บทที่ 107 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 107 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (6)
เหมือนกับที่ลั่วจื่อหานพูด หลังจากที่เขาอธิบายเค้าโครงของห้องให้เธอฟังแล้ว กำชับนิดหน่อยแล้วก็ตัดสินใจขับรถจากไป แม้จะรู้สึกหิวและเกรงใจอยู่บ้าง อี้เป่ยซีก็ยังพยักหน้าแน่วแน่ ส่งเขาขึ้นรถ
“อาลัยอาวรณ์ฉันขนาดนี้เลยเหรอ?” ลั่วจื่อหานหัวเราะพลางกอดเธอ สูดหายใจลึก “อยากให้ฉันอยู่ต่อเหรอ?”
“เชอะ” เธอยิ้มเอ่ย “อย่าฝันไปหน่อยเลย”
“เป่ยซี เธอเป็นแบบนี้ดีจังเลย ดีมากๆ เลย”
“ฉันเป็นแบบไหนก็ดีทั้งนั้น ดึกมากแล้ว นายรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ลั่วจื่อหานจึงปล่อยมือตัวเอง มองลึกเข้าไปในดวงตาของอี้เป่ยซี ไม่ได้พูดอะไรลูบผมของเธอ นั่งที่เบาะคนขับ ออกไปอย่างสบายใจ อี้เป่ยซีถอนหายใจ เดินกลับเข้าไป ทันทีที่เข้ามาก็รู้สึกถึงกลิ่นไอของลั่วจื่อหานที่หนักหน่วงโอบล้อมตัวเธอ
ราวกับว่าเขาอยู่ข้างเธอตลอดเวลาและกอดเธอไว้ รู้สึกสบาย รู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกอ่อนล้าในตอนแรกมลายหายไปทันตา ไม่มีความรู้สึกง่วงเลยสักนิด
เดินอยู่ในห้องรับแขกสักพัก ก็กอดหมอนนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟาครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจ ขึ้นไปนอนพักผ่อนบนเตียงสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
ห้องหนังสือของลั่วจื่อหาน…เธอหยุดชะงักเมื่อเดินผ่าน มองดูประตูสีขาวที่ปิดสนิท
เขาก็ไม่ได้ห้ามเธอเข้าไป ใช่หรือเปล่า…
แบบนี้มันไม่ค่อยดีมั้ง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบ้านของคนอื่น
แม้ว่าจะโน้มน้าวตัวเองแบบนี้ อี้เป่ยซีก็ยังวางมืออยู่บนลูกบิดประตู บิดแผ่วเบา
เอ๊ะ ประตูบานนี้เปิดเองแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย ในเมื่อฟ้าเป็นใจ งั้นก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรลั่วจื่อหานก็บอกว่าเขาไม่ค่อยอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่น่าจะมีของที่สำคัญถึงขั้นคอขาดบาดตายมั้ง
เธอกัดริมฝีปาก ต้องยอมรับว่าเธออยากรู้อยากเห็นทุกเรื่องของลั่วจื่อหานมาก
เธอเหมือนถูกปอกเปลือกออกทีละชั้น เขารู้หมดทุกอย่างทั้งข้างนอกและข้างใน แต่ว่าเธอกลับไม่เข้าใจและไม่รู้จักเขาเลย
นิ้วที่เรียวยาวกดปุ่มล็อค อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก การตกแต่งของห้องหนังสือไม่แตกต่างจากด้านนอกเลย มีสีขาวดำเป็นหลัก มีเพียงตู้ด้านข้างที่เป็นขาวขุ่น
เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เดินไปข้างหน้า ตุ๊กตาเซรามิกตัวจิ๋วตัวหนึ่งมีลักษณะเหมือนกับของขวัญวันเกิดที่ให้เธอก่อนหน้านี้ ยิ้มด้วยดวงตากลมโต
อี้เป่ยซีก็ยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเช่นกัน มองดูคอลเลคชั่นที่กระจัดกระจายอยู่ในตู้ มันล้วนเป็นงานฝีมือขนาดเล็ก ตุ๊กตาที่กำลังยิ้มอย่างสวยงามดูเหมือนคนในกระจกที่เธอมองเห็นทุกวัน หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างประหลาด เอียงศีรษะมองดูหนังสือบนชั้นวางหนังสือ สันหนังสือที่เผยออกมาด้านนอกนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเนื้อหาของการจัดการเศรษฐศาสตร์
‘ช่างน่าเบื่อจริงๆ’ เธอไล่มือไปตามหนังสือแต่ละเล่ม รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่โค้งเว้า สายตาหยุดอยู่ที่มุมบนสุดของชั้นวางหนังสือ เขย่งเท้าหยิบลงมา
หนังสือค่อนข้างเก่า ดูลักษณะแล้วผ่านการเปิดอ่านมามากแต่ยังรักษาไว้อย่างดี เมื่อเปิดดูกลับเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่เงียบสงบรูปหนึ่ง
‘ลั่วจื่อหานหัดวาดรูปด้วยเหรอ? ทำไมถึงมีหนังสือวิชาการแบบนี้’ เธอพลิกผ่านสองสามทีก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตราประทับร่วงลงมาจากหนังสือ
‘นี่มัน…’ อี้เป่ยซีตรวจดูอย่างละเอียด ตราประทับของจื่อจวีหานซื่อ
‘คราวก่อนก็เจอลั่วจื่อหานที่งานแสดงภาพวาด เขาจะต้องชอบจื่อจวีหานซื่อด้วยแน่ๆ’ วางของกลับไปที่เดิมด้วยความระมัดระวัง ห้องหนังสือราวกับว่าไม่มีอะไรน่าดูแล้ว
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นฉับพลัน อี้เป่ยซีที่เดิมทีรู้สึกละอายใจอยู่แล้ว หลังจากเห็นสายเรียกเข้าก็ตกใจจนโทรศัพท์มือถือแทบร่วงลงพื้น เธอคว้าหมับทันที “ว่าไง?”
“ลืมบอกเธอไป ภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่ส่งให้เธอคราวก่อน ยังอยู่ในห้องวาดรูปของฉัน เธอจะไปดูก็ได้”
“อ๋อๆๆ งั้นฉันก็ต้องไปดูสักหน่อย มี…เรื่องแค่นี้เหรอ”
คนที่ปลายสายหัวเราะ “อืม อย่าลืมปิดประตูห้องหนังสือให้ดีล่ะ ชั้นล่างสุดของชั้นวางหนังสือยังมีอีกหลายเล่ม”
อี้เป่ยซีรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เธอแอบดูโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแต่กลับถูกเจ้าของจับได้แบบนี้ เธออยากวางสายทันทีเสียจริง สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าแล้วตอบไป “ฉันรู้แล้ว ราตรีสวัสดิ์” เก็บโทรศัพท์มือถือทันที และไม่สนใจปฏิกิริยาของฝ่ายชายอีก วิ่งออกไปจากห้องหนังสือราวกับกำลังหลบหนี
‘เขารู้อยู่แล้วเหรอว่าเธอจะเข้ามา? เธอแสดงออกว่าสนใจเรื่องของเขาอยู่เสมองั้นเหรอ?’ กุมหน้าผาก แต่ก็ยังเดินไปที่ห้องวาดรูป
ห้องวาดรูปของลั่วจื่อหานสะอาดมาก ทุกอย่างที่มองเห็นได้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเข้าประตูมา ด้านซ้ายมือเป็นเหมือนสถานที่ไว้เล่นปะติมากรรมเครื่องปั้นดินเผา ด้านขวามือคือเครื่องมือไม้ ภาพวาดนั้นอยู่ตรงกลางห้องตรงข้ามหน้าต่าง หันหน้าให้ประตู
ราวกับว่าได้เห็นแสงของวันใหม่ที่เปี่ยมด้วยความหวังอีกครั้ง เหมือนว่าทุกลายเส้นพู่ของกันสีส้มเหลืองล้วนเป็นพลังแห่งความหวัง อี้เป่ยซีเดินเข้าไปใกล้ ดูภาพวาดนั้นอย่างละเอียด ลักษณะของลั่วจื่อหานที่กำลังวาดรูปผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว ท่าทางที่มองผืนผ้าใบอย่างจริงจัง แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนใบหน้าของเขารวมถึงขนเส้นบางๆ นิ้วเรียวยาวและขาวซีดที่จับพู่กันนั้นฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บนผืนผ้าใบ กำลังบอกคนคนหนึ่งว่าทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นใหม่ ปัจจุบันคือวันใหม่ ปัจจุบันคือความหวัง
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ อี้เป่ยซีก็รู้สึกจุก ลั่วจื่อหานทำให้เธอมากมายขนาดนี้ เธอนั่งอยู่บนม้านั่ง เท้าศีรษะและมองไปรอบๆ กล่องไม้ใบหนึ่งดึงดูดสายตาเธอ เดินเข้าไปหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มันเป็นกล่องหุ่นดินน้ำมัน หุ่นดินน้ำมันทั้งกล่องมีหน้าตาคล้ายเธอมาก มันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงนั้น อี้เป่ยซีหยิบตัวหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนมือ
เธอหยิบหุ่นดินน้ำมันทุกตัวออกมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ถ้ามองผ่านๆ ทุกตัวก็เหมือนกันหมด ถ้ามองอย่างละเอียดก็จะสามารถบอกความแตกต่างได้ ตัวนั้นดวงตาเอียงเล็กน้อย ตัวนั้นสีไม่สม่ำเสมอ ส่วนโครงร่างตัวนั้นก็หยาบไป
ที่แท้ลั่วจื่อหานเป็นคนทำของขวัญวันเกินชิ้นนั้นด้วยตัวเอง
ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกซาบซึ้งมาก เขาใส่ใจเธอมากจริงๆ ใส่ใจมากๆ
‘อี้เป่ยซี เธอควรจะตอบแทนอย่างไร หลังจากที่เธอเข้าใจเจตนาของเขาแล้วคิดจะทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไรและสามารถทำอะไรได้บ้าง’
“ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่พูดกับตัวเองหลายรอบแล้วว่าทำไม่ได้ ทำไมถึงยังคิดว่าพรุ่งนี้ไม่ใช่จุดจบ ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ นึกว่าจะจากไปได้โดยไร้ความเจ็บปวด แต่ก็ดึงคนข้างกายมาติดกับด้วยกันแล้ว อี้เป่ยซี ตอนนี้เธอเห็นแล้วสินะ มีความสุขแล้วสินะ”
ทันใดนั้นเธออยากจะปัดทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งไปให้หมด ต้องการจะฉีกภาพวาดที่สวยงามนั้นทิ้งซะ เธอควรจะแบกรับบ่วงไว้ ต้องแบกรับบ่วงไว้ จะดึงคนอื่นมาทุกข์ทรมานกับเธอไม่ได้ และจะให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจไม่ได้เช่นกัน
“ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีวางมืออยู่บนหัวของตุ๊กตาตัวหนึ่ง สัมผัสด้วยความอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ในดวงตาก็พยายามเผยความอ่อนโยนด้วย “ฉันควรจะทำยังไงดี นายบอกฉันได้ไหม ฉันจะต้องทำยังไง จะต้องทำยังไงบ้าง?”
————