มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 600
หากจะให้พูดจริง ๆ เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ แล้ว การโจมตีวิญญาณผ่านตัวสำนึก ถึงเป็นไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของหลัวซิว

เพียงแต่ว่าไผ่ใบสุดท้ายใบนี้ หลัวซิวไม่คิดที่จะใช้มันออกมาโดยง่าย เพราะถ้าหากตกเป็นที่จับตาของผู้คน ไม่แน่ว่าช่องจิตปลอมอาจจะถูกเปิดโปงออกมาก็เป็นได้

ช่องจิตช่องหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้แฝงไปด้วยช่องจิตที่แท้จริงของพลังแห่งกฎ ก็จะต้องทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หัวใจสั่นคลอนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหลัวซิวจะไม่ระวังไม่ได้

อาศัยกระแสสัมผัสตัวสำนึกที่แข็งแกร่ง หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ถึงสถานการณ์การประลองบนเวทีอื่น ๆ

หนึ่งในนั้นบนเวทีประลองของกลุ่มที่สอง สตรีที่มีนามว่าหยุนจิ้งนางหนึ่งค่อนข้างดึงดูดสายตาของผู้คน แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้อยู่ในระดับงามล้มบ้านล้มเมือง แต่ที่ดึงดูดผู้คนนั้น เป็นการโจมตีทางวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของนาง

“อัจฉริยะจากเขาชะตาเทพ?” หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย

เขาชะตาเทพ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดใจอาณาจักรเหนือ เพียงหนึ่งเดียว!

ที่อาณาจักรเหนือนั้นมีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งหมดห้าแห่ง กลับมีเพียงตำแหน่งของเขาชะตาเทพที่อยู่เหนืออื่นใด เห็นได้ว่าภูมิหลังนั้นแข็งแกร่งขนาดใน

หยุนจิ้งผู้นี้เป็นศิษย์ของเขาชะตาเทพ ชำนาญด้านการโจมตีวิญญาณ ผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ แต่ตัวสำนึกวิญญาณของนางนั้น กลับได้บรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด

นอกจากนี้แล้วเหนือเวทีประลองประลองกลุ่มสี่ที่อยู่ติดกันนั้น หลัวซิวได้เห็นเข้ากับลู่เมิ่งเหยา แม้ว่าผลการฝึกตนของนางจะอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ทว่าอาศัยพรสวรรค์จากร่างแห่งภูตเยือก นางพึ่งจะข้ามขั้นเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นห้าไปได้ในเมื่อสักครู่

แต่ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของร่างแห่งภูตเยือกจะแข็งแกร่ง แต่มันก็มีขีดจำกัด ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากลับผู้แข็งแกร่งในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป มันก็จะเกินกำลังของนาง

“แม้ว่าจะไม่มีโอกาสแย่งชิงสิบอันดับแรก แต่ถ้าแย่งชิงรายชื่อแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างนั้น ยังไม่ยากสำหรับนาง” หลัวซิวแอบกล่าวอยู่ในใจ

อัจฉริยะรุ่นใหม่ร้อยคนแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมีสิบคน ใครสามารถยืนอยู่บนเวทีประลองได้เป็นคนสุดท้าย ก็จะกลายเป็นผู้ชนะ ผ่านเข้าสู้การแข่งขันจัดอันดับสิบอันดับแรกในรอบที่สอง

กลุ่มที่สามของทางฝั่งหลัวซิว ได้มีผู้แพ้ไปหกคนแล้ว ตามกฎของการประลอง ก็เท่ากับตกรอบชั่วคราวในรอบแรก

รวมหลัวซิวอยู่ในนั้นด้วย ยังเหลืออยู่สี่คน อีกสามคนที่เหลือนั้น ต่างก็มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ช่วงกลางขึ้นไป

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่กลางเวทีประลอง จ้องมองหหลัวซิวด้วยแววตาร้อนผ่าว

จากในสายตาของอีกฝ่าย หลัวซิวสัมผัสได้ถึงการถ้าทาย คนผู้นี้มีนามว่าปี้คง ชำนาญการโจมตีวิญญาณ

ความสามารถที่หลัวซิวได้แสดงออกมาในการประลองทั้งสองครั้งเมื่อก่อนหน้านี้ พูดได้ว่าได้ก่อให้เกิดลมพายุที่รุนแรงไม่น้อยในการประลองครั้งนี้ โดดเด่นไปต่าง ๆ นานา

เพราะเหตุนี้ก็ได้ทำให้มีผู้คนไม่น้อยไม่ชอบหน้าเขาขึ้นมา อยากจะลงมือเอาชนะเขาด้วยตนเอง เหยียบเขาเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง

“หลัวซิว กล้าประลองกับข้าหรือไม่?” ปี้คงยิ้มอ่อน ๆ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นสดใสยิ่งนัก

“ทำไมจะไม่กล้าเล่า?” หลัวซิวเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ หลังจากที่ได้พักผ่อนมาระยะหนึ่ง อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ในเมื่อก่อนหน้านี้นั้นได้หายดีเป็นที่เรียบร้อย

การต่อสู้ระหว่างหลัวซิวกับปี้คง ชั่วขณะนั้นได้ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบโห่ร้องขึ้นมา

แม้ว่าหลัวซิวจะได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมาในการประลองเมื่อก่อนหน้านี้ ทว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเขามีผลการฝึกตนในระดับจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น

ร่างยุทธ์แดนมกุฎที่แข็งแกร่ง แรงเปลือยที่มีอยู่เต็มร่างไม่มีข้อเสียเปรียบเมื่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้า หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณ ก็จะถูกควบคุมในทันที

และปี้คงผู้นี้นั้น เป็นยอดฝีมือที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณ มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณแห่งอาณาจักรตะวันตก

ยอดฝีมือที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณโดยทั่วไป ผลการฝึกตนด้านตัวสำนึกนั้น จะสูงกว่าผลการฝึกตนพลังจิตแท้ขึ้นมาสองระดับเล็ก และปี้คงผู้นี้นั้น ตัวเขามีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ส่วนผลการฝึกตนด้านตัวสำนึกของเขานั้น กลับได้บรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นหก!

แดนศักดิ์สิทธิ์ญาณแห่งอาณาจักรตะวันตก ฝึกฝนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณเป็นหลัก ปี้คงผู้นี้จะต้องไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นวิญญาณโดยทั่วไปอย่างแน่นอน ผสานกับเคล็ดวิชาโจมตีวิญญาณที่แข็งแกร่ง ต่อให้เป็นนักยุทธ์ในระดับระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด ก็ยากที่จะต้านทานการโจมตีวิญญาณของเขาได้