ตอนที่ 243-1 สำรวจจวนเสนาบดีฉินอีกครั้ง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ตอนที่ท่านเสนาบดีฉินรู้ว่าแม่นางที่ถูกลูกชายคนเล็กฉุดเข้าจวนหายตัวไป ก็ยิ่งมั่นใจว่าเรื่องนี้ผิดปกติ หากบอกว่ามีคนพุ่งเป้ามาที่ลูกชายคนเล็กของเขาวางกับดักกลับไม่แน่ อย่างไรเสียก็ไม่มีเรื่องที่บังเอิญเพียงนั้น คาดว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นคงจะมีคนจับปลาในน้ำขุ่น ผลักอยู่ข้างหลัง ส่วนจะเป็นใคร ท่านเสนาบดีฉินละทิ้งการสืบหาแล้ว อย่างไรเสียศัตรูทางการเมืองของเขาก็มีไม่น้อย ใครจะรู้ว่าเป็นผู้ใด

 

 

เหอะ เรื่องตลกของจวนเสนาบดีฉินน่าดูเพียงนั้นเลยหรือ แววตาของท่านเสนาบดีฉินมีประกายแหลมเปรียวแวบผ่าน

 

 

“ไป ไสหัวออกไป ตระกูลเล็กๆ ของพวกข้า ไม่มีวาสนาเกาะจวนเสนาบดีฉินหรอก” เผชิญหน้ากับพ่อบ้านจวนเสนาบดีฉินที่มาไกล่เกลี่ยถึงหน้าบ้าน บิดาของจางย่วนเหนียงก็โมโหจนมือไม้สั่น เป็นอนุภรรยาหรือ บุตรสาวเขาเป็นภรรยาเอกดีๆ ไม่เป็น ไยจะต้องยอมลดตัวเองลงไปเป็นอนุภรรยาให้ลำบากด้วยเล่า ตระกูลจางของเขาไม่ใช่ตระกูลขายสตรีสร้างเกียรติเช่นนั้น

 

 

พี่ชายทั้งสองของจางย่วนเหนียงก็โมโหมากเป็นพิเศษ กระบองที่ถืออยู่ในมือก็ยกขึ้นมาทันที “น้องสาวข้าเล่า รีบปล่อยน้องสาวข้ากลับมา จวนอัครเสนาบดีเก่งนักหรือ ข้าไม่เชื่อว่าแผ่นดินที่ใหญ่เช่นเมืองหลวงจะไม่มีสถานที่ที่มีเหตุมีผลเลย ยังจะให้เป็นอนุภรรยา ต่อให้พวกเจ้าหามเกี้ยวใหญ่แปดคนแบกน้องข้าเข้าจวนเป็นภรรยาเอกพวกข้าก็ไม่ยินยอม”

 

 

พ่อบ้านผู้นั้นตอนที่มายังคุยโวโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์เริ่นอยู่เลย อาจารย์เริ่นก็คือนายทหารผู้ช่วยคนสนิทผู้นั้นข้างกายท่านเสนาบดีฉิน นามว่าเริ่นหงซู ในจวนเรียกเขาว่าอาจารย์เริ่น

 

 

ชาวบ้านเช่นเจ้าสามารถเกาะจวนเสนาบดีฉินได้ นี่ก็นับเป็นวาสนาที่ใหญ่ยิ่งมหาศาลแล้ว ขอเพียงแค่ไม่โง่ก็ไม่มีใครไม่รู้จักเข้ามาเกาะขาหรอก ใครจะรู้พ่อลูกตระกูลจางนี้ไม่รู้จักให้เกียรติ ไม่เห็นด้วยยังไม่เท่าไร ยังกล้าลงมือกับเขา ไม่มีความรู้เสียจริงๆ พ่อบ้านโมโหแทบแย่แล้ว

 

 

พ่อบ้านหลบกระบองไปพลางถอยหลังไปพลาง ปากร้องตะโกน “ข้าว่าพวกเจ้าพูดดีๆ ไม่ฟังต้องใช้กำลังบังคับแล้วกระมัง ยังกล้าพูดว่าภรรยาเอก พวกเจ้าใหญ่นักหรือ กล้าคิดจริงๆ! ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้จักใหเกียรติ เช่นนั้นก็คอยดูเถอะ อย่าคิดว่าพวกเจ้าไปยื่นคำฟ้องร้องที่ศาลต้าหลี่แล้วจะสำเร็จ เหอะ ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่นั่นมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านเสนาบดีของพวกเขา กูไหน่ไนของพวกข้าคือซูเฟยเหนียงเหนียงในวัง มดตัวเล็กๆ ยังคิดจะเขย่าต้นไม้ใหญ่ คิดเพ้อฝันจริงๆ ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”

 

 

พ่อบ้านจากไปด้วยสภาพจนตรอก จางซิ่วไฉค้ำประตูไอออกมาพักหนึ่ง พี่ชายทั้งสองของจางย่วนเหนียงรีบโยนกระบองลงแล้ววิ่งเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” บุตรคนโตตระกูลจางถามด้วยความเป็นกังวล

 

 

คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงไอที่รุนแรงอีกพักหนึ่งของจางซิ่วไฉ บุตรคนรองตระกูลจางรีบช่วยเขาตบหลังเขาเบาๆ “ท่านพ่อ ท่านอย่าร้อนใจ น้องเล็กไม่อาจเป็นอะไรไปได้” อันที่จริงพูดประโยคนี้ออกมาตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ ลูกคุณชายตระกูลขุนนางทรงอำนาจเหล่านั้นจะดีได้อย่างไร น้องเล็กอาจจะถูกทรมานก็ได้

 

 

จางซิ่วไฉเพิ่งจะหยุดไอ หายใจหอบกล่าว “แม้จะบอกว่าศาลต้าหลี่รับคำร้องของพวกเราแล้ว แต่ในแวดวงขุนนางแต่ไหนแต่ไรขุนนางก็ปกป้องกันเอง ไม่รู้วาจะสามารถพาน้องสาวของพวกเจ้ากลับมาได้หรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ของพ่อซื่อสัตยมาโดยตลอด ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลยสักเรื่อง เหตุใดตระกูลพวกเราถึงได้เจอเรื่องหายนะเช่นนี้”

 

 

ขณะที่พูดอารมณ์ของเขาก็เดือดดาลขึ้นมา สองพี่น้องตระกูลจางรีบปลอบ “ท่านพ่อ ท่านอย่าร้อนใจ อย่าร้อนใจ ลูกสืบถามมาแล้ว ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ผู้นั้นเป็นขุนนางดี รักความเป็นธรรมที่สุด จะต้องช่วยพวกเราทวงความยุติธรรมแน่นอน ท่านรักษาร่างกายให้ดี อย่าให้น้องเล็กกลับมาแล้วท่านกลับล้มป่วย งานแต่งงานเดือนหน้าของน้องเล็กยังต้องให้ท่านออกหน้ารับแขกอยู่”

 

 

ไม่เอ่ยถึงงานแต่งงานยังดี เมื่อเอ่ยถึงงานแต่งงานสีหน้าของจางซิ่วไฉก็ยิ่งเป็นทุกข์ “เหล่าต้า อีกประเดี๋ยวไปดูบ้านลุงซั่งของเจ้าหน่อย พ่อไม่มีหน้าไปพบพี่ซั่งแล้วจริงๆ บอกลุงซั่งของเจ้าว่า หากพวกเขาอยากถอนหมั้น พวกเราไม่ถือแม้แต่นิดเดียว”

 

 

“ไม่ได้! ท่านพ่อ เดือนหน้าก็ถึงฤกษ์แต่งงานแล้ว จะถอนหมั้นได้อย่างไร” บุตรคนรองตระกูลจางคัดค้านทันที ถอนหมั้นชีวิตทั้งชีวิตของน้องเล็กก็พังหมดแล้ว

 

 

บุตรคนโตตระกูลจางก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน “ท่านพ่อ น้องเล็กกับอาจื้อโตมาด้วยกัน ความผูกพันของพวกเขาสองคนพวกเราเห็นอยู่ในสายตา อาจื้อไม่มีทางยอมถอนหมั้น อีกทั้งถอนหมั้นแล้วน้องเล็กจะทำอย่างไรเล่า”

 

 

จางซิ่วไฉยิ้มเจื่อน “คิดว่าข้าอยากถอนหมั้นหรือ อาจื้อเด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็รู้ประสามีคุณธรรม ทั้งยังดีกับย่วนเหนียง เป็นสามีที่ดีที่ต่อให้ส่องโคมก็หาได้ยาก แต่ตระกูลเราเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว ไม่อาจทำให้ตระกูลลุงซั่งของเจ้าลำบากได้! ต่อให้พวกเราจะฟ้องร้องชนะ ย่วนเหนียงปลอดภัยกลับมา แต่อย่างไรเสีย อย่างไรเสีย…นางยังจะแต่งงานกับอาจื้อได้อยู่อีกหรือ คิดเสียว่าพวกเขาไม่ได้เกิดมาคู่กัน”

 

 

“ท่านพ่อ อาจื้อไม่ใช่คนแบบนั้น! ตระกูลซั่งก็ไม่ใช่ตระกูลแบบนั้น ท่านพ่อ ท่านรู้จักท่านลุงซั่งมาครึ่งชีวิตแล้ว ยังไม่รู้นิสัยของเขาอีกหรือ พวกเขาไม่มีทางทอดทิ้งน้องเล็ก” บุตรคนโตตระกูลจางกล่าวเสียงดัง ตามที่เขารู้ ตอนนี้อาจื้อยังถูกท่านลุงซั่งมัดตัวอยู่ในห้องไม่กล้าปล่อยออกมา กลัวว่าเขาจะพุ่งไปที่จวนเสนาบดีฉินสุดชีวิตทันที

 

 

บุตรคนรองตระกูลจางรีบคล้อยตาม “ใช่แล้ว ตระกูลซั่งไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาจะทอดทิ้งน้องเล็ก มีพวกข้าสองพี่น้องอยู่ ไม่อาจปล่อยให้น้องเล็กไร้ที่พึ่งพิงได้”

 

 

จางซิ่วไฉยังคงยิ้มเจื่อน แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่อ ตอนนี้พูดมากไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด รอคำตัดสินของศาลต้าหลี่ออกมาดีกว่า ย่วนเหนียงเป็นบุตรสาวที่เขาเลี้ยงอย่างทะนุถนอมมากับมือ จะดีจะเลวเขาล้วนยอมรับ ขอเพียงแค่คนสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็พอ

 

 

พ่อบ้านจวนเสนาบดีฉินจัดการไม่ได้ อยู่ต่อหน้าอาจารย์เริ่นแล้วย่อมต้องใส่ร้ายตระกูลจางฉากใหญ่ อาจารย์เริ่นฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรจากนั้นจึงไล่เขาออกไป คนก็ไม่อยู่แล้วยังเอาปัญหาเข้าจวนอีก

 

 

ศาลต้าหลี่คึกคักแล้ว จางซิ่วไฉทางฝั่งตะวันออกของเมืองฟ้องร้องฉินมู่หรานคุณชายเล็กของตระกูลท่านเสนาบดีฉินว่าฉุดบุตรสาวตระกูลเขา เจ้าหน้าที่มาจับตัวถึงที่แต่กลับไม่สำเร็จ วันรุ่งขึ้นจวนเสนาบดีฉินมีพ่อบ้านผู้หนึ่งออกมาฟ้องตระกูลจางกลับ บอกว่าตระกูลจางใส่ร้ายคุณชายเล็กของพวกเขา เรื่องฉุดหญิงชาวบ้านไม่มีอยู่จริงอย่างสิ้นเชิง พูดด้วยน้ำใสใจจริง ซ้ำยังบอกว่าหากไม่เชื่อสามารถเข้าจวนไปสืบสวนได้

 

 

คราวนี้ทำให้ทุกคนสับสนแล้ว คุณชายเล็กตระกูลฉินผู้นั้นฉุดบุตรสาวตระกูลจางไม่ใช่มีคนจำนวนมากเห็นกับตาหรอกหรือ เหตุใดชั่วพริบตาถึงกลายเป็นใส่ร้ายป้ายสีแล้วเล่า บุตรสาวตระกูลจางผู้นั้นไปไหนแล้วเล่า คงไม่ใช่ว่าถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ทุกคนคิดถึงตรงนี้ ก็พากันสั่นระริก

 

 

ถึงตอนเที่ยงตระกูลจางก็ยื่นคำร้องมาอีกหนึ่งใบแล้ว นอกจากฟ้องว่าฉินมู่หรานฉุดหญิงชาวบ้าน ยังมีอีกหนึ่งเรือง นั่นก็คือฆ่าคนปิดปาก ในคำร้องเต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าโศก ข้อให้ผู้ผดุงความยุติธรรมจึงตัดสินแทนประชาชน และบุตรสาวของพวกเขา

 

 

ใต้เท้าจ้าวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เห็นคำฟ้องสองฉบับที่วางอยู่ตรงหน้า นึกถึงท่าทีโอหังของพ่อบ้านจวนเสนาบดีฉินผู้นั้น บนใบหน้าก็มีความโกรธแวบผ่าน

 

 

สำหรับคดีนี้เขารู้อยู่แก่ใจ นั่นก็คือลูกชายคนเล็กของท่านเสนาบดีฉินผู้นั้นฉุดบุตรสาวของตระกูลจาง เมื่อวานตอนที่เขาส่งคนไปจับตัวคนถึงที่เห็นชัดๆ ว่าท่านเสนาบดีฉินไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่คืนเดียวกลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ความลับลมคมนัยในนี้ไม่บอกเขาก็รู้ ไม่ฆ่าคนปิดปาก แม่นางตระกูลจางก็ถูกซ่อนไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดก็ล้วนแต่จัดการยากอย่างถึงที่สุด

 

 

แม้แต่เด็กรับใช้และคนเดินถนนที่เห็นคุณชายเล็กฉุดคนกับตาหลายคนนั้นยังปิดปากเงียบ ไม่ว่าจะไต่ถามอย่างไรก็ส่ายหน้าบอกไม่รู้ นี่ทำให้คนอึดอัดใจอย่างถึงที่สุด

 

 

รู้ชัดว่านั่นคือมือสังหาร แต่เพราะไม่มีหลักฐานจึงไม่มีทางจัดการเขาได้ นี่จะให้ใต้เท้าจ้าวที่แต่ไหนแต่ไรใจซื่อมือสะอาดรักความเป็นธรรมไม่โมโหได้อย่างไร โดยเฉพาะคุณชายเล็กตระกูลฉินผู้นั้นยังคงคุยโวโอ้อวดกับเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของเขาในเหลาสุราแม้แต่จ้าวผดุงธรรมที่มีชื่อเสียงบังเอิญพบเขายังต้อมก้มศีรษะ

 

 

คนไม่น้อย รวมถึงที่ปรึกษาส่วนตัวที่เชื่อใจได้ที่สุดของเขายังโน้มน้าวให้เขาปิดคดี ไยจะต้องลำบากไปผิดใจท่านเสนาบดีฉินด้วยเล่า ผิดใจท่านเสนาบดีฉินก็เท่ากับผิดใจซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองในราชสำนัก เอ่ยออกมาหนึ่งประโยคลวกๆ ก็เพียงพอให้เขาสำลักได้ ไยจะต้องทำเช่นนี้ ไยจึงไม่ก้มหัวให้ท่านเสนาบดีฉิน เจ้าปลอดภัย ข้าปลอดภัย ทุกคนปลอดภัย ดียิ่งนัก!

 

 

แต่ใต้เท้าจ้าวไม่ยินยอม ในเมื่อเขารับบตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่นี้แล้ว หากไม่สามารถทวงความยุติธรรมให้ประชาชนได้ ตำแหน่งขุนนางนี้ทำไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงลากคดีนี้ วันๆ ส่งคนไปเดินดูรอบนอกจวนเสนาบดีฉิน หวังว่าจะพบเห็นอะไรได้

 

 

“จวิ้นจู่ พวกเราใช่หวังดีแต่กลับกลายเป็นร้ายหรือไม่” เสี่ยวตี๋มองเสิ่นเวยอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย สายลับที่แฝงตัวอยู่ในเรือนฉินมู่หรานพาจางย่วนเหนียงออกจากจวนเสนาบดีโดยพลการ กระทั่งทำให้จวนเสนาบดีฉินฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์ นี่ทำให้เสี่ยวตี๋ไม่สบายใจอย่างมาก

 

 

เสิ่นเวยเองก็ขมวดคิ้วมุ่น สายลับพาจางย่วนเหนียงออกมาโดยพลการตอนนั้นนางเองก็เห็นด้วย และคิดว่าสามารถยัดเยียดโทษฆ่าคนปิดปากให้จวนเสนาบดีฉินได้ ไม่คิดว่าจวนเสนาบดีฉินจะตอบสนองเร็วเพียงนี้ ถือโอกาสผลักภาระไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น อย่างไรเสียนอกจากเด็กรับใช้ข้างกายฉินมู่หรานแล้วก็ไม่มีใครเป็นพยานอีก หากคิดจะบังคับฉินมู่หรานเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่ง่ายอย่างยิ่งจริงๆ