หลิงลี่คืนหลิวเทวะในมือให้กับหลิงหยุนเขารับมาแต่ยังคงถือไว้ในมือเช่นนั้น ยังไม่เรียกเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่..
หลังจากทำการรักษาจินเหยียวร่างกายของหลิงหยุนก็อ่อนล้าอย่างมาก เขาต้องการพลังชีวิตอย่างเร่งด่วน เวลานี้หลิวเทวะกำลังปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาจึงรีบทำการดูดซับเข้าไปในร่างกาย..
“หลิงหยุน..ยังมีอีกเรื่องที่ปู่เกือบจะลืมบอกเจ้าไป!”
หลังจากพูดเรื่องหลิวเทวะมานานหลิงลี่ก็เกือบจะลืมพูดเรื่องที่ตั้งใจจะพูดไป “หลิงหยุน.. พิธีกราบไหว้บรรพบุรุษนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญของตระกูลหลิงเรา และทุกคนในตระกูลจะต้องเข้าร่วมพิธีกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา..”
“แม้ว่าเจ้าจะเคยพบคนในตระกูลหลิงมาแล้วบ้างแต่ก็ยังมีอีกสองคนที่เจ้าไม่เคยพบเจอ ซึ่งก็คือพี่ชายคนโตของเจ้า – หลิงห่าว และน้องสาวของเจ้า – หลิงซวี่..”
ขณะที่เอ่ยชื่อหลิงซวี่นั้น..ดูเหมือนผู้เฒ่าหลิงจะลังเล และมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย..
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับแอบหัวเราะอยู่ในใจ..เพราะก่อนที่เขาจะได้รู้ว่าตนเองคือทายาทตระกูลหลิงนั้น เขาก็ต้องข้องเกี่ยวกับคนทั้งสองก่อนแล้ว..
หลิงห่าว..พยายามที่จะสังหารเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!
ส่วนหลิงซวี่นั้น..เขาพบกับนางโดยบังเอิญบนเรือลาดตระเวนในระหว่างที่เดินทางกลับจากเกาะเตียวหยู เพียงแต่ครั้งนั้นหลิงหยุนได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้ หลิงซวี่จึงไม่ได้เห็นใบหน้าของเขา..
แม้ว่าหลิงหยุนกับหลิงซวี่จะยังไม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการแต่ครั้งนั้น.. ความงดงาม ความดื้อรั้นถือดี และความหยิ่งทะนงในตัวของนางนั้น ก็ได้ทำให้หลิงหยุนรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก.. แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้ถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกันแต่ทั้งเขาและหลิงซวี่่ต่างก็มีเลือดของบิดาอยู่ในตัวคนละครึ่่ง และเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของทั้งสองคนก็เป็นเลือดตระกูลหลิงเหมือนกัน หลิงหยุนย่อมต้องปฏิบัติต่อหลิงซวี่ดังเช่นน้องสาวแท้ๆของตนเอง..
ปัญหาเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของทุกคนนั้นหลิงหยุนมอบให้เป็นเรื่องของหลิงเสี่ยวที่ต้องจัดการ และหลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการที่จะเข้าไปก้าวก่าย..
“หลิงหยุน..พี่ชายของเจ้า – หลิงห่าว เขาเป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลิงเรา หลิงห่าวเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง เพียงแต่บางครั้งอาจใจแคบไปบ้าง หากเจ้าได้พบกับเขา และเกิดมีปัญหาขัดแย้งกัน ก็ขอให้เจ้าอดทนกับเขาด้วย..”
ก็อย่างที่หลิงลี่พูด..หลิงห่าวเป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลิง ตั้งแต่เด็กมาหลิงลี่จึงทุ่มเทความพยายามในการเลี้ยงดูหลิงห่าวมาตลอด เพราะด้วยสถานะแล้วหลิงห่าวจะควรจะต้องได้เป็นผู้นำตระกูลหลิงรุ่นต่อไป..
แต่เมื่อหลิงหยุนกลับเข้าตระกูลและด้วยความสามารถของเขา ทำให้หลิงลี่ได้หมายมั่นปั้นมือที่จะให้หลิงหยุนมาเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปแทน
คนหนึ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูลและรับรู้มาตลอดว่าตนเองจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป..
ในขณะที่อีกคนเป็นลูกนอกสมรสและเติบโตภายนอกตระกูลหลิง แต่กลับเก่งกาจสามารถ และทำเพื่อตระกูลหลิงหลายต่อหลายครั้ง ที่สำคัญ.. เขาคือคนที่หลิงลี่ได้หมายมั่นที่จะให้เป็นผู้นำตระกูลหลิงรุ่นต่อไป..
หลิงห่าวเป็นเด็กหนุ่มใจแคบ..ในขณะที่หลิงหยุนก็เย่อหยิ่งไม่ยอมคน!
หากทั้งสองคนได้เผชิญหน้ากันหลิงลี่เกรงว่าทั้งคู่ยังไม่ทันจะได้พูดจา ก็คงต้องขัดแย้งจนต้องต่อสู้กันเอง..
ด้วยเหตุนี้..หลิงลี่จึงได้ขอให้หลิงหยุนอดทนต่อหลิงห่าว เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งคู่ก็เป็นหลานในไส้ของเขาทั้งคู่ ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ หลิงลี่ก็ย่อมเจ็บปวดไม่แพ้กัน!
และที่สำคัญ..หากทั้งคู่เกิดต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ผู้ที่จะได้รับบาดเจ็บย่อมต้องเป็นหลิงห่าวอย่างแน่นอน!
การที่หลิงลี่พูดเช่นนี้กับหลิงหยุนนั้น..ไม่ใช่เพราะเขาเข้าข้างหลิงห่าว แต่เขาในฐานะอาวุโสของตระกูล จำเป็นต้องดูแลจัดการความเรียบร้อยภายในตระกูล..
โบราณว่าทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กและคนที่แกร่งกว่าควรยอมคนที่ด้อยกว่า หากทำได้เช่นนี้ครอบครัวใดก็ย่อมมีแต่ความสงบรักใคร่สามัคคีกัน..
หลิงห่าวนั้นโตกว่าหลิงหยุนก็จริงแต่เรื่องความแข็งแกร่งนั้นหลิงห่าวไม่มีทางเทียบหลิงหยุนได้เลย หลิงลี่จึงเลือกที่จะพูดกับหลิงหยุน..
แม้ว่าหลิงหยุนจะฟังหลิงลี่พูดอยู่แต่ในใจของเขานั้นได้แต่นึกเย้ยหยัน.. อดทนต่อหลิงห่าวงั้นรึ
จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันในเมื่อหลิงห่าวส่งคนไปลอบสังหารหลิงหยุนถึงห้าครั้้ง หากหลิงหยุนไม่ฆ่าหลิงห่าว เขาคงต้องนึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่! เช่นนี้แล้วเขาจะปล่อยหลิงห่าวไปได้อย่างไรกัน?
หากหลิงหยุนต้องทำเช่นนั้น..เฉินเซินกับไห่ซานที่ถูกขังไว้ ยังจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า
“ท่านปู่..ท่านวางใจได้! ข้าต้องทำดีกับหลิงห่าวแน่!”
หลิงหยุนไม่แม้แต่จะเรียกหลิงห่าวว่า‘พี่’ และกัดฟันพูดออกมาด้วยความยากลำบาก..
ดังคำพูดว่า..ศัตรูภายนอกนั้นไม่น่ากลัวเท่าศัตรูภายใน!
หากเป็นศัตรูภายนอกหลิงหยุนยังสามารถหลบเลี่ยงได้ไม่ยาก แต่หากเขาต้องอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงร่วมกับหลิงห่าวเช่นนี้ ต่อให้เขาระมัดระวังตัวทั้งกลางวันกลางคืน ก็ยากที่จะข่มตาให้หลับลงได้.. ด้วยเหตุนี้..หลิงหยุนจึงไม่มีวันยอมอ่อนข้อ และใจอ่อนให้กับหลิงห่าวอย่างแน่นอน!
แต่เนื่องจากหลิงหยุนยังไม่ได้เผชิญหน้ากับหลิงห่าวเขาจึงไม่ต้องการพูดเรื่องของหลิงห่าวกับหลิงลี่ในเวลานี้..
“เอาล่ะ..ข้าได้ยินคำพูดของเจ้าเช่นนี้แล้วก็ค่อยโล่งใจ!”
หลิงลี่พยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาและพูดต่อว่า “น่าเสียดายที่พี่ชายของเจ้าถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เลยกลายเป็นคนหยิ่งจองหอง วันๆก็ไม่เคยอยู่บ้าน ข้าก็เลยให้ลุงของเจ้าจัดการให้หลิงห่าวไปทำงานในหน่วยเทพอินทรีย์ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นใดบ้าง”
“หากจะพูดไปแล้ว..คนแรกในตระกูลหลิงที่หาเจ้าพบก็คือพี่ชายของเจ้า – หลิงห่าวนี่ล่ะ!”
หลิงลี่นั้นกลัวมากจริงๆว่าหลิงห่าวกับหลิงหยุนจะเกิดขัดแย้งกันขึ้นเขาจึงได้พยายามพูดถึงหลิงห่าวในด้านดี เพื่อให้หลิงหยุนได้รู้สึกดีกับหลิงห่าวก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากันจริงๆ เพราะหากทั้งคู่ขัดเกิดแย้งกันขึ้นมาจริงๆปัญหาที่เกิดขึ้นก็คงจะไม่หยุดอยู่แค่เรื่องปัญหาของพี่น้องเท่านั้น แต่จะลามไปถึงหลิงเจิ้นและหลิงเสี่ยวผู้เป็นพ่อ หากหลิงหยุนกับหลิงห่าวขัดแย้งกันจริง หลิงเจิ้นกับหลิงเสี่ยวจะไม่ขัดแย้งกันด้วยอย่างนั้นหรือ
เขาในฐานะที่เป็นปู่..จะสะสางปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองคนนี้ได้เช่นไร
ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้น..หลิงลี่ไม่จำเป็นต้องช่วย แต่หากเขาออกหน้าช่วยหลิงห่าว ไม่เท่ากับเป็นการเข้าข้างหลิงห่าวจนทำให้หลิงหยุนไม่พอใจอย่างนั้นหรือ
ในตระกูลใหญ่นั้น..ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องต่างก็มีให้พบเห็นมากมาย!
แต่ถึงอย่างนั้น..เรื่องราวปัญหาทำนองนี้ ตระกูลใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่มีวิธีแก้ปัญหาอยู่แล้ว เมื่อเกิดความขัดแย้งของพี่น้องในตระกูลขึ้น ก็มักจะแก้ปัญหาด้วยกฏของตระกูล โดยไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น!
หลิงลี่ถึงกับปวดศรีษะอย่างหนักแต่ในขณะที่เขากังวลเรื่องนี้อยู่ เขากลับไม่รู้ว่าชื่อของหลิงห่าวนั้นได้อยู่ในรายชื่อของหลิงหยุนเรียบร้อยแล้ว!
“ท่านปู่..เรื่องนั้นเหล่ากุ่ยได้เล่าให้ข้าฟังแล้ว!”’
หลิงหยุนตอบหลิงลี่กลับไปอย่างเฉยชาและไม่มีวี่แววของความซาบซึ้งใจแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย..
หลิงห่าวเป็นฆาตกรที่ต้องการสังหารเขาเขายังต้องขอบคุณมันด้วยรึ
“สำหรับเรื่องของหลิงซวี่นั้นข้าก็มีคำพูดจะบอกเจ้าเช่นกัน..”
“หลิงซวี่เป็นเด็กดีคนหนึ่ง..แต่เพราะเรื่องของพ่อเจ้า ทำให้นางไม่ชอบที่จะอยู่บ้าน ไม่แน่ว่าหากนางได้พบกับเจ้า นางอาจพูดจาไม่เข้าหูเจ้าไปบ้าง เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะ!”
“เพราะไม่ว่าอย่างไร..นางกับเจ้าก็มีพ่อคนเดียวกัน!”
เมื่อพูดถึงหลิงซวี่ท่าทีของหลิงหยุนก็เปลี่ยนไปทันที! เขายิ้มให้กับหลิงลี่และตอบไปว่า “ท่านปู่.. เรื่องของน้องหลิงซวี่ข้าเข้าใจดี อาจจะไม่เป็นอย่างที่ท่านกังวลก็ได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง ท่านปู่ก็ไม่ต้องกังวลใจไป ข้ารับปากว่าจะไม่ตอแยนาง หรือต่อปากต่อคำกับนาง..”
เพราะหลิงหยุนรู้ดีว่าที่ผ่านมาพ่อของตนนั้นปฏิบัติต่อต่งยั่วหลานเช่นใด!
หลิงเสี่ยวปักใจในความรักที่มีต่อแม่ของเขา– หยิงชิงเฉวียนเพียงผู้เดียว จึงได้เย็นชา และดูโหดร้ายต่อต่งยั่วหลาน..
หลิงซวี่เองก็รู้เรื่องราวในอดีตของหลิงเสี่ยวและรู้ว่าพ่อของนางนั้นไม่ได้รับใคร่แม่ของนางเลย และการที่หลิงเสี่ยวต้องแต่งงานกับแม่ของนางจนให้กำเนิดนางนั้น ล้วนเกิดจากการถูกบังคับทั้งสิ้น..
ในเมื่อหลิงซวี่เติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้จะให้นางเป็นเด็กสาวที่มีอารมณ์ดีได้อย่างไรกัน
หลิงลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย“หลิงซวี่ไม่ชอบอยู่บ้านเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าภายในใจของนางนั้นรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน และเป็นคนนอก ไม่ใช่คนตระกูลหลิง!”
พูดโดยสรุปก็คือว่า..ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของผู้ใหญ่นั้น ไม่ยุติธรรมต่อหลิงซวี่เลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจนางมาก..
“ครับท่านปู่!”
หลิงลี่เห็นหลิงหยุนรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนี้เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “ฮ่า.. ฮ่า.. หลานชายของข้าช่างมีเหตุมีผลยิ่งนัก! ข้ารู้สึกวางใจขึ้นมากแล้ว..”
“หลิงหยุน..หากไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็หาเวลาไปพบพ่อของเจ้าที่บ้านบ้าง หาเวลาไปอยู่ใกล้ๆกับเขา ข้าคิดว่าลูกสามคงมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดคุยกับเจ้า!”
แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้วเขาจึงตอบกลับไปว่า “ครับท่านปู่..”
แต่หลิงหยุนก็แอบอึดอัดใจอยู่บ้างเพราะต่งยั่วหลานก็อยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย หากเขาไปพบหลิงเสี่ยว นางคงจะกระอักกระอ่วนใจ และอึดอัดใจเช่นกัน!
และหากหลิงซวี่กลับมาต้องเผชิญหน้ากันทั้งสี่คน จะยิ่งไม่อึดอัดตายกันพอดีงั้นรึ หลิงหยุนจึงตั้งใจที่จะชวนพ่อของเขาออกไปคุยกันข้างนอกตามลำพัง..
ระหว่างที่พูดคุยกับหลิงลี่เป็นเวลานานพลังปราณของหลิงหยุนก็ฟื้นคืนกว่าสี่สิบส่วนแล้ว และจิตหยั่งรู้ของเขาก็จับภาพโม่วู๋เตาที่อยู่ในสวนได้ เขาจึงรีบออกจากบ้านของหลิงลี่ไปทันที..
…..
“เจ้าหมูเกียจคร้าน..สายป่านนี้เจ้าเพิ่งจะตื่นงั้นรึ แล้วนี่เจ้ามาทำอะไรในสวนนี่?”
เมื่อคืนนี้โม่วู๋เตาแอบดูความลับสวรรค์ทำให้เขาต้องสูญเสียพลังจิตไปอย่างมากมาย ประกอบกับไม่ได้หลับได้นอนมาทั้งคืน เขาจึงนอนหลับยาวกว่าแปดชั่วโมง..
“หลิงหยุน..ข้าหิวข้าว! ข้าเดินออกมาหาอะไรกิน..” ทันทีที่เห็นหลิงหยุนปรากฏตัวโม่วู๋เตาก็รีบเอามือลูบท้องตัวเอง พร้อมกับร้องโอดครวญอย่างน่าสงสาร..
สำหรับโม่วู๋เตาแล้วการอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลหลิงนั้นไม่สะดวกสบายเท่ากับได้อยู่ในห้องเพรสซิเดนท์สูทอย่างโรงแรมห้าดาวที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ทั้งยังสะดวกสบาย และมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจหลายอย่าง.. ไอลีนโนเวล
แต่ในเมื่อหลิงลี่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเชิญชวนให้เขาพักที่บ้านตระกูลหลิงโม่วู๋เตาจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรกัน และจะกล้าพูดว่าอยู่โรงแรมห้าดาวสะดวกสบายกว่างั้นรึ
“อ่อ..ที่แท้เจ้าก็ออกมาหาของกินนี่เอง! เสียใจด้วย.. ข้ากินจนอิ่มแปล้แล้ว..” หลิงหยุนจงใจพูดยั่วโมโหโม่วู๋เตา
โม่วู๋เตาถึงกับโกรธจนควันออกหูเขาร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “เจ้าคนแล้งน้ำใจ! เจ้ากินจนอิ่มแต่กลับไม่สนใจข้าเลยงั้นรึ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็มอบเงินให้กับข้า ข้าจะออกไปหาอะไรกินเอง!”
“ว่าแต่..เจ้าถืออะไรมา” โม่วู๋เตานั้นติดนิสัยชอบทะเลาะเบาะแว้งกับหลิงหยุนไปแล้วและหลังจากโต้เถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ โม่วู๋เตาจึงสังเกตเห็นต้นไม้ในมือของหลิงหยุน!
“เจ้าไม่รู้จักหรอกน่า!นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลหลิงจากรุ่นสู่รุ่น และมันก็คือหลิวเทวะที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แต่อย่าสนใจเลย.. คนอย่างเจ้าคงจะไม่รู้จัก!”
โม่วู๋เตาไม่สนใจคำต่อท้ายหลิวเทวะที่หลิงหยุนเพิ่งจะใส่เพิ่มขึ้นมาเพื่อโอ้อวดมรดกของตระกูล และร้องตะโกนออกไป
“ที่แท้ก็เป็นท่อนไม้ในมือเจ้านี่เองที่ทำให้ภายในบ้านมีพลังชีวิตปกคลุมไปหมด ว่าแต่เหตุใดท่อนไม้นี้จึงได้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้”
“นี่..เจ้าเรียกหลิวเทวะข้าว่าท่อนไม้งั้นรึ”
“หลิวเทวะอะไรกันเล่านี่มันคือไม้ภูติผีต่างหากเล่า!”
ดวงตาของโม่วู๋เตาจ้องมองกิ่งไม้ในมือของหลิงหยุนอย่างสนอกสนใจพร้อมกับร้องตอบกลับไปเสียงดัง..
โม่วู๋เตาเป็นนักพรตเต๋าแห่งสำนักเหมาซานเขาไม่ชอบฝึกฝนวรยุทธ แต่รักการเล่าเรียนในศาสตร์ของฮวงจุ้ย และการทำนายดวงชะตา รวมถึงเรื่องลี้ลับ..
ยิ่งไปกว่านั้น..ความสามารถในศาสตร์เหล่านี้ของนักพรตน้อยก็ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย ไม่เช่นนั้นโม่วู๋เตาคงจะไม่สามารถคำนวนหาตำแหน่งที่ซ่อนของหลิงเสี่ยวพบแน่..
ในฐานะนักพรตเต๋า..โม่วู๋เตาย่อมรู้ดีว่าในเทศกาลสารทจีนนั้น ตามตำนานได้เล่าขานไว้ว่าในวันนั้นประตูนรกจะเปิดออก และเป็นวันที่เหล่าภูติผีวิญญาณจะกลับมาสู่โลกมนุษย์
ทุกวันที่15 ของทุกปีจึงเป็นวันที่ผู้คนเรียกขานกันว่าเทศกาลผีนั่นเอง และวันที่ 14 ก็จะเป็นวันที่มีพลังหยินรุนแรงที่สุด!
สำหรับคนธรรมดาอาจจะหวาดกลัวแต่โม่วู๋เตานั้นไม่ใช่คนธรรมดา เขาคือศิษย์สำนักเหมาซาน หนำซ้ำยังเชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ เขาจะหวาดกลัวได้อย่างไรกันเล่า “ขอข้าดูหน่อย!”
โม่วู๋เตาร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจเวลานี้เขาลืมเรื่องหิวไปเสียสนิท และรีบตรงเข้าไปจะแย่งหลิวเทวะในมือของหลิงหยุนให้ได้..
แต่มีหรือที่หลิงหยุนจะยอมให้โม่วู๋เตาคว้าไปได้ง่ายๆเขาดึงหลิวเทวะหลบ และร้องถามออกไปว่า “เหตุใดเจ้าจึงเรียกหลิวเทวะของข้าว่าไม้ภูติผี”
“หลิงหยุน..ขอข้าดูหน่อย!” โม่วู๋เตายังคงร้องบอกด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ
“เจ้าอยากจะดูไปทำไมกัน”หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ข้าก็แค่อยากศึกษาดูให้ละเอียดและให้มั่นใจว่าไม้นี้จะไม่เป็นอันตรายต่อเจ้า!”
“งั้นก็ได้..”
หลิงหยุนยื่นหลิวเทวะในมือให้กับโม่วู๋เตาโม่วู๋เตาจึงรีบคว้ามาทันที จากนั้นเขาจึงยกหลิวเทวะขึ้นสำรวจดูอย่างละเอียด..
สีหน้าของโม่วู๋เตาดูจริงจังอย่างมากยิ่งสำรวจดูอย่างละเอียดมากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งคร่ำเครียดมากขึ้นเท่านั้น
หลิงหยุนเห็นท่าทางของโม่วู๋เตาก็รู้ได้ว่าเขาคงกำลังค้นพบอะไรบางอย่าง หลิงหยุนจึงไม่รีบร้อนที่จะถามออกไป เพียงแค่ยืนนิ่งๆ รอให้โม่วู๋เตาพูดขึ้นมาเอง..
โม่วู๋เตาสำรวจหลิวเทวะตั้งแต่ยอดไปจนถึงปลายและสังเกตดูอยู่ป็นนานสองนาน จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ แววตาของโม่วู๋เตาจึงมีอาการตกใจ และส่ายหน้าไปมาด้วยความงุนงง..
“นี่น่าจะเป็น..”
โม่วู๋เตาหันไปมองหลิงหยุนพรัอมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าตามข้ามา..”
โม่วู๋เตาถือต้นหลิวเทวะเดินกลับเข้าไปในห้องพักของตนเองและหลิงหยุนก็ตามเข้าไป..
–หลิงหยุน..หากข้าเดาไม่ผิด ไม้นี่น่าจะมีชื่อว่าหลิวเทวะวิญญาณ!-
ทันทีที่ไปถึงห้องพักของตนเองโม่วู๋เตาก็รีบส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนทันที!