ความคิดของซูจิ่นซีหมุนวนอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น นางก็คิดแผนการขึ้นมาได้ และจงใจพูดกับผู้อาวุโสไป๋ว่า
“ผู้อาวุโสไป๋ ข้าและฉีอ๋องมอบคนมีฝีมือให้ท่านไปตั้งมากมาย ถูกท่านแม่ทัพใหญ่จงจับได้แล้วหรือ? ”
ในเมื่อซูจิ่นซีเห็นความสามารถของผู้อาวุโสไป๋ และร่วมมือกับเขา ดังนั้น ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องมีความเฉลียวฉลาดไม่น้อย
ผู้อาวุโสไป๋เข้าใจความหมายของซูจิ่นซีได้อย่างรวดเร็ว
เขาตอบกลับซูจิ่นซีว่า “นางหนูจิ่นซีอย่าได้กังวล อย่างไรก็ตาม จงเนี่ยผู้นั้นเป็นคนทรยศต่อสกุลจงของข้า ข้าจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้อย่างไร! ”
“เช่นนั้นก็ดี! ” ใบหน้าของซูจิ่นซีเผยให้เห็นท่าทีพึงพอใจ
จงซูอี้ที่เดิมทีมีความมั่นใจอย่างมาก ทั้งยังคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะต้องมีกับดักรออยู่แน่นอน ทว่าทันใดนั้น เขากลับเกิดความไม่แน่ใจและความสงสัยขึ้น
หรือว่า สาเหตุที่เขาไม่ได้รับข่าวสารจากจวน เป็นเพราะผู้อาวุโสไป๋นำยอดฝีมือของซูจิ่นซีและมู่หรงฉีบุกเข้าไปทำลายที่นั่น?
แม้องครักษ์เงาแห่งสำนักโอสถสกุลจงของเขาจะมีฝีมือสูงส่ง ทว่ายอดฝีมือของมู่หรงฉีก็มีความสามารถมากเช่นกัน ทั้งยังมีคนของซูจิ่นซีช่วยเหลืออีก
ต้องทราบว่าคนของซูจิ่นซี เป็นคนของโยวอ๋อง
องครักษ์เงาและขุนพลผีของโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงมีชื่อเสียงโด่งดัง หากโยวอ๋องให้ซูจิ่นซีนำขุนพลผีจำนวนหนึ่งมาที่แคว้นหนานหลี เช่นนั้นก็ไม่อาจรับประกันได้เลยว่า องครักษ์เงาของเขาจะรับมือไหว
จริงหรือเท็จ เท็จหรือจริง กล่าวได้ว่าแผนการนี้ของซูจิ่นซียังคงมีประโยชน์ อย่างน้อยก็ทำให้จงซูอี้สับสนไปชั่วขณะ
ทว่าจงซูอี้ จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม แม้เขาจะกังวลใจ แต่เขายังขยิบตาให้องครักษ์ของเขาที่อยู่ด้านในสนามแข่งขัน
หัวหน้าองครักษ์ของจงซูอี้ได้รับสัญญาณ จึงรีบหันไปด้านนอกสนามประลอง เพื่อเตรียมไปตรวจสอบข่าวที่จวน
ในเวลานี้ แน่นอนว่าซูจิ่นซีต้องเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว เดิมทีทุกคนที่อยู่ในสนามแข่งขันต่างพากันเงียบเสียง ดังนั้นเมื่อมีคนผู้หนึ่งเคลื่อนไหว ซูจิ่นซีจึงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
“ทุกคน ยืนอยู่ที่เดิมอย่าขยับ ผู้ใดกล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว สังหารไม่ละเว้น! ” ทันใดนั้น น้ำเสียงของซูจิ่นซีก็เปลี่ยนไปราวกับเสียงเย็นชาของฆาตกร
หัวหน้าองครักษ์ที่กำลังจะเดินออกไป ตกใจน้ำเสียงเย็นยะเยือกของซูจิ่นซี จึงหยุดชะงักฝีเท้า และไม่กล้าเดินไปข้างหน้าแม้เพียงครึ่งก้าว
ที่นี่คือสนามแข่งขัน การแข่งขันเพิ่งสิ้นสุดลง ผู้เข้าร่วมแข่งขันของแต่ละแว่นแคว้นยังไม่ทันจากไป ทุกคนยังอยู่ในสนามแข่งขัน
ทว่าเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี ใบหน้าของพวกเขาพลันปรากฏความตื่นตระหนก
รวมถึงหัวหน้าสำนักแพทย์เทียนอีทั้งสองท่าน เป่ยถางเย่ ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเป่ยอี้ และตงหลิงหวงรัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉิน
ทุกคนในคำพูดของพระชายาโยวอ๋อง รวมถึงพวกเขาด้วยหรือไม่? วาจาช่างโอหังยิ่งนัก
แน่นอนว่ารวมถึงพวกเขาด้วย ซูจิ่นซีเด็ดขาดและทรงอำนาจเช่นนี้!
นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด หากผู้ใดออกไป คนผู้นั้นย่อมออกไปเพื่อส่งข่าว ส่วนจะไปส่งข่าวให้ผู้ใดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่นางสนใจ ทว่านางมั่นใจว่า หากพวกเขารีบไปส่งข่าวในตอนนี้ ต้องไม่ส่งผลดีต่อนางเป็นแน่ ดังนั้นนางไม่ใส่ใจว่าผู้ใดที่ส่งคนออกไป
ส่วนคนที่มีฐานะสูงศักดิ์อย่าง เป่ยถางเย่ ตงหลิงหวง และคนอื่นๆ …
อย่างไรก็ตาม ไม่นาน อาณาจักรเทียนเหอต้องเป็นของนางกับเยี่ยโยวเหยา ดังนั้น นางไม่อาจเป็นสหายกับคนเหล่านี้ได้ ไม่ช้าก็เร็ว นางต้องกำจัดคนเหล่านี้ เช่นนั้นจะต่างอันใด?
แม้ร่างกายของซูจิ่นซีจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้รูปร่างของนางจะดูบอบบาง แม้นางจะเป็นเพียงสตรี และแม้เวลาที่ร่างกายอ่อนแอจนต้องนั่งลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทว่าพลังอำนาจรอบตัวนางกลับไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย นางกวาดสายตาเย็นชามองไปที่ผู้คนในสนามแข่งขันทีละคน ทีละคน
หลายคนตกใจสายตาของซูจิ่นซีที่จ้องมองมา จนอดก้าวถอยหลังไม่ได้ โดยเฉพาะหนานกงหว่านเอ๋อร์ที่สองขาไร้เรี่ยวแรง และล้มลงบนพื้น
ไหวชิ่งกงจู่เม้มริมฝีปาก เหงื่อเย็นเฉียบเม็ดบางบนสันจมูก ผุดขึ้นมาเป็นชั้นๆ
พระชายาโยวอ๋องช่างน่ากลัวยิ่งนัก หากวันนี้นางสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่นี้ต่อไป หากพบเจอกับพระชายาโยวอ๋อง นางต้องหลบไปให้ไกล คนผู้นี้อันตรายเหลือเกิน อย่าได้เป็นศัตรูกับนางเป็นอันขาด
ถังเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะใช้แววตาเช่นนี้มองนาง ขาทั้งสองของนางสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “จิ่น… พี่จิ่นซี หรือว่า… หรือว่า แม้แต่ข้า ท่านก็ต้องการสังหารหรือ? ”
ซูจิ่นซีทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่ใส่ใจนาง
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จงซูอี้ไม่สนใจอันใดอีก เขาต้องการออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าที่จวนจะเกิดอันใดขึ้นก็ตาม จงซูอี้มองท่าทางของผู้อาวุโสทั้งสี่คน วันนี้ไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ ดังนั้น… ต้องชิงลงมือก่อน
ทันใดนั้น ดวงตาของจงซูอี้ก็เปล่งประกายเย็นชา ร่างของเขาเหาะไปอยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสไป๋ ก่อนจะเอื้อมมือไปบีบคอของผู้อาวุโสไป๋อย่างแรง
“จงจิ่นซี มองดูสภาพของเจ้าในตอนนี้! หากเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ อาศัยพลังสยบมังกรของเจ้า บางทีอาจต่อสู้กับข้าได้หลายกระบวนท่า ทว่าตอนนี้… หึ! ”
จงซูอี้พูดพลางจับคอของผู้อาวุโสไป๋ และเดินไปยังทางออกของสนามแข่งขันทีละก้าว
ภายในสนามแข่งขัน องครักษ์ของจงซูอี้และลูกศิษย์ที่ภักดีต่อจงซูอี้ต่างหยิบกระบี่ยาวออกมาทันที พวกเขาชี้ปลายกระบี่ไปที่ซูจิ่นซีกับผู้อาวุโสซุน และคนอื่นๆ เพื่อคุ้มกันจงซูอี้ออกไปจากสนามประลอง
ซูจิ่นซีหาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งนางยังยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
“จงซูอี้ พวกเจ้าสองพ่อลูกได้ก่อกรรมทำเข็ญ สังหารผู้คนไปมากมาย วันนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีไปง่ายๆ หรือ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เสียง ‘ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง’ ก็ดังขึ้น องครักษ์ประจำจวนฉีอ๋อง รวมถึงองครักษ์เงาและขุนพลผีจากวิหารวิญญาณพลันเหาะลงมากลางสนามแข่งขัน และยืนขวางทางออกของจงซูอี้
ไม่คิดว่าพระชายาโยวอ๋องจะนำขุนพลผีมายังแคว้นหนานหลีจริงๆ
มีคนจำนวนมากที่เคยได้ยินชื่อเสียงขุนพลผีของโยวอ๋อง ทว่าไม่เคยได้เห็นกับตา วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
เมื่อเห็นขุนพลผี จงซูอี้ก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นที่จวนอย่างแน่นอน
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ผู้อาวุโสไป๋นำคนมาเปิดโปงหลักฐานการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเขากับแคว้นไหวเจียง เหล่าลูกศิษย์ที่โกรธแค้นแคว้นไหวเจียงจำนวนมาก จึงเปลี่ยนไปยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับซูจิ่นซีและผู้อาวุโสทั้งสี่ท่าน
ทันใดนั้น จงซูอี้จึงกล่าวกับพวกเขาด้วยเสียงอันดังว่า “ลูกศิษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้ถูกนางปีศาจผู้นี้หลอกลวง พวกเจ้าเห็นหรือไม่ นางปีศาจผู้นี้เป็นคนของแคว้นจงหนิง ทั้งนางยังมีขุนพลผีของโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงอยู่ในกำมือ! โยวอ๋องคิดจะกำจัดแคว้นของพวกเรา คิดจะรวบรวมแผ่นดินไม่น้อยไปกว่าแคว้นไหวเจียง นางปีศาจผู้นี้ได้รับคำสั่งจากโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง ให้มาสร้างความแตกแยกในแคว้นหนานหลี พวกเราอย่าได้ถูกนางหลอกลวงเป็นอันขาด
นางปีศาจผู้นี้ได้ปลอมตัวมาหลายครั้งแล้ว นางสร้างเรื่องราวไว้มากมาย หรือว่าพวกเจ้าลืมไปหมดแล้ว? ผู้อาวุโสซุน ผู้อาวุโสหยู ผู้อาวุโสอู๋ พวกท่านเชื่อนางปีศาจผู้นี้หรือ? นางปีศาจผู้นี้มีวิชาพิษ ใครจะรู้ นางปีศาจผู้นี้อาจสมรู้ร่วมคิดกับผู้อาวุโสไป๋เพื่อใส่ร้ายข้าก็เป็นได้”
พูดได้ว่าความคิดของจิ้งจอกเฒ่าจงซูอี้ผู้นี้ ช่างชาญฉลาดและระมัดระวังอย่างมาก ใช้เพียงคำพูดสั้นๆ ก็พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของจงซูอี้ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความลังเล หลายคนมองซูจิ่นซีด้วยแววตาแปลกประหลาด กระทั่งผู้อาวุโสซุนและผู้อาวุโสอู๋ยังหวั่นไหวเล็กน้อย ดังที่เห็นได้จากการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา
ขณะเดียวกัน ศิษย์ของสำนักโอสถสกุลจงจำนวนมาก ต่างชี้กระบี่ยาวไปที่ซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า