เธอทั้งอยากขำทั้งอยากร้องไห้ “เป็นเสื้อคลุมหรือไง?”
“ไม่งั้นก็ทนหนาวขึ้นไปแบบนี้?”
“มันก็ค่อนข้างน่าเกลียดจริงๆ”
“เพิ่งตัดสินใจมาที่นี่เลยไม่ได้เตรียมอะไร” เย่เซียวมองเธอวูบหนึ่ง “คลุมไว้ น่าเกลียดขนาดไหนตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไม่มีใครเห็น”
ไป๋ซู่เย่เอาผ้าห่มพันตัวเองไว้ เมื่อกี้เขาบอกว่าเพิ่งตัดสินใจ…ไป๋ซู่เย่อดคิดไม่ได้ว่าจุดประสงค์ที่เขาทำการตัดสินใจนี้ เพื่ออะไร?
……………………
กลางคืนใส่กระโปรงกับรองเท้าส้นสูงมาปีนเขา ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตนต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
ดังนั้นปีนบันไดไม่ถึงสองร้อยขั้นดีสองขาเธอก็เริ่มอ่อนแรง
“เย่เซียว ฉันไม่เดินแล้ว ใส่รองเท้าส้นสูงปีนเขามันเป็นการทรมานชัดๆ”
เย่เซียวหันกลับมามองเธอแวบหนึ่ง หัวคิ้วสวยของเธอขมวดเบาๆ สายตาหงุดหงิดถลึงมองเขาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ เธอมีความอดทนสั้นกว่าที่เขาคาดคิดไว้นัก เดิมทีเขาคิดว่าผู้หญิงดื้อด้านคนนี้จะยอมทนเดินบันไดหลายร้อยขั้นถึงจะยอมแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าเขา
แต่ว่า…
เขารอคอยให้เธอแสดงท่าทีอ่อนแอมาโดยตลอด
หันหลังช้อนตัวเธอขึ้นในทีเดียว หัวใจเธอเต้นระรัวพลางเงยหน้ามองเขา “เย่เซียว…”
“อ่อนแอกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ” เย่เซียวย่ำเท้าเดินขึ้นเขาขณะที่ปากก็จิกกัดเธอไม่ปล่อย “ขึ้นชื่อว่าวีรสตรีของประเทศ S พละกำลังกับความอดทนอย่างคุณน่ะเหรอ?”
พูดบ้าๆ!
“ผู้ชายอย่างพวกคุณไม่เคยใส่รองเท้าส้นสูง ไม่รู้ว่าหรอกว่ามันเป็นอาวุธพิฆาตขนาดไหน”
“ผู้ชายอย่างเราไม่โง่ถึงขั้นยอมใส่ของที่ทรมานตัวเองทุกวันเพราะความดูดี” เย่เซียวยังคงหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม ก้มมองเธอแวบหนึ่ง “กอดคอผมไว้ ไม่งั้นตกลงไปผมไม่รับผิดชอบ”
ไป๋ซู่เย่มองเขาด้วยแววตาล้ำลึกวูบหนึ่ง สุดท้ายค่อยๆ ยื่นแขนโอบลำคอเขา
เธอพิงอกเขาโดยมีลมพัดผ่านข้างหูไป เธอซบหน้าที่เย็นเฉียบกับอกเขาอย่างเผลอไผลเพราะความหนาว
รู้สึกได้ชัดเจนว่าร่างสูงใหญ่ของเขาเกร็งอยู่นิดๆ
มีเสื้อเชิ้ตกันอยู่ เธอคล้ายจะได้ยินเสียงหัวใจดวงนั้นที่เต้นอยู่ตรงทรวงอกดัง ‘ตึกตัก–’ หนักแน่นแข็งแรง
ลมหายใจเย่เซียวหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย
ลมหายใจของไป๋ซู่เย่ก็ผิดจังหวะไปบ้าง
ทั้งคู่เดินขึ้นเขาทั้งอย่างนี้
“เย่เซียว…” ไป๋ซู่เย่ที่นอนขุดคู้ตัวตรงอกเรียกเขา
“อืม”
“กระสุนลูกนั้น…คุณผ่ามันออกมาหรือยัง?”
“…ยัง”
“คิดจะผ่าออกมาเมื่อไหร่?”
“วันไหนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็จะผ่าออกมา”
เขาพูดเสียงราบเรียบแต่ไป๋ซู่เย่กลับเจ็บแปลบที่หัวใจเมื่อได้ยินดังกล่าว เธอไม่ปริปากแต่มือที่โอบลำคอเขาอยู่กลับกระชับแรงแน่นกว่าเดิมมาก ราวกับว่าได้กอดเขาอย่างนี้เขาก็จะไม่ตาย จะไม่มีวันเป็นอะไรไป…
“กอดแน่นขนาดนี้ กลัวผมตายหรือไง?”
เย่เซียวถาม
ดวงตาไป๋ซู่เย่เริ่มมีน้ำใสคลอหน่วย “ใช่ ฉันกลัวคุณตาย…เย่เซียว ฉันไม่เคยคิดจะเอาชีวิตคุณเลย…”
“งั้นเหรอ?” เย่เซียวหัวเราะเสียงต่ำที เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกไร้ความอบอุ่น เขาไม่ได้มองเธอ แค่ทอดมองไปตรงหน้าเท่านั้น “คุณไม่เคยคิดจะเอาชีวิตผม แต่สิบปีก่อน กลับเอาของที่สำคัญกว่าชีวิตผมไปมากมาย…”
…………………………