บทที่ 96 เกื้อหนุนกันและกัน

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1

บทที่ 96 เกื้อหนุนกันและกัน โดย Ink Stone_Romance

กัวต้าโย่วไม่รู้จักชนิดใบชาได้ แต่ไม่อาจไม่รู้รสชาติอาหาร เขาอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต เขายังไม่เคยกินเนื้อที่สดใหม่ถึงเพียงนี้มาก่อน หากเนื้อนี้เรียกว่าเนื้อหมูตาย เช่นนั้นในใต้หล้าก็คงไม่มีภัตตาคารใดที่มิได้ใช้หมูตายแล้วกระมัง

รสชาติดีเหลือเกิน!

กัวต้าโย่วกินจนลืมทุกสิ่งอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าครอบครัวที่แร้นแค้นอย่างสกุลอวี๋มีเงินมาซื้อเนื้อมากมายเพียงนี้ได้อย่างไร

ตู้จินฮวาเองลืมตัวเช่นกัน ปากของนางกัดเนื้อ มือข้างหนึ่งคว้าเนื้ออีกชิ้น ตะเกียบก็ยังคีบเนื้อ อาหารซึ่งจัดมาอย่างสวยงามถูกตะเกียบของนางเขี่ยไปเขี่ยมา เมล็ดข้าวจากปลายตะเกียบปะปนลงไปในอาหาร

อวี๋ซงโมโหจนหน้าเขียว

กว่าลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่จะทำอาหารเสร็จและถือไข่ตุ๋นออกมา สภาพอาหารบนโต๊ะก็ดูย่ำแย่ไปเสียแล้ว

ป้าสะใภ้ใหญ่เค้นกำปั้น สูดหายใจเข้าลึกๆ

“ไข่ตุ๋น! ข้าอยากกิน! เอาให้ข้าเร็ว!” กัวเซี่ยนเฉี่ยวเห็นไข่ตุ๋นสีเหลืองนวลในมือป้าสะใภ้ใหญ่

ไข่ตุ๋นนี้ใส่หอยตลับ ทำให้ไม่เพียงมีกลิ่นหอมของไข่ ยังมีกลิ่นหอมอาหารทะเลอีกด้วย ทั้งยังใส่ต้นหอมซอยและน้ำมันงา รสชาติดีอย่างหาคำพรรณนามิได้

เจินเจินน้อยมองไข่ตุ๋นด้วยความตื่นเต้น

กัวเซี่ยนเฉี่ยวมิทันรอให้ป้าสะใภ้วางไข่ตุ๋นลง ก็ยื่นมือไปแย่ง

ทันใดนั้นเอง เถี่ยตั้นน้อยก็ลุกขึ้นยืน คว้าไข่ตุ๋น แล้วตักไข่และหอยตลับเกือบทั้งหมดขึ้นมาช้อนใหญ่ใส่ชามของเจินเจิน

เมื่อเจินเจินได้ไข่ตุ๋นมา ก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย

กัวเซี่ยนเฉี่ยวไม่พอใจ กอดชามไข่ตุ๋นซึ่งถูกตักออกไปจนเกือบหมด แล้วถลึงตาใส่เถี่ยตั้นน้อยด้วยความขุ่นเคือง

เถี่ยตั้นน้อยมิได้ใส่ใจนาง เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาเขี่ยก้างปลาให้เจินเจิน

นอกจากกัวเซี่ยนเยว่ที่ยังดูสำรวมแล้ว คนสกุลกัวอีกสามคนที่เหลือต่างกินกันอย่างตะกละตะกลาม

อาหารเย็นมื้อนี้ คนสกุลอวี๋กินไปไม่มาก อาหารทั้งหมดล้วนลงไปอยู่ในท้องของคนสกุลกัวทั้งสามคน

หากลุงใหญ่มิได้บอกว่าที่บ้านยังมีเนื้ออีกมาก พรุ่งนี้จะทำให้กิน คนสกุลอวี๋ก็เดาว่าพวกเขาคงจะกินจนท้องแตกคาโต๊ะเลยก็เป็นได้

สกุลกัวยากจนแต่ทระนงตน ความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเท่าไรนัก โดยมากตู้จินฮวาจะนำเงินไปซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆ ไหนเลยจะมีเงินเหลือมาซื้อเนื้อซื้อปลาได้เล่า?

ทั้งสามกินจนท้องกลมป่อง เดินมือยันกำแพงกลับห้องไป

กัวเซี่ยนเยว่มีสีหน้ากระดากใจ นางวางตะเกียบลง กล่าวเสียงค่อยว่า “ข้าก็อิ่มแล้ว” จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับห้องไปอย่างสง่างามประหนึ่งคุณหนูจากเมืองใหญ่

คนสกุลอวี๋มองซากอาหารด้วยสีหน้าเหลืออด

ป้าสะใภ้ใหญ่หลับตาลง “ข้าว่าพวกเจ้ายังกินไปไม่เท่าไร ในครัวยัง…”

กล่าวออกไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็มีเสียงของตู้จินฮวาดังออกมาจากห้องของสามีภรรยาสกุลกัว “ยังมีอาหารเหลืออยู่อีกหรือ?”

เล็บของป้าสะใภ้ใหญ่แทบจะจิกลงไปในเนื้อแล้ว แต่นางยังกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ไม่มีเหลือแล้ว ในครัวไม่มีอาหารแล้ว พรุ่งนี้จะทำใหม่”

ตู้จินฮวาพึมพำด้วยความไม่พอใจ

คนสกุลอวี๋มิได้กล่าวอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้ากินข้าวที่เหลือในชาม

“พี่สะใภ้ใหญ่ ให้เจินเจินไปบ้านข้าก็ได้” นางเจียงกล่าวกับป้าสะใภ้ใหญ่

ในบ้านมีผู้ที่ชอบแย่งอาหารอย่างกัวเซี่ยนเฉี่ยว เจินเจินกินไม่ทันสักที มิใช่เพราะป้าสะใภ้ใหญ่ขี้เหนียวแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะกัวเซี่ยนเฉี่ยวกินเท่าไรก็ไม่อิ่ม กินมากเกินไป! กินแบบไม่แบ่งใคร!

ป้าสะใภ้ใหญ่พยักหน้าให้นางเจียงพาเถี่ยตั้นน้อยและเจินเจินกลับบ้านไป

อวี๋หวั่นอยู่ช่วยป้าสะใภ้ใหญ่เก็บกวาดห้องครัว

ป้าสะใภ้ใหญ่ต้มน้ำร้อนหนึ่งหม้อใหญ่ โดยมีอวี๋หวั่นนั่งเติมไฟอยู่หน้าเตา

ลุงใหญ่เดินถือไม้เท้ากะโผลกกะเผลกเข้ามา

ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ยอมสนใจเขา

เขาจึงเดินอ้อมไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วใช้นิ้วจิ้มเอวของนาง

อวี๋หวั่นบังเอิญไปเห็นเข้า เธอจึงรู้สึกว่าท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ของลุงใหญ่ดูตลกดี

ป้าสะใภ้ใหญ่ปัดมือออกด้วยความรำคาญ

“ยังโกรธอยู่หรือ” ลุงใหญ่กล่าวเสียงเบา

ป้าสะใภ้ใหญ่โยนผ้าขี้ริ้วไว้ข้างเตาไฟ พร้อมกับหันหลังไปถลึงตาใส่เขา “เป็นความผิดของท่าน! เหตุใดต้องชวนพวกเขามา? ให้พวกเขาไปอยู่ในเมืองก็ดีแล้วไม่ใช่รึ?”

“ชู่ๆๆ เบาเสียงหน่อย” ลุงใหญ่กระซิบ พลางทำท่าทางให้เบาเสียงลง “อย่างไรเสียก็เป็นน้องชายของเจ้า ครอบครัวเขาตกที่นั่งลำบาก ข้าจะอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง บ้านของน้องเขยยังซ่อมไม่เสร็จ เข้าไปอยู่ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”

ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วบ้านเราไม่พังหรืออย่างไร? คานก็หัก! ตอนนี้เสี่ยวเฟิงก็ยังต้องซ่อมอยู่เลย! ลั่วต้งเหลียงปัดภาระไปได้ แต่ท่านก็ไปรับภาระนี้มาแทน!”

ป้าสะใภ้ใหญ่โกรธขึ้นมาน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ…

อวี๋หวั่นพยายามคิดว่าไม่มีใครรับรู้การมีอยู่ของเธอ ฉันคืออากาศ ฉันคืออากาศ ฉันคืออากาศ…

สายตาของลุงใหญ่ก็เหลือบไปเห็นอวี๋หวั่นซึ่งแทบอยากจะหดตัวเข้าไปอยู่ในเตาไฟให้รู้แล้วรู้รอด เขากระแอม ขยับเข้าไปใกล้ป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วใช้ระดับเสียงที่คิดว่าได้ยินกันแค่สองคน “เจ้าผ่านความยากลำบากมากับข้าตั้งหลายปี ไม่อาจสู้หน้าบ้านเดิมเจ้าได้ ทุกวันนี้พวกเราไม่ได้ลำบากแล้ว ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าถูกดูแคลนอีก เจ้ามีคนคอยสนับสนุน เจ้าสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในบ้านสกุลอวี๋ จะรับใครมาหรือจะส่งใครกลับ จะให้อยู่นานเท่าไร ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ”

ลุงใหญ่ไม่เคยเรียนหนังสือ ชีวิตนี้ไม่เคยพบกับความสุขสบาย แต่เมื่อได้อยู่อย่างสุขสบายขึ้นมา จิตใจก็คิดถึงคนอื่นเสมอ

ป้าสะใภ้ใหญ่หันหน้ามา ขอบตาแดงก่ำ

อวี๋หวั่น ‘ทำไมต้องมานั่งดูฉากในละครรักตรงนี้ด้วยนะ?’

นี่น่าจะเรียกว่าการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันสินะ?

ดีจัง

ในโลกเดิมของเธอยังหาไม่พบ ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะโชคดีพอที่จะได้พบกับคนที่รู้จักและเชื่อมั่นในกันและกันเช่นนี้หรือไม่

หลังจากที่อวี๋หวั่นเก็บเตาไปเสร็จเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นจะกลับบ้าน

อวี๋เฟิงจะไปส่งเธอ แต่กลับถูกกัวต้าโย่วเรียกเอาไว้เสียก่อน

“รอข้าก่อน เดี๋ยวข้าไปส่ง!” อวี๋เฟิงรีบมาบอก

อวี๋หวั่นส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม หมู่บ้านเล็กแค่นี้ ต้องไปส่งด้วยหรือ?

อวี๋หวั่นเปิดประตูบ้าน

เมื่ออวี๋ซงซึ่งถูกป้าสะใภ้ใหญ่บังคับให้นอนรักษาแผลอยู่นั้น ได้ยินเสียงกลอนประตู เขาก็ลืมตาขึ้น เลิกผ้าห่มแล้วลงมาจากเตียง

แม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอากาศถึงพลันหนาวขึ้นมา เกล็ดหิมะเล็กๆ ปลิวว่อนไปในอากาศ

อวี๋หวั่นกระชับเสื้อคลุมผ้าฝ้าย เดินออกมาจากบ้านเดิมสกุลอวี๋ ทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู ก็เหลือบไปเห็นเงาของคนผู้หนึ่งซึ่งทอประกายดุจแสงจันทร์

อวี๋หวั่นจ้องมองคนผู้นั้น “…คุณชายเยี่ยน”

เธอเดินไปด้านหน้าอีกสามสี่ก้าว เพื่อให้แน่ใจว่ามิได้จำคนผิด เธออดประหลาดใจไม่ได้ “ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่? มาอยู่ตรงนี้นานหรือยัง?”

มือข้างหนึ่งของเยี่ยนจิ่วเฉาถือไม้เท้า มืออีกข้างหนึ่งถือผ้าคลุมเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋หวั่น เขาก็ส่งเสียง ‘หึ’ แล้วสะบัดผ้าคลุมไปที่อวี๋หวั่นอย่างเย็นชา ท่าทางรังเกียจเช่นนี้ของเขา ดูราวกับว่าเขากำลังเขวี้ยงสิ่งที่ตนไม่ชอบทิ้งไป แต่กลับเขวี้ยงได้แม่นยำยิ่งนัก ผ้าคลุมไปคลุมตัวอวี๋หวั่นพอดิบพอดี

ทันใดนั้นอวี๋หวั่นพลันรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นมา

บนผ้าคลุมยังหลงเหลือความอบอุ่นจากร่างกายของเขาอยู่ ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และกลิ่นของยาเจือปน

ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงร่างกายที่อบอุ่นเสียแล้วสิ…

“ท่าน…” อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “มารอข้าหรือ?”

เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าต้องเปลี่ยนยา เจ้าไม่รู้หรือ!”

“นั่น…ไม่ได้บอกว่าจะให้ลุงวั่นทำหรอกหรือ?” อวี๋หวั่นกล่าว

“เขาเป็นหมอหรืออย่างไร?” น้ำเสียงของเยี่ยนจิ่วเฉาเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม

หากเป็นเมื่อก่อน อวี๋หวั่นคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่เขาพูดกับเธอเช่นนี้ แต่ว่าวันนี้ อวี๋หวั่นเพียงแต่ยิ้มมุมปากน้อยๆ “รอข้ามานานแล้วหรือ?”

“ไม่ใช่สักหน่อย! ฮัดชิ่ว!”

การจามของเขาทรยศเขาเสียแล้ว

สายตาของอวี๋หวั่นมองไปยังมือของเขาซึ่งอยู่ในความหนาวเหน็บเป็นเวลานานจนแข็งทื่อ และพื้นซึ่งมีร่องรอยของการเดินเหยียบไปมา เธอจึงยกมือขึ้นจับผ้าคลุม

เยี่ยนจิ่วเฉาคิดว่าเธอจะคืนผ้าคลุมให้เขา จึงแค่นเสียง ‘หึ’ โยนไม้เท้า แล้วเดินกะโผลกกะเผลกไป

ไหนเลยจะรู้ว่าอวี๋หวั่นเพียงแต่จะผูกสายผ้าคลุมให้แน่น เธอเดินตามเขาไป ค่อยๆ จูงมือเขาเบาๆ

………………………………………..