“ท่านอาจารย์ชี้แนะข้าด้วย”
ซือหยูตอบกลับไป
“เหล่าอุปสรรคหรือวิบัติที่จะต้องเจอในการทะลวงพลังมีหลากหลายความเข้มข้น”
หยุนย่าสีบอก
“วิบัติของเจ้าเข้มข้นเกินไปมากจนวิบัติของเด็กสาวนั้นสลายไปเอง”
วิบัติจางตี๋เก้อมิได้ถูกใครกำจัดไปแต่มันหายไปด้วยตัวเอง
“แล้วมันจะส่งผลถึงข้าไหมท่านอาจารย์?”
ซือหยูรู้สึกถึงลางไม่ดีทุกอย่างบนโลกมีกฎเกณฑ์ หากอุปสรรคของจางตี๋เก้อสลายไป เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีราคาที่เข้าแลก
“แน่นอนอุปสรรคนางจางหายเพราะเจ้า ในอนาคต ตอนที่เจ้าเจออุปสรรคของตัวเอง พลังเหล่านั้นจะปรากฏเข้าใส่เจ้า” หยุนย่าสีมองซือหยู
เขาไม่แน่ใจอยู่แล้วว่าซือหยูจะผ่านอุปสรรคของตัวเองไปได้หรือไม่และตอนนี้เขาต้องแบกรับอุปสรรคของคนอื่นอีก มันยิ่งทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น
ซือหยูพูดไม่ออกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะรอดชีวิตหรือไม่ และตอนนี้เขาต้องก้าวข้ามอุปสรรคของจางตี๋เก้อเพิ่มขึ้นอีกโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจงอยู่ให้ห่างจากคนที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค มิเช่นนั้นมันจะตกมาถึงตัวเจ้าเอง”
หยุนย่าสีเตือน
ซือหยูใจหายแต่แม้ว่าจะต้องแบกรับอันตรายไว้มากมาย ซือหยูก็คิดอ่านได้อย่างใจเย็น
“ท่านอาจารย์ข้าจะเตรียมตัวด้วยทั้งหัวใจที่มี ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านปรับแต่งวิหคไม้ตัวนี้” เมื่ออุปสรรคของเขามาถึงการปรับแต่งวิหคไม้ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น
หยุนย่าสียื่นมือรับวิหคไม้
“ข้าจะใช้เวลาสักเจ็ดวันสิ่งนี้ใช้พลังสมาธิของข้ามาก ข้าอาจไม่มีเวลาดูแลเจ้า เจ็ดวันนี้เจ้าระวังตัวให้ดี”
เมื่อพูดจบ หยุนย่าสีแปลงกายเป็นเส้นผมเข้ารัดวิหคไม้และแฝงตัวอยู่ในศีรษะของซือหยู
“ได้เลยท่านอาจารย์!”
ซือหยูมองหยดน้ำผึ้งสีอำพันสามหยดในมือมันคือน้ำผึ้งร้อยบุพผาของจ้าวสวนบุพผา แต่ละหยดจะทำให้ระดับปัญญาของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า สิ่งนี้มาถึงซือหยูถูกเวลาพอดี!
ก่อนที่ซือหยูจะหาวิธีอื่มน้ำผึ้งร้อยบุพผาเขาดูระวังตัวมากขึ้น เขาบินไปที่ต้นไม้ยักษ์และมองเบื้องล่าง เขาหายใจแผ่วเบา
เนตรวิญญาณมองทะลวงสิ่งกีดขวางทุกสิ่งเขาเห็นทุกอย่างในระยะหลายร้อยลี้ ท่ามกลางแมกไม้หนาเขาเห็นเงาคนมากมายในป่า มีคนอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกสวมชุดสีม่วงและมีพลังชีวิตสีม่วงอยู่ด้วย พวกเขาคือศิษย์ตำหนักเมฆาม่วง ส่วนอีกกลุ่มสวมเสื้อผ้าหลากหลาย แต่ละคนมาจากต่างสำนักกัน
ขณะนี้คนกลุ่มที่สองกำลังตามล่าคนกลุ่มแรก เหล่าคนตำหนักเมฆาม่วงต้องทยอยสละชีวิตตัวเองเพื่อให้คนอื่นเหลือรอดจากการตามล่า
ความแตกต่างระหว่างพลังของสองฝ่ายมากเกินไปจนเป็นการตามล้างสังหารอยู่ฝ่ายเดียว
“ตำหนักเมฆาม่วงหรือ?”
ซือหยูมองดูเงียบๆ เขาไม่ใช่คนชอบยุ่งกับปัญหาจึงไม่คิดที่จะยื่นมือไปช่วยตำหนักเมฆาม่วงที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยบทเรียนที่ได้รับจากสำนักช่างสวรรค์ ซือหยูยิ่งระวังตัวมากขึ้น แต่เมื่อเขามองคนตำหนักเมฆาม่วงที่กำลังหนีเขาก็มองเห็นหญิงสาวงดงามที่สวมชุดสีมรกต เขากลั้นหายใจ
ลู่จือยี่!ท่ามกลางคนตำหนักเมฆาม่วงที่กำลังหนีมีลู่จือยี่อยู่ด้วย มิอาจมีสิ่งใดบดบังความสง่างามของนางได้แม้ในขณะที่ต้องหนี
มีบาดแผลมากมายบนตัวนางดวงตางดงามของนางแสดงความเหนื่อยล้า
“ศิษย์พี่ลู่มันสายไปแล้ว พวกเราไปหาศิษย์พี่กู้ไม่ทัน”
ชายหนุ่มร่างผอมที่มีคางแหลมกล่าว
ลู่จือยี่ไม่แม้แต่หันกลับนางเร่งความเร็วยิ่งขึ้น
“อย่าหันกลับไปนอกจากศิษย์พี่กู้ก็ไม่มีใครช่วยเราได้แล้ว”
ในสายตาของลู่จือยี่และคนที่แข็งแกร่งในตำหนักเมฆาม่วงกู้ไทซูคือคนเดียวเท่านั้นที่พึ่งพาได้
มันคือความเชื่อมั่นจากก้นบึ้งของหัวใจไม่เว้นแม้แต่กับลู่จือยี่
ชายหนุ่มคางแหลมลังเลก่อนจะพูด
“ศิษย์พี่ลู่บางทีศิษย์พี่กู้อาจจะไม่อยากให้พวกเราเจอเขา เราต้องคิดหาทางอื่น”
ลู่จือยี่แววตาเศร้าหมองเหล่าคนตำหนักเมฆาม่วงได้รวมตัวกันในที่หนึ่ง แต่มีเพียงคนเดียวที่หายไป นั่นคือกู้ไทซู! เขาน่าจะรู้ตำแหน่งของพวกนางเช่นกัน แต่เขาก็ทิ้งห่างจากพวกนางไปเรื่อย ๆ เขามุ่งหน้าไปยังทิศตรงกันข้าม
ตามที่คนจากสำนักอื่นบอกกู้ไทซูนั้นกำลังอยู่กับศิษย์ผู้นำของสำนักอสูรสวรรค์จงเฉินซิ่ว
จงเฉินซิ่วคือนภาจรัสแห่งตอนเหนือนางเป็นหนึ่งในสี่นภาจรัสแห่งจิวโจว ความไร้เทียมทานของนางไม่เป็นสองรองใครในจิวโจว
กู้ไทซูที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนพรสวรรค์เป็นเพียงแค่แมงเม่าหากเทียบกับนางที่เป็นดั่งจันทราไม่มีสิ่งใดที่ทั้งสองจะเทียบกันได้เลย
จงเฉินซิ่วเองนั้นเป็นที่รู้จักกันว่าคือโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักอสูรสวรรค์หลายคนเรียกนางว่าแม่มดแห่งอสูรสวรรค์
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาสำนักอสูรสวรรค์ได้ป่าวประกาศต่อวีรบุรุษทั่วโลกเพื่อเฟ้นหาคู่ครองของจงเฉินซิ่ว กู้ไทซูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เวลานี้ที่แดนมณีเขาทิ้งสหายร่วมสำนักในตำหนักเมฆาม่วงและเดินทางไปหาจงเฉินซิ่ว เป็นเรื่องที่คนตำหนักเมฆาม่วงรับได้ยาก
บอกได้เลยว่าคนตำหนักเมฆาม่วงรู้สึกอย่างไรและลู่จือยี่เองก็เป็นคนที่โศกเศร้ามากที่สุด นั่นก็เพราะว่าลู่จือยี่คือคู่หมั้นของกู้ไทซู
แม้ว่าจะไม่แปลกที่ผู้แข็งแกร่งในจิวโจวจะแต่งงานกับสตรีมากกว่าหนึ่งคนแต่ผู้ที่มีเกียรติและมีพรสวรรค์อย่างลู่จือยี่มิได้ยินดีกับความคิดนี้นัก
“หยุดพูดเหลวไหลพี่ไทซูไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าพูดหรอก”
ลู่จือยี่หันไปจ้องชายคางแหลมความดุดันในแววตานางทำให้เขาตกใจจนพูดไม่ออก
ลู่จือยี่ใจเย็นลงและพูดด้วยความเศร้า
“อย่าเพิ่งถอดใจจากที่ข้าสัมผัส เราจะถึงพี่ไทซูในอีกครึ่งวัน ถ้าเรามุ่งหน้าต่อไป พลังของพี่ไทซูจะทำให้พวกมีดสวรรค์แตกพ่ายในไม่นาน!”
พวกเขามาเจอกับศัตรูทรงพลังในสวนตำรา…ดินแดนมีดสวรรค์!
ตำหนักเมฆาม่วงถูกเคลื่อนย้ายมาในส่วนลึกสุดของสวนตำราพวกเขาใช้โอกาสนี้ชิงตำราแห่งชีวิตที่มีค่าที่สุดมา
ตำรานี้มีเนื้อหาที่สำคัญมากมันคือตำราเทพที่เจ้าตำหนักเมฆาม่วงสั่งให้นำกลับมาด้วยตัวเอง
มีตำราแห่งชีวิตหลายร้อยล้านเล่มในสวนตำราแต่ไม่มีตำราใดที่เทียบกับตำรานี้ได้สำหรับคนตำหนักเมฆาม่วง ทุกตำราในสวนตำราไร้ค่าเมื่อเทียบกับมัน มันคือตำราของนภาจรัสรุ่นก่อนแห่งทวีป ตำราแห่งชีวิตของม่อจือเต๋า!
ตั้งแต่โบราณกาลเขาคือคนแรกที่เดินบนวิถีเทพจนถึงจุดที่ได้ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ขั้นสุดยอดและได้สัมผัสกับฎีกาสวรรค์แปลงฟ้า!
ตลอดชีวิตของเขาคือตำนานเขาเกิดโดยไร้แขนขาทั้งสี่ ต้องพบกับความตาบอด มิอาจได้ยินเสียง และเป็นใบ้ เขาคือปาฏิหาริย์ที่จะคงอยู่ไปตลอดกาล!
เขาเข้าในกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัสเดียวนั่นคือการสัมผัส
ด้วยอายุร้อยปีเขาได้สัมผัสกับฎีกาสวรรค์แปลงฟ้า
ด้วยความน่าตกตะลึงในวิถีเทพเขาเอาชนะยอดฝีมือจากทั้งโลกด้วยพลังของเขาและกลายเป็นจุดสูงสุดแห่งนภาจรัส
แม้แต่ราชาเก้าเขตเองก็ต้องแสดงความนับถือต่อคนธรรมดาเช่นเขา
และก็ช่างน่าเสียดายอย่างมากที่เขาเป็นแค่คนธรรมดาอายุขัยร้อยปีคือขีดจำกัด เขาตายอย่างสงบในเวลาที่ได้มาเยือนแดนมณี
หลายพันปีผ่านมาแล้วทุกคนต่างมองหามรดกที่ม่อจือเต๋าทิ้งเอาไว้ สวนบุพผา สวนตำรา สวนสัตว์อสูร และสุสาน ทั้งหมดถูกค้นหามาก่อนแล้ว
ม่อเทียนฉวนกับคนอื่นๆ พบร่องรอยเมื่อร้อยปีก่อนและคาดเดาว่าม่อจือเต๋าอาจสิ้นลมหายใจในสวนตำรา
เขาคือนภาจรัสอันดับหนึ่งตลอดกาลผู้มีฎีกาสวรรค์ขั้นสูงสุดที่โลกรู้จัก
การเดินทางในวิถีเทพของเขามีความหมายต่อราชาเก้าเขตที่มองข้ามวิถีเทพเขายิ่งใหญ่กว่าอสูรเนรมิตรเสียอีก
และที่ลู่จือยี่ตั้งใจตำรานี้จะต้องถูกมอบให้กับกู้ไทซู ผู้มีพรสวรรค์ที่เข้าถึงฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ เขาคืออันดับสองรองจากม่อจือเต๋าตำรานี้มีควาสำคัญต่อกู้ไทซูเป็นอย่างมาก
ลู่จือยี่อยากจะส่งตำรานี้ให้กู้ไทซูด้วยมือตัวเองความปรารถนาของนางกล้าแกร่ง ตอนนี้นางยินดีสละชีวิตตัวเองมากกว่าที่จะยอมให้บุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสายตาพลาดโอกาสได้ตำราเล่มนั้น
แต่สถานการณ์ในตอนนี้ช่างเศร้าหมอง
ดินแดนมีดสวรรค์ใช้กำลังทั้งหมดในการตามล่าพวกนางแม้แต่ปี้หลิงเทียนเองก็เข้าร่วมการล่านี้ด้วย นี่เป็นเหตุให้ตำหนักเมฆาม่วงต้องถอยด้วยความพ่ายแพ้และถูกตามล่าอยู่ฝ่ายเดียว
หากเป็นแค่คนที่แข็งแกร่งทั่วๆ ไป ลู่จือยี่คงไม่ต้องกลัวเกรงเพราะพลังระดับเก้าของนาง แต่อีกฝ่ายกลับเป็นสุดยอดแห่งดินแดนมีดสวรรค์ ผู้มีกายาวิญญาณอย่างปี้หลิงเทียน!
ข่าวลือกล่าวว่าเขาไม่เคยพ่ายแพ้แม้สักครั้งในดินแดนมีดสวรรค์แม้จะเป็นการต่อสู้กับเจ้าดินแดนมีดสวรรค์ เขาก็ทนรับได้ถึงสิบกระบวนท่าโดยไม่เสียเปรียบ
พลังอันน่าตกตะลึงของเขาสามารถเทียบกับคนเดียวเท่านั้นในดินแดนพรสวรรค์นั่นคือกู้ไทซู!
มีเพียงคนที่แข็งแกร่งถึงที่สุดอย่างปี้หลิงเทียนเท่านั้นที่ทำให้คนตำหนักเมฆาม่วงหนีได้ถ้าหากไร้ซึ่งปี้หลิงเทียน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหนีเลย
ตำราแห่งชีวิตของม่อจือเต๋าคือตำราเทพเดียวที่มีสองตำราอยู่ด้วยกัน
ตำราที่บันทึกการบรรลุของม่อจือเต๋านั้นแบ่งเป็นตำราหยินและตำราหยางแต่ละตำราจะมีเส้นทางวิถีเทพที่แตกต่างกันของม่อจือเต๋าบันทึกเอาไว้
ลู่จือยี่ได้มาเพียงตำราหยางและตำราหยินนั้นตกอยู่ในมือปี้หลิงเทียน เขาต้องถอยกลับไปอ่านตำราหยินและปล่อยโอกาสให้ลู่จือยี่หนี มิเช่นนั้นถ้าหากปี้หลิงเทียนเป็นคนตามล่าตั้งแต่แรกก็จะไม่มีใครรอดออกมาได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกนางจากเมฆาม่วงก็สูญเสียคนไปมากมาย เพราะแม้ว่าปี้หลิงเทียนจะไม่ลงมือ อันดับสองแห่งดินแดนมีดสวรรค์อย่างเฉียนเฟิงก็เป็นผู้นำกลุ่มตามล่า พลังของเฉียนเฟิงนั้นน่าสะพรึงกลัวเช่นกัน เขาไม่เคยแพ้ผู้ใดนอกจากปี้หลิงเทียน บางคนกล่าวว่าเฉียนเฟิงนั้นมีพลังเทียบได้กับกู้ไทซูด้วย
นอกจากเฉียนเฟิงยังมีจ้าวเทวะระดับแปดอีกหลายคนที่ทั้งแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว
ถ้าหากจำหนักเมฆาม่วงร่วมมือกับตำหนักโลหิตพวกเขาอาจจะมีโอกาสต้านทานเหล่ายอดฝีมือดินแดนมีดสวรรค์ได้ แต่ตำหนักเมฆาม่วงเพียงลำพังนั้นนับว่าไร้พลัง
“ลู่จือยี่เจ้าจะหนีไปไหนพ้น?”
เฉียนเฟิงมีผมสั้นสีเงินและดวงตาที่น่ามองเขาหน้าแดงเมื่อมองเรือนร่างอันงดงามของลู่จือยี่
สายตาเขาดูไม่ประสงค์ดีนัก พรึ่บ!
เขาเรียกโล่สีขาวมุกออกมามันปล่อยแรงกดดันวิญญาณออกมามาก พลังวิญญาณจากสิ่งรอบข้างถูกดูดเข้ามายังโล่ชิ้นนี้
“ฟ้าดินคุมขัง!”
โล่หายไปในหมู่เมฆา
เส้นสายมากมายกระจายออกมาจากโล่พวกมันลงมาปกคลุมปิดพื้นที่ในระยะแสนลี้
ลู่จือยี่ตะโกน
“ระวัง!พวกมันคือเศษสมบัติภูติ ใช้วิชาหลบเดี๋ยวนี้ ใช้ทุกอย่างที่พวกเจ้ามี!”
ลู่จือยี่กดท้องด้วยดัชนีพลังชีวิตในร่างไหลออกมาต้านทานพลังของโล่ เสียงคลื่นอากาศไหลเวียนแผ่ออกมาจากทั้งร่างกายนาง นางทะยานฟ้าไปไกล
มีจ้าวเทวะระดับแปดราวห้าคนที่ใช้วิชาหนีได้แบบนางพวกนางพุ่งทะยานไปดั่งลำแสงตะวัน ส่วนคนอื่นนั้นติดอยู่ข้างใน
เฉียนเฟิงไม่ผิดหวังมันเป็นอย่างที่เขาต้องการพอดี
“ไม่ต้องสนใจพวกในกรงขังจับตัวลู่จือยี่แล้วแย่งตำราหยางมาให้ได้ก่อน!”
สายตาเฉียนเฟิงยังคงจับจ้องลู่จือยี่เขาไม่เคยละสายตาไปจากนางแม้สักครั้ง
ความคาดหวังลุกโชนในดวงตา
“รับทราบ!”
ด้านหลังเขาจ้าวเทวะระดับแปด สิบคน จ้าวเทวะระดับเจ็ด ยี่สิบคน และจ้าวเทวะระดับหก หกสิบคนได้เข้าล้อมกันเป็นครึ่งวงกลมไล่ล่าลู่จือยี่
ลู่จือยี่ตะโกน
“ใช้วิชาลับหนีไปให้ได้!”
ฟึ่บ!
หลายคนทะยานผ่านขอบนภาอีกครั้งลู่จือยี่กับสหายของนางมุ่งหน้าตรงไปหากู้ไทซูโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน
เฉียนเฟิงไม่ขยับไปไหนเขายิ้มเล็ก ๆ “ไล่พวกมันต่อไปร่างพวกมันเหนื่อยล้าเต็มที เราก็แค่อย่าคลาดจากพวกมัน!”
การไล่ล่าดำเนินต่อไปสามชั่วโมง
หลังจากใช้วิชาลับลู่จือยี่กับสหายร่วมสำนักได้เดินทางผ่านระยะที่มีแต่เทพเจ้านับได้ เหล่าต้นไม้รอบ ๆ มีขนาดเล็กลงมาก แทบจะสูงไม่ถึงร้อยศอก
พวกเขามาถึงส่วนนอกสุดของสวนตำราอีกไม่นานจะได้พบกับกู้ไทซู
แต่การใช้วิชาลับอย่างต่อเนื่องทำให้พลังหดหายแรงกายของพวกเขากำลังจะหมด
ลู่จือยี่ร่างชุ่มเหงื่อเสื้อผ้าเปียกไปทั้งตัว ริมฝีปากแดงหายใจแผ่วเบา นางเหนื่อยล้าถึงขีดสุด
แววตาของนางหม่นหมองแม้จะใช้ทุกวิชาที่มี นางก็มิอาจหนีจากการไล่ล่าของศัตรูได้
ฉั่วะ!
รอยแยกมิติมากมายฉีกออกลู่จือยี่เบิกตากว้าง
คนกลุ่มใหญ่ก้าวออกมานำโดยเฉียนเฟิง เขายิ้มเบา ๆ
ลู่จือยี่ตัวแข็งทื่อ
“พลังมิติ?ไม่สิ! มันเป็นพลังจากของวิเศษ!”
ใครเปิดมิติให้พวกมันกัน?มีอสูรเนรมิตรอยู่ที่นี่รึ?
แดนมณีห้ามอสูรเนรมิตรในการเข้ามาเยือนเพราะอสูรเนรมิตรอาจมีพลังวิเศษที่คอยช่วยเหลือคนอื่นได้
“ได้เวลาแล้วจับมัน”
เฉียนเฟิงยิ้มอย่างมั่นใจเขามองตามเรือนร่างอันน่าประทับใจของลู่จือยี่
ด้วยกำลังจ้าวเทวะระดับแปดสิบคน และจ้าวเทวะระดับเจ็ดมากกว่ายี่สิบคนกับจ้าวเทวะระดับหกอีกกลุ่มใหญ่ พวกเขาปิดล้อมลู่จือยี่ที่เหนื่อยล้าและสหายของนาง พวกนางไร้ทางหนี ไม่มีใครกุมชะตาชีวิตของตัวเองได้อีกแล้ว…นอกจากเฉียนเฟิง
“ลู่จือยี่ส่งตำราหยางมาซะ ผนึกแก้วกำเนิดของเจ้าแล้วตามข้ามา แล้วข้าจะปล่อยคนของเจ้าไป มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกมันก่อน”
เฉียนเฟิงจ้องลู่จือยี่
แก้วกำเนิดนั้นไม่ต่างจากจุดกำเนิดพลังของเหล่าภูติหากผนึก พลังทั้งหมดของนางจะใช้ไม่ได้ นางจะไม่ต่างจากคนธรรมดา
เฉียนเฟิงสั่งให้ลู่จือยี่ตามเขาไปเจตนานั้นชัดเจน เขาต้องการนาง
“อย่าคิดว่าจะได้ตำราหรือตัวข้าเลย!”
ลู่จือยี่หนักใจนางกำตำราหยางในมือแน่น พลังชีวิตที่หลงเหลือไหลเวียนไม่ขาดสาย
ตำราหยางถูกทำลายได้เมื่อนางอัดพลังและนางจะปลิดชีวิตตนเองทันที
เฉียนเฟิงพูดอย่างไม่แยแส
“เจ้าจะพูดจริงเร้อ?ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทำลายตำราหยาง เจ้าอยากจะให้มันกับกู้ไทซูสินะ? ถ้าเขาพลาดโอกาสทองนี้ไปเล่า?”
ลู่จือยี่กำหมัดราวกับถูกแหย่จุดอ่อนแน่นอนว่านางจะไม่ทำลายตำราเพื่อกู้ไทซู
“เจ้าอ่านตำราแล้วจำเนื้อหาไว้ได้ตราบเท่าที่ข้าพอใจ ข้าก็ไม่ติดใจที่เจ้าจะไปเล่าให้กู้ไทซูฟัง”
เฉียนเฟิงกอดอกมองลู่จือยี่ด้วยความมั่นใจสูงสุดเหมือนกับว่านางได้อยู่ในมือเขาแล้ว
“ลู่จือยี่หญิงสาวที่เก่งกล้าที่สุดในดินแดนพรสวรรค์ มีเพียงเจ้าที่คู่ควรแก่ข้า!”
เฉียนเฟิงแววตาร้อนผ่าวไม่มีสิ่งใดขวางเขาได้อีกแล้ว
“เจ้ารักกู้ไทซูมากไม่ใช่รึ?ตอนนี้ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า! ถ้าเจ้าทำให้ข้ามีความสุขและทำตามคำสั่งข้าแต่โดยดี ข้าจะให้เจ้ากลับไปเล่าเรื่องตำราหยางกับมัน มิเช่นนั้นกู้ไทซูจะพลาดตำราหยาง” ความโกรธแค้นแสดงจากทั้งใบหน้าอันงดงามของลู่จือยี่แต่นางกลับเงียบอย่างประหลาด