ตอนที่ 698 รักจนหมดทางหนี (4)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

ตอนที่ 698 รักจนหมดทางหนี (4) โดย Ink Stone_Romance

ชีวิตของลูกน้องมากมายขนาดนั้น ทุกชีวิตล้วนสำคัญกว่าชีวิตของเขามากนัก

สิบปีที่ผ่านมานี้…

เขาแทบไม่เคยหลับสนิทสักคืน

เขาแบกรับความรู้สึกผิดต่อชีวิตเหล่านั้น ความละอายใจกับความเคียดแค้น ความเกลียดชังที่มีต่อเธอ ทรมานตัวเองนานนับสิบปี

หากเลือกได้จริงๆ เขายอมให้เธอเอาชีวิตเขาไปตั้งแต่สิบปีก่อน

คนที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้มีความสุขไปกว่าคนที่ตาย…

หัวข้อนี้ทำให้ไป๋ซู่เย่พูดไม่ออกถึงขั้นหายใจไม่ทั่วท้อง

เธอเป็นสายลับ เธอแบกรับหน้าที่สำคัญที่ต้องจัดการพวกเขาให้สิ้นซาก แลกกับความรู้สึกตัวเอง ไม่ว่าจะความรักหรือมิตรภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งสายข่าวสำคัญแก่ทางองค์กร ป้องกันไม่ให้เกิดการลอบฆ่าหรือสงครามร้ายแรงที่มากไปกว่านี้ นั่นเป็นภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จ

เพียงแต่…

เธอกับเย่เซียว ไม่เคยอยู่ในสถานะเดียวกันอยู่ดี

เย่เซียวไม่มีครอบครัวที่แท้จริงตั้งแต่เล็กจนโต สภาพแวดล้อมที่โหดเหี้ยมรุนแรงทำให้โลกของเขาไร้ความศรัทธา มีเพียงกฎระเบียบของตัวเขาเอง ประเทศชาติ รัฐบาล ประชาชนต่างก็ไม่ได้อยู่ในโลกของเขา ในโลกของเขามีผลประโยชน์ มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของลูกน้องที่ฝ่าฝันความตายมาด้วยกัน…

เพื่อสิ่งเหล่านี้ เขายอมสละได้ทั้งชีวิต

แต่การปรากฏตัวของเธอได้ทำลายผลประโยชน์ของเขา ทำร้ายพี่น้องของเขา ทรยศความสัมพันธ์ของเขา…

ความจริงเธอควรตายพันครั้งหมื่นครั้งแล้ว…

 “เย่เซียว ขอโทษ…” ไป๋ซู่เย่ที่ซบอกเขาเอ่ยปากเบาๆ

เย่เซียวไม่ได้พูดอะไรอีก ปากบางเม้มแน่น คำว่า ‘ขอโทษ’ ฟังดูไร้เรี่ยวแรงยามอยู่ต่อหน้าความทรยศและชีวิต

เขาไม่อาจให้อภัยเธอได้ เพราะเขาเองยังให้อภัยตัวเองไม่ได้

เมื่อนั้นหากเขาไม่ถูกเธอหลอกล่อ หากไม่โง่ถึงขั้นฝากฝังลูกระเบิดอย่างเธอให้พี่น้องที่ฝ่าฝันความตายมาด้วยกันเหล่านั้น ทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น…

…………

บรรยากาศหนักอึ้งและกดดันขึ้นในพริบตาเพราะหัวข้อเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ทำให้คนหายใจไม่ออก

เพราะหนักอึ้งเกินไปเลยไม่มีใครยอมคุยเรื่องนี้ต่อ นั่นเป็นแผลที่สมานไม่หายต่อให้ผ่านมาสิบปี พูดถึงหนึ่งครั้งก็ทำให้แผลปริจนเลือดไหลได้ทุกครั้ง

ไม่รู้เดินมานานเท่าไร ในที่สุดก็ถึงที่กว้างแห่งหนึ่ง

ระหว่างทางไป๋ซู่เย่ขอให้เย่เซียวปล่อยเธอลง เธอกลัวว่าหากเขาอุ้มนานเกินไปจะสะเทือนถึงแผลที่ยังไม่หายดีของเขา แต่เย่เซียวดื้อดึงไม่ยอมปล่อยเธอ คำขอร้องของเธอถูกเขาเพิกฉาย

หากไม่ใช่เพราะเขาพูดถึงเรื่องสิบปีก่อนที่เป็นการเตือนเธอว่าความจริงแล้วระหว่างพวกเขามีความเกลียดชังมากมายกั้นไว้อยู่ มีระยะห่างที่ไกลขนาดไหน เธอคงยากจะห้ามใจไม่ให้จินตนาการได้ จินตนาการว่าถูกเขาอุ้มอยู่อย่างนี้…อุ้มไปตลอด อุ้มไปจนถึงสุดปลายทางของชีวิต…

 “ที่นี่เห็นหิมะได้ เราไปนั่งในศาลากัน” เธอตบบ่าเย่เซียว

เย่เซียวรับคำในลำคอก่อนอุ้มเธอไปที่ศาลา ที่ตรงนี้หิมะก่อตัวค่อนข้างหนาแล้ว ในคืนที่เงียบสงบเท้าคู่หนึ่งเหยียบย่ำลงเป็นรอยหนักเบาสลับกันไปซึ่งสามารถได้ยินเสียงได้

เย่เซียวนั่งลงในศาลา ไป๋ซู่เย่จะลุกออกจากขาเขาโดยอัตโนมัติ แต่เกิดแรงกระชับที่เอวเพราะถูกมือเขาจับไว้

เธอชะงักนิ่ง

ไม่ขยับ

นั่งอยู่บนหน้าขาเขาอย่างนั้น

เธอไม่กล้าหันไปมองสีหน้าของเย่เซียว เธอไม่กล้าถามเย่เซียวให้ชัดเจนด้วยซ้ำว่าพาตนมาที่นี่ทำไม

เขาดึงผ้าห่มที่หุ้มตัวเธอไว้หุ้มสองขาที่เปลือยเปล่าของเธอ

มือของเธอยังคงโอบลำคอเขาไม่ปล่อย

 “เย่เซียว…”

 “หืม?”

 “ทำไม…อยู่ๆ คุณถึงตัดสินใจพาฉันมาที่นี่?”

เย่เซียวเงียบไปครู่ใหญ่ แค่เบี่ยงหน้าหันหนีทอดสายตาไปยังพื้นที่กว้างไกล ไปยังสุดขอบฟ้าที่ห่างไกล อาศัยแสงจันทร์สลัว ไป๋ซู่เย่เห็นความเหนื่อยอ่อนบนใบหน้าเขาได้ชัดเจน

ความเหนื่อยอ่อนเช่นนี้มันมาจากจิตใจ…

ราวกับเส้นบางอย่างในใจที่แน่นตึงมานาน พร้อมจะขาดสะบั้นลงทุกเมื่อ

เดิมทีคิดว่าเขาคงไม่พูดอีกแล้ว แต่ทันใดนั้นเขากลับเอ่ยเสียงเรียบ “แค่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยมาก อยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้น”

หัวใจของไป๋ซู่เย่บีบรัดแน่น

เธอรู้ว่าเขาเหนื่อย ความทรมานช่วงสิบปีนี้ ความเจ็บปวดของเขามีแต่จะหนักอึ้งกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่า แต่จากกันไปสิบปีกลับเป็นครั้งแรกที่เขาเผยด้านอ่อนแอต่อหน้าเธอ…

ก่อนหน้านี้ระหว่างพวกเขามีแต่ความระแวง ความบ้าบั่นหรือความคลุ้มคลั่งเสมอ

ไม่เคยเป็นอย่างคืนนี้ เขาบอกเธอว่าเหนื่อยอย่างสงบ…

สงบจนใจเธอเริ่มลน เพียงรู้สึกเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งที่เธอกอดเย่เซียวอยู่แต่กลับรู้สึกว่าความจริงคนคนนี้กำลังห่างไกลจากเธอทีละก้าวๆ ยิ่งอยู่ยิ่งไกล ไกลมากขึ้นเรื่อยๆ…

เป็นผลลัพธ์ที่เธออยากได้มากที่สุด แต่ส่วนลึกของหัวใจกลับกลัวผลลัพธ์เช่นนี้

จู่ๆ เธอกระชับแขนกอดเอวเขาไว้แน่นอย่างห้ามใจไม่อยู่ เย่เซียวหันกลับมามองเธอ ทั้งคู่ประสานสายตา ภายใต้แสงจันทร์ที่สะท้อนให้เห็นแววตาเศร้าหมองปนอ่อนแอของเธอกำลังฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา

ดวงตาของเขาเข้มขึ้น ความรู้สึกกำลังทะลักล้น

จู่ๆ นิ้วยาวเขาจับปลายคางเธอ นิ้วโป้งแตะสัมผัสพวงแก้มเล็กที่เย็นเฉียบพลางลูบไล้ไปมาเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน

ไป๋ซู่เย่แสบจมูกและสะอื้นฮัก อยู่ๆ ยกหน้าขึ้นประกบจูบเขา

ชั่วขณะทุกอย่างได้หลุดจากการควบคุม

ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นดอกฝิ่น เป็นพิษที่ฝังรากอยู่ในร่างกายเขาแต่ก็ต้านทานไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ ไป๋ซู่เย่ยิ่งทำให้สติสัมปชัญญะทุกอย่างพ่ายแพ้ไป

ริมฝีปากพัวพันกันและกันราวกับใกล้จะวันสิ้นโลกหรือถึงจุดจบของชีวิต พวกเขาเกี่ยวกระหวัดราวกับจะตราประทับช่วงเวลานี้เข้ากับจิตวิญญาณของกันและกันถึงจะสาแก่ใจ

ความต้องการของเย่เซียวไม่เคยจะควบคุมได้ยามอยู่ต่อหน้าเธอ ทิ้งผ้าห่มที่เป็นส่วนเกินบนตัวเธอทิ้งลงพื้น มือสอดใต้กระโปรงเธอไปเสียแล้ว

ในค่ำคืนเวลานี้ไม่มีผู้คนขวักไขว่ไปมา

มีเพียงพวกเขา…

พวกเขาราวกับจมน้ำ กำลังคว้าจับอีกฝ่ายเป็นเส้นฟางช่วยชีวิต…

นิ้วมือเย่เซียวล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายเธอ

ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้ามากนักแต่ร่างกายของเธอกลับอ่อนไหวกว่าเวลาไหนๆ ยอมรับการรุกล้ำของเขามากกว่าเวลาไหน หรืออาจจะบอกว่ากำลังคาดหวังจะได้ยอมรับเขา

เธอจูบเขา จูบใต้คางเขา จูบลำคอเขา…

นิ้วมือของเขาเอาแต่ใจอยู่ภายในร่างกายเธอ เธอใช้มือปัดป่ายเขาไปอย่างทรมาน ในเสียงหอบกระเส่านั่นครวญครางจนคนฟังแทบหลอมละลาย

 “เย่เซียว ตอนนี้ฉันกำลังยั่วคุณจริงๆ…คุณกล้าทำอะไรฉันตรงนี้ไหม?”

วินาทีนี้เธอละทิ้งความเย่อหยิ่ง ละทิ้งความละอายใจ หรือสติที่ถูกเธอลืมทิ้งไว้ด้านหลัง…

ทุกอย่างเธอปล่อยให้ใจนำทาง

นี่นานๆ ทีจะเป็นการปล่อยตามใจตัวเอง

ที่แทบจะปล่อยให้ดำเนินไปได้ไม่นานนัก

นิ้วมือของเธอเกี่ยวกระดุมเสื้อเชิ้ตบนตัวเย่เซียวพร้อมสอดมือเข้าไปจากคอเสื้อ เย่เซียวครางฮึมที “ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณที่นี่…แต่คุณอาจทำผมเป็นบ้า…”

 “แล้วคุณจะทำไหม?” ไป๋ซู่เย่หอบหายใจ ดวงตาฉ่ำวาวมองเขาอย่างพร่ามัว เสียงนั้นกระเส้าเสียจนเย่เซียวรู้สึกเลือดในตัวพลุ่งพล่านและไหลรวมไปจุดกึ่งกลางลำตัว

…………………………