มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 599
ปัง!

ผุ้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านล่างต่างก็ไม่กล้าที่จะไปมองภาพนั้น ต่างก็ได้หลับตาลง

“อ้าก!…..”

เสียงร้องโอดครวญดังมาจากเวทีประลอง ซุนชิงผู้นั้นไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นร่าง ถูกหลัวซิวชนเข้าให้ หลังจากที่ร้องโอดโอยก็ได้ล้มลงไปบนพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด เท้าข้างหนึ่งของหลัวซิวเหยียบลงไปบนหน้าอกของซุนชิง เขาฉีกปากยิ้ม “เจ้าแพ้แล้ว”

นี่ไม่ใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่จำเป็นต้องลงมืออย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นละก็เท้านี้ของเขาเพียงพอที่จะทำให้หน้าอกของซุนชิงทะลุ

ผู้คนที่คอยชมอยู่นั้นต่างตะลึงงัน แม้ว่าการประลองในครั้งนี้จะทำให้คนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง แต่ถ้าหากคิดดูดี ๆ แล้ว ทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังยิ่งกว่า

“เป็นเจ้าหนุ่มที่น่ากลัวมากจริง ๆ !”

ในสายตาของผู้คนจำนวนมากแฝงไปด้วยความหวาดเกรง จ้องมองไปยังหลัวซิวที่อยู่บนเวทีประลอง

คนผู้นี้รับมือกับสมบัติวิเศษชั้นสูงซึ่ง ๆ หน้า โดยแลกกับแขนทั้งสองข้าง เอาชนะซุนชิงไปได้

แม้ขั้นตอนจะดูง่ายดาย แต่สำหรับการควบคุมจังหวะของการต่อสู้นั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้

“ปณิธานของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!”

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ดี ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตัวเอง ไม่แน่ว่าจะคิดวิธีเอาชนะที่สะอาดและเด็ดขาดเช่นนี้ออกมาได้

เดิมทีตามความสามารถที่ปรากฏออกมาให้เห็นนั้น ซุนชิงอาศัยสมบัติวิเศษชั้นสูง มีความได้เปรียบ ทว่าหลัวซิวกับสามารถเปลี่ยนจุดด้อยให้กลายเป็นจุดเด่นได้ นี่ถึงเป็นจุดที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

“แต่ว่ากระดูกแขนของเจ้าหมอนี่ต่างก็ได้หักทั้งสองข้างแล้ว กลับไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิด ปณิธานไม่ต้องพูดถึงเลยจริง ๆ”

“หึ ๆ ถ้าหากมีคนขึ้นเวทีประลองในตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่แขนหักทั้งสองข้าง จักต้องแพ้อย่างแน่นอน”

ใครบางคนได้เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา แต่ไม่นานก็ถูกผู้คนที่อยู่รอบ ๆ มองอย่างเหยียดหยามจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้

“อัจฉริยะรุ่นใหม่ที่สามารถผ่านการทดสอบรอบแรกเข้ามาได้นั้น มีใครบ้างที่ไม่ใช่อัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์? คนพวกนี้ทะนงตนอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่มีทางที่จะฉวยโอกาสเล็กน้อยแบบนี้แน่”

“ถูกต้อง ยิ่งเป็นอัจฉริยะ ก็ยิ่งทะนงตน ขึ้นเวทีไปในตอนนี้ ต่อให้ชนะก็ไร้ศักดิ์ศรี”

ในขณะที่ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น ในกลุ่มที่สามก็ไม่ได้มีผู้ใดอาศัยโอกาสลงมือในขณะที่แขนทั้งสองข้างของหลัวซิวได้รับบาดเจ็บจริง ๆ

หลัวซิวกระโดดลอยตัวขึ้น กลับไปยังแท่นบัวเพลิงอัคคีของตนเอง ทันใดนั้นพลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นก็ได้จับตัวกันเข้ามาในทันที และเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บของแขนทั้งสองข้าง

จากนั้นไม่นาน แขนข้างหนึ่งของเขาก็สามารถเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายได้แล้ว เขาพลิกมือเอายารักษาตัวออกมาจากแหวนเก็บของเม็ดหนึ่งและโยนเข้าปาก

ยาวาตะทองน้ำค้างหยกระดับเจ็ด มันมีค่าอย่างมากสำหรับมกุฎยุทธ์โดยทั่วไป แต่สำหรับอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงนี้แล้ว กลับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

สำหรับหลัวซิวแล้วอาการบาดเจ็บของแขนนั้นไม่นับอะไร อาศัยพลังของสองระดับความเป็นตายเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตเพื่อฟื้นฟูลายเส้นชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บ ขอเพียงเขายินดี เขาสามารถฟื้นฟูทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที

แต่เพื่อไม่ให้เป็นการดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป หลัวซิวจึงจงใจที่จะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ช้าลง

ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความรวดเร็วในการฟื้นฟูของเขา ก็ยังเร็วกว่านักยุทธ์โดยทั่วไปอีกหลายเท่า

ในการฝึกยุทธ์ มีความรู้บางอย่างที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ด้านการรักษาตัว นักยุทธ์ที่ยิ่งมีผลการฝึกตนสูง ก็จะยิ่งบาดเจ็บได้ยาก แต่ในทางกลับกัน ทันทีที่ผู้ที่มีผลการฝึกตนอันแข็งแกร่งได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นระยะเวลาในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บก็จะช้ายิ่งกว่า

ยกตัวอย่างเช่นอาการบาดเจ็บที่เหมือนกัน ตามการฟื้นฟูโดยปกติทั่วไป มกุฎยุทธ์ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน เช่นนั้นผู้แข็งแกร่งในระดับระดับมหายุทธ์บางทีอาจต้องให้เวลาถึงสามเดือน ส่วนเจ้ายุทธจักรนั้นจะต้องให้เวลาเป็นครึ่งปีถึงจะหายดีได้

ในระยะเวลาที่ฟื้นฟูอาการเจ็บนั้น ไม่ได้มีผู้ใดมาท้าประลองในกลุ่มที่สามเลย ต่างก็ไม่ต้องการที่จะฉวยโอกาส กลายเป็นขี้ปากของผู้อื่น

หลัวซิวเองก็ผ่อนคลายไม่น้อย กวาดสายตามองไปยังเวทีประลองอื่น ๆ อย่างตั้งใจ ในนั้นได้ปรากฏยอดฝีมือที่แข็งแกร่งขึ้นมาอยู่หลายคน

หลัวซิวอยู่ในกลุ่มที่สาม ที่อยู่ใกล้ที่สุดแบ่งเป็นกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สี่

ตัวสำนึกของเขาผ่านการดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปะปนอยู่ในช่องจิตปลอม ตัวสำนึกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ได้บรรลุถึงระดับที่ทัดเทียมกับมหายุทธ์เป็นที่เรียบร้อย