ตอนที่ 242-2 ฉินมู่หรานคนห่วยแตก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ตอนที่เด็กรับใช้วิ่งไปถึงเรือนของฉินมู่หราน ฉินมู่หรานกำลังโอบสาวใช้ทำตัวเสเพลอยู่ ถูกขัดจังหวะย่อมอารมณ์ไม่ดี “ใครมันบังอาจกล้ามาขัดจังหวะข้า อยากตายหรือไร”

 

 

สุนัขรับใช้ของฉินมู่หรานสีหน้าขื่นขมรวบรวมความกล้าก้าวขึ้นมา “คุณชาย ท่านเสนาบดีเรียกท่าน รีบไปเถิดขอรับ!”

 

 

ฉินมู่หรานได้ยินว่าพ่อเขาเรียกเขา ชั่วขณะก็ลนลาน ผลักสาวใช้ที่โอบอยู่ออกไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว กระโดดลงจากเตียงรื้อเสื้อผ้าขึ้นมาจากพื้น “ยังไม่รีบเข้ามาเปลี่ยนชุดให้ข้าอีก” หากไปช้า พ่อเขาอาจจะจัดการเขาได้

 

 

บ่าวรับใช้นอกประตูจึงกล้าผลักประตูเข้ามา ช่วยฉินมู่หรานเปลี่ยนเสื้ออย่างรีบร้อน “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพ่อข้าถึงเรียกข้า” คงไม่ใช่ฉุกคิดขึ้นมาว่าจะทดสอบความรู้ของเขาหรอกกระมัง เขาทอดทิ้งตนไปแล้วมิใช่หรือ ส่วนที่พ่อเขาด่าเขาว่าไม่เข้าเรียนไม่ขวนขวายความรู้แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว ในตระกูลมีพี่ใหญ่ที่มีความสามารถยังไม่พอหรือ เขาเกิดในตระกูลเช่นนี้ก็เพื่อเสวยสุข ใครจะอดทนท่องหนังสืออะไรให้ลำบาก

 

 

“คุณชาย คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ เมื่อวานท่านพาแม่นางผู้หนึ่งกลับมามิใช่หรือ ตระกูลแม่นางผู้นั้นฟ้องท่านแล้ว เจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่มาจับตัวถึงที่ นายท่านเดือดดาล ให้มาเรียกท่านไปขอรับ” เด็กรับใช้คนหนึ่งกล่าวด้วยจิตใจที่เต้นรัว

 

 

“อะไรนะ เจ้าว่าอะไรนะ ฟ้องข้าหรือ ใครกันบังอาจฟ้องข้าเช่นนี้ ซ้ำยังมาจับตัวถึงที่ เหตุใดถึงไม่ไล่ออกไปเล่า” ฉินมู่หรานตกใจอย่างยิ่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงใครไม่รู้บ้างว่าบิดาของเขาฉินมู่หรานเป็นเสนาบดี พี่สาวคือซูเฟยเหนียงเหนียง ลูกพี่สาวคือองค์ชายรอง คาดไม่ถึงว่ายังมีคนไม่กลัวตายฟ้องเขา ไม่รู้หรือว่าที่ว่าการทำตามคำสั่งตระกูลเขา

 

 

ทันใดนั้นเขาก็ตบศีรษะ กล่าว “จริงสิ แม่นางผู้นั้นที่ข้าพากลับมาเมื่อวานเล่า”

 

 

เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งกล่าว “ขังอยู่ในห้องข้างขอรับ”

 

 

ฉินมู่หรานนึกขึ้นได้แล้ว เมื่อวานเขาเห็นสาวงามที่สะสวยผู้หนึ่งระหว่างทาง ชั่วขณะก็คันไม้คันมือเข้าไปหยอกเย้าหลายประโยค ไม่คิดว่าหญิงงามผู้นั้นจะมีนิสัยรุนแรง ใบหน้าเล็กๆ ที่แดงก่ำเพราะความโกรธ คิ้วงามที่ตั้งขึ้นนั้น ยิ่งทำให้เขาคันไม้คันมือมากขึ้น จึงถือโอกาสฉุดแม่นางผู้นั้นกลับจวนเสีย

 

 

กลับมาถึงจวนเขาก็ลวนลามหญิงงามอย่างไม่รีรอ ใครจะรู้แม่นางผู้นั้นทั้งจิกทั้งเตะ จะเป็นจะตายก็ไม่ยอม คอยหาโอกาสคิดจะชนกำแพงหาที่ตาย ทำให้ความปรารถนาของเขาหมดสิ้น สั่งคนให้มัดนางแล้วโยนไว้ในห้องข้างทันที

 

 

ฉินมู่หรานสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็วิ่งตรงไปยังเรือนย่าเขา ไม่สนใจเสียงเรียกของเด็กรับใช้ข้างหลังอย่างสิ้นเชิง เขาไม่โง่ เจ้าหน้าที่มาจับคนถึงที่แล้ว ด้วยนิสัยไม่สนไมตรีจิตนั่นของพ่อเขาจะต้องส่งเขาไปแน่นอน เขาไม่อยากเข้าคุก ตอนนี้คนที่สามารถปกป้องเขาได้เพียงคนเดียวในจวนก็คือท่านย่า

 

 

“ท่านย่าช่วยด้วย ช่วยด้วย! ท่านพ่อจะจับข้าเข้าคุกแล้ว!” ฉินมู่หรานวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฉินได้ยินก็รับไม่ได้ ปกป้องฉินมู่หรานไว้ในอ้อมอกทันที “พ่อเจ้าทำอะไรอีกแล้ว เด็กดีไม่ต้องกลัว มีย่าอยู่ ข้าจะดูว่าใครกล้าแตะปลายนิ้วเจ้า ไป เรียกท่านเสนาบดีของพวกเจ้ามา ข้าอยากถามว่าเขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกแล้ว หลานข้าไปทำอะไรให้เขา”

 

 

ฉินมู่หรานก็ซบอยู่ในอ้อมอกย่าเขายิ้มอย่างพอใจ หึ ยังคงเป็นข้าที่ฉลาด

 

 

ท่านเสนาบดีฉินมาเร็วอย่างยิ่ง เพิ่งจะเคารพนายหญิงผู้เฒ่าฉินมารดาเขาเสร็จ ก็เผชิญหน้ากับคำด่าของแม่เขา “เจ้าถูกใครยั่วโมโหในราชสำนักอีกแล้ว หรานเอ๋อร์เป็นเด็กดีเช่นนี้ เจ้าจะขู่ให้เขากลัวทำไม มีเจ้าเป็นพ่อเช่นนี้ ขู่หลานข้าจนเป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าใช่จะยั่วโมโหข้าจนตายให้ได้หรือไม่”

 

 

ส่วนฉินมู่หรานที่ซบอยู่ในอ้อมอกนางก็แสร้งทำท่าทีสั่นระริกออกมาตามคำพูด เสมือนกลัวอย่างถึงที่สุด นี่ยิ่งทำให้นายหญิงผู้เฒ่าฉินสงสาร “ดูเจ้าสิทำหรานเอ๋อร์กลัวหมดแล้ว ตอนเจ้าเด็กๆ ข้ากับพ่อเจ้าทำเช่นนี้กับเจ้าหรือไร”

 

 

ท่านเสนาบดีฉินแทบจะโมโหตายแล้ว ลูกชั่วผู้นี้คิดว่าหาที่พึ่งแล้วเขาจะทำอะไรไม่ได้งั้นหรือ “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าลูกทรพีผู้นี้ทำเรื่องอันใดไว้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฉินถลึงตาโมโหใส่เขา “หรานเอ๋อร์เด็กตัวน้อยๆ จะทำเรื่องอะไรได้ อย่างมากก็แค่ซุกซนเท่านั้น ตอนเจ้าเด็กๆ เจ้าซนกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ข้ากับพ่อเจ้าเคยตีเจ้าหรือไร เด็กทำผิดค่อยๆ สอนก็ได้แล้ว นิดๆ หน่อยๆ ก็ตีก็ด่า มิน่าเล่าหรานเอ๋อร์เห็นเจ้าถึงได้เหมือนหนูกลัวแมว จะไปเบ่งอำนาจก็ไปเบ่งที่ราชสำนัก มาเบ่งอำนาจอะไรต่อหน้าแม่เจ้า วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าแตะปลายนิ้วหรานเอ๋อร์แม้แต่นิ้วเดียว”

 

 

ได้ยินคำพูดถือหางที่ไม่มีเหตุผลแม้แต่นิดเดียวของแม่เขา ท่านเสนาบดีฉินก็สะกดความโกรธในใจไว้ กล่าว “เขาไหนเลยจะซุกซน เขากล้ามากต่างหาก กล้าฉุดหญิงชาวบ้าน ตระกูลนางไปฟ้องร้องถึงศาลต้าหลี่ เจ้าหน้าที่ยังรอจับตัวอยู่ข้างนอกอยู่เลย”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฉินได้ยินคำพูดของลูกชายก็ตกใจเล็กน้อย อดมองหลานที่แสนดีในอ้อมอกไม่ได้ “หรานเอ๋อร์เจ้าฉุดสตรีเข้าจวนจริงๆ หรือ”

 

 

ฉินมู่หรานพยักหน้าอย่างไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงพึมพำ “เมื่อวานข้าดื่มสุราเล็กน้อย ชั่วขณะควบคุมไม่ได้”

 

 

ท่านเสนาบดีฉินก็ยิ่งโมโห รู้จักหาข้ออ้างด้วยหรือ “ท่านแม่ ท่านได้ยินกับหูแล้วใช่หรือไม่ ท่านปล่อยมือให้ลูกทรพีผู้นั้นมา เจ้าหน้าที่ข้างนอกยังรออยู่”

 

 

เดิมทีนายหญิงผู้เฒ่าฉินก็ตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินลูกชายบอกว่าจะส่งหลานชายออกไป ชั่วขณะก็ไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ ใครก็จับหลานไปไม่ได้”

 

 

ต่งซื่อที่ได้ยินข่าวรีบตามมาก็ตะโกนดัง “นายท่าน หรานเอ๋อร์เป็นลูกชายท่าน ท่านจะส่งเขาเข้าคุกได้อย่างไร ท่านกำลังจะส่งเขาไปตาย!”

 

 

ท่านเสนาบดีฉินโมโหจนกระทืบเท้า “คุณธรรมสตรี คุณธรรมสตรี ก็เพราะว่าพวกเจ้าตามใจเขาปกป้องเขา เขาจึงได้สร้างหายนะใหญ่เช่นนี้ แม้แต่หญิงชาวบ้านเขาก็กล้าฉุด ยังมีอะไรที่เขาทำไมได้อีก คนอื่นไปฟ้องที่ศาลต้าหลี่แล้ว ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่รักความเป็นธรรม ส่งเจ้าหน้าที่มาจับตัวถึงที่เขาไม่ไปได้ด้วยหรือ”

 

 

“ท่านย่า ข้ากลัว ข้าไม่ไป ข้าสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้ว ข้าไม่อยากเข้าคุก! ท่านย่า ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย!” ฉินมู่หรานกลัวจะถูกพ่อเขาจับไป กอดย่าเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น

 

 

หัวใจนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อต่างก็เจ็บจนบีบรัด ตบหลังของฉินมู่หรานกล่าวปลอบ “เอาล่ะๆๆ เด็กดีไม่ต้องกลัว มีย่าอยู่ไม่ต้องกลัว!”

 

 

เงยหน้ามองท่านเสนาบดีฉิน กล่าว “เจ้าเป็นถึงอัครเสนาบดีในราชสำนัก แม้แต่ศักดิ์ศรีนี้ก็ไม่มีหรือ หากหรานเอ๋อร์ถูกเจ้าหน้าที่พาไปขังคุกใหญ่ ศักดิ์ของท่านเสนาบดีเช่นเจ้าจะยังมีอยู่อีกหรือ”

 

 

“ถูกต้อง ถูกต้อง นายท่านท่านเป็นอัครเสนาบดี แม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ก็จัดการไม่ได้หรือ ถ้าไม่ได้ข้าจะเข้าวังไปหาซูเฟยเหนียงเหนียง ไปขอองค์ชายรอง ไม่ว่าใครก็ห้ามพาตัวหรานเอ๋อร์ของข้าไป” ต่งซื่อกล่าวตาม

 

 

ท่านเสนาบดีฉินทุกข์ใจอย่างอดไม่ได้ หรือว่าในสายตาพวกนางเขาเป็นคนสร้างที่ว่าการ แม้เขาจะสูงศักดิ์เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่ก็ไม่สามารถปิดฟ้ามือเดียวได้ เหล่าผู้ตรวจการในสำนักผู้ตรวจการนั้นวางท่าดีหรือไร คาดไม่ถึงว่ายังคิดจะดึงซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองเข้ามาด้วย สตรีไว้ผมยาวแต่สายตาสั้นจริงๆ

 

 

แต่สตรีผู้นี้ตรงหน้าคนหนึ่งเป็นภรรยาของตน คนหนึ่งเป็นมารดของตน ต่อให้เขาโมโหแล้วจะทำอะไรได้ “ท่านแม่ ลูกทรพีผู้นี้ทำผิดกฎหมาย แม่นางผู้นั้นกำลังถูกขังอยู่ในห้องข้างเรือนเขา นี่เป็นเรื่องที่ข้าปกปิดได้หรือ”

 

 

ต่งซื่อกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ก็แค่ฉุดสตรีมิใช่หรือ แค่หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง หรานเอ๋รอ์แต่งนางตั้งยศนาง ให้ตระกูลนางยกเลิกคำฟ้องก็ได้แล้วมิใช่หรือ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฉินเองก็คล้อยตาม “ใช่ๆๆ หญิงชาวบ้านผู้หนึ่งสามารถเข้ามาในจวนเสนาบดีได้ก็เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าไป ให้ตระกูลพวกเขายกเลิกคำฟ้อง พวกเรายกแม่นางผู้นั้นเข้าจวน”

 

 

ต่อให้ท่านเสนาบดีฉินจะพูดจนปากแห้ง นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อก็ไม่อ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย จะเป็นจะตายก็ไม่ส่งฉินมู่หรานให้ สุดท้ายเขาก็ต้องถอยทัพ เจ้าหน้าที่ย่อมจับตัวคนไม่ได้เช่นกัน

 

 

ท่านเสนาบดีฉินนั่งถอนหายใจสั้นๆ ยาวๆ อยู่ในห้องหนังสือ นายทหารผู้ช่วยคนสนิทเดินเข้ามาเสนอความคิดเห็น “ท่านเสนาบดี ความคิดของนายหญิงผู้เฒ่ากับฮูหยินกลับเป็นทางออกที่ดีนะขอรับ!”

 

 

ท่านเสนาบดีฉินขมวดคิ้วกล่าว “ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ไม่ใช่คนที่จะพูดด้วยง่าย”

 

 

ลูกชายคนเล็กสร้างเรื่อง เมื่อเขาโมโหเสร็จแล้วกลับยังคงเป็นห่วง แม้ว่าจะไม่ดีอย่างไร นั่นก็คือเลือดเนื้อของเขา ยิ่งไปกว่านั้นในนี้ยังมีมารดาของเขาและต่งซื่ออยู่ด้วย หรานเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของมารดา หากหรานเอ๋อร์เป็นอะไรไป เขากลัวว่าแม่เขาจะรับไม่ไหว

 

 

นายทหารผู้ช่วยยิ้มน้อยๆ “ต่อให้ใต้เท้าจ้าวรักความเป็นธรรม จะยังไม่อนุญาติให้ยกฟ้องด้วยตัวเองหรือ”

 

 

ท่านเสนาบดีฉินถอนหายใจ กล่าว “ก็มีเพียงทางนี้แล้ว เจ้าไปปรึกษาตระกูลนั้นเถิด ไม่ว่าพวกเขาจะเสนออะไรก็รับปาก หากต้องการเงิน ก็ให้พวกเขา จะต้องปิดเรื่องนี้ให้ได้”

 

 

“ท่านเสนาบดีวางใจเถิด ข้าน้อยจะต้องช่วยท่านจัดการให้เรียบร้อย” นายทหารผู้ช่วยตบอกยืนยัน

 

 

หลังนายทหารผู้ช่วยไป ท่านเสนาบดีฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโชคไม่ดี เขากลับไม่ได้ถูกลูกชายคนเล็กยั่วโมโหจริงๆ เรื่องเช่นการรังแกชายข่มขู่หญิงนี้ลูกคุณชายตระกูลใดบ้างที่ไม่เคยทำ ในเมืองหลวงเดือนหนึ่งเกิดขึ้นตั้งกี่ครั้ง มีเพียงหรานเอ๋อร์ของเขาที่ถูกคนฟ้อง ซ้ำยังฟ้องถึงศาลต้าหลี่ เกรงว่าในนี้จะมีคนช่วยผสมโรงกระมัง

 

 

ใครกัน ใครที่ไม่ถูกกับจวนเสนาบดีฉิน ไม่หาคนผู้นี้ออกมาเขาก็ไม่มีทางสบายใจได้!

 

 

จางย่วนเหนียงที่ถูกฉินมู่หรานฉุดเข้าจวนเสนาบดีระหว่างทางซื้อด้ายกลับบ้าน ทั้งหวาดกลัวทั้งโมโห นางคิดแล้ว ต่อให้ตายก็ไม่อาจขอโทษต่อพี่จื้อได้ ตอนที่ฉินมู่หรานบีบบังคับนางต่อให้ตายนางก็ไม่ยอม จึงวิ่งชนกำแพงเสีย ใครจะรู้ว่าดวงแข็ง ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแต่กลับกระแทกศีรษะจนหัวแตกเลือดไหล

 

 

ฉินมู่หรานผู้นั้นหมดความสนใจ จึงสั่งให้คนมัดนางไว้ นางตกใจและโมโห บวกกับเสียเลือดมากเกินไปจึงหมดสติ เมื่อนางฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าบาดแผลบนศีรษะพันแผลเรียบร้อยแล้ว มีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง คาดว่าน่าจะเที่ยงแล้ว นางขยับร่างกายที่ถูกมัดจนชา จึงสังเกตเห็นว่าริมฝีปากแห้งอย่างรุนแรง ท้องก็ร้องดังขึ้นมา

 

 

นางพิงผนังเริ่มคิด ตนหายตัวไปแล้ว ในตระกูลยังไม่รู้ว่าจะวุ่นวายเพียงใด ต่อให้จะมีคนเห็นว่าตนถูกคุณชายจวนเสนาบดีฉินฉุด แต่ในตระกูลจะช่วยอะไรได้ พ่อนางเป็นเพียงซิ่วไฉ จะเทียบจวนเสนาบดีฉินที่อำนาจค้ำฟ้าได้อย่างไร

 

 

ยังมีตระกูลซั่ง เดิมทีเดือนหน้านางก็จะต้องแต่งเข้าตระกูลซั่งแล้ว ตอนนี้นางไม่มีวาสนานั้นแล้ว ต่อให้จวนเสนาบดีฉินจะเป็นคนดีปล่อยนางกลับบ้าน แต่นางก็เป็นคนเสียบริสุทธิ์แล้ว จะคู่ควรกับพี่จื้อได้อย่างไร เมื่อคิดถึงคู่หมั้นที่รักกันมาตั้งแต่เล็กผู้นั้นของนาง จางย่วนเหนียงก็อดเสียใจไม่ได้ น้ำตาที่ร้อนผ่าวไหลพรากลงมา รู้สึกเพียงอับจนหนทาง อยากจะตายไปเช่นนี้เสียเลย

 

 

แน่นอนว่าจางย่วนเหนียงตายไม่ได้ ไม่เพียงแต่ตายไม่ได้ ยังถูกคนฉวยโอกาสช่วยออกมาแล้ว เพราะว่าเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่มาจับตัวถึงที่ ท่านเสนาบดีฉินและคนอื่นๆ ต่างก็รวมตัวกันอยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฉิน ในเรือนฉินมู่หรานไม่มีคนแม้แต่คนเดียว สาวใช้ที่ดูแลเครื่องหอมผู้นั้นจึงฉวยโอกาสช่วยจางย่วนเหนียงออกมา

 

 

เดิมทีคำสังที่นางได้รับคือดำเนินการตอนกลางคืน สาวใช้ผู้นี้เองก็ฉลาด เมื่อเห็นโอกาสหาได้ยากก็ชิงลงมือก่อน แผนเดิมคือเปลี่ยนตัวจางย่วนเหนียง สาวใช้ผู้นี้คิด ไยจะต้องทำเช่นนี้ จางย่วนเหนียงหายตัวไป ก็สามารถยัดโทษฆ่าคนปิดปากให้ฉินมู่หรานได้แล้วมิใช่หรือ