บทที่ 97 ฝันถึงคืนนั้น โดย Ink Stone_Romance
ราตรีอันมืดมิด มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือ อวี๋หวั่นนอนเหงื่อโทรมอยู่บนกองฟางยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอปวดหัวอย่างรุนแรง ร่างกายร้อนรุ่ม
ทำไมเป็นแบบนี้?
เธอเป็นอะไรไป?
“อึดอัด…”
ประสาทสัมผัสของเธอพร่ามัว
น้ำเสียงแหบพร่าของเธอทำให้ตัวเธอถึงกับสะดุ้ง ทำไมเธอถึง…เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของเธอนี่!
ใบหน้าของชายหนุ่มเข้ามาในระยะประชิด
ใครกัน
ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย
สมองของอวี๋หวั่นสับสนไปหมด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของผู้ชาย
หัวเราะ?
หัวเราะอะไรกัน?
อวี๋หวั่นอยากลืมตามอง แต่กลับพบว่าตนเองไม่มีแรงแม้แต่น้อย เธอโกรธสุดขีด คิดจะยกมือขึ้นปัดเขาออกไป ทันใดนั้นเองก็มีเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น เธอกลิ้งลงมาจากเตียงและตกลงบนพื้นอย่างแรง
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นทันที!
เธอลืมตาขึ้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว เลือดพลุ่งพล่านจนใบหน้าของเธอแดงก่ำ
ในตอนนี้ มีประกายสีทองปรากฏบนเส้นขอบฟ้า
หลังจากที่อวี๋หวั่นตระหนักได้ว่าสิ่งที่มิอาจอธิบายได้เหล่านี้เป็นเพียงความฝัน เธอก็ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก
ความรู้สึกในฝันนั้นช่างเหมือนจริง เหมือนจริงเสียจนแม้เธอลืมตาตื่นขึ้นยังคล้ายกับสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนผู้นั้น แม้แต่ปลายนิ้ว…
อวี๋หวั่นมองไปยังมือของตนเอง สัมผัสในฝันนั้นเหมือนจริง…
ฝันเช่นนี้ ทำให้รู้สึกประหนึ่งได้ประสบกับเรื่องนี้จริงๆ
ต้องเป็นเพราะเมื่อวานไปสร้างเรื่องเอาไว้เป็นแน่
เป็นโสดมาสองชาติ อยู่ๆ เกิดไปจับมือผู้ชายเข้า แล้วก็ยังฝันถึงผู้ชายอีก น่าขายหน้าเหลือเกิน
เธอไม่น่าไปจับมือคนคนนั้นเลย…
ต้องเป็นเพราะดูฉากละครรักของลุงใหญ่มากเกินไปแน่ๆ ที่ทำให้เธอคิดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้
ว่าแต่อีกฝ่ายนี่สิ ทำไมจะต้องเป็นเยี่ยนจิ่วเฉาด้วย?
อวี๋หวั่นแตะหน้าผากตนเอง “ฉันบ้าไปแล้วจริงๆ …”
แกร็ก
ขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิด ก็มีเสียงดังจากด้านนอก อวี๋หวั่นนึกได้ทันทีว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันนัดรับอาหารที่มีคนสั่งเอาไว้เมื่อครั้งงานฉลองวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าเหยียน อวี๋เฟิงต้องมาตามให้เธอไปทำอาหารแน่ๆ ทว่าอวี๋เฟิงมักจะกลัวว่าตนจะทำให้เถี่ยตั้นน้อยและนางเจียงตื่น จึงมักเข้าทางประตูหลังไม่ใช่หรือ?
อวี๋หวั่นเดินไปเปิดประตูด้วยความมึนงง และพบว่าหาใช่อวี๋เฟิงไม่ หากแต่เป็นจ้าวเหิงผู้ซึ่งเธอไม่ได้พบหน้ามานาน
หิมะตกในกลางดึก ตกได้เพียงครู่เดียวก็หยุด ทว่ากลับส่งผลต่อสภาพอากาศวันนี้เป็นอย่างมาก ท้องฟ้ามืดสลัว ลมพัดแรงปานจะทิ่มแทงเข้าไปในกระดูก
จ้าวเหิงสวมเสื้อคลุมตัวหนา ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเย็นชา
อวี๋หวั่นปราดตามองเขา “เช้าขนาดนี้ มีเรื่องอะไร?”
ทุกวันนี้จ้าวเหิงยอมรับความหมางเมินของอวี๋หวั่นได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ค่อยคุ้นชินก็เท่านั้น เขาขมวดคิ้ว แล้วกล่าวอย่างขึงขังว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า”
อวี๋หวั่นตอบอย่าวรวบรัดว่า “ถ้าจะจ่ายหนี้ละก็ เอาเงินวางไว้ แต่ถ้าจะมาต่อรองราคาละก็ไสหัวกลับไปเถอะ”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอวี๋หวั่นมิได้มีเยื่อใยกับเขา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดระคายหูเช่นนี้ จ้าวเหิงหน้าแดง “เจ้า…เจ้า…”
อวี๋หวั่นจึงกล่าวตัดบทว่า “ข้าทำไม? จ้าวซิ่วไฉผู้ยิ่งใหญ่ไม่เข้าใจภาษาคนหรือ? ถ้าไม่ได้มาจ่ายหนี้ ก็ไสหัวไปได้แล้ว”
จ้าวเหิงกำหมัดแน่น พยายามระงับโทสะและความอับอายภายในจิตใจ “ข้าไม่ได้มาทะเลาะกับเจ้า ข้าจะมาเตือนเจ้าว่า สตรีต้องเคารพตนเอง อย่านำพฤติกรรมแย่ๆ ที่เจ้าได้จากหอคณิกา…มาใช้ในหมู่บ้าน!”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาประหนึ่งมองคนโง่งม
แม้ว่าเหตุการณ์ที่มิอาจอธิบายได้จะเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรจ้าวเหิงก็ไม่ยอมเชื่อว่าอวี๋หวั่นมิได้เข้าไปทำงานในหอคณิกา เพียงเพราะต่อให้คนทั้งโลกโกหกเขา แต่คนผู้นั้นจะไม่โกหก
แน่นอนว่าจ้าวเหิงมิได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ถึงแม้เขาจะตัดขาดกับอวี๋หวั่น แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทำลายเธอ เขาเป็นวิญญูชน วิญญูชนไม่ทำให้ผู้อื่นขายหน้า
จ้าวเหิงผู้ซึ่งเพิ่งจะพบสัจจะแห่งความเป็นวิญญูชน ก็พลันรู้สึกว่าตนเองนั้นสูงส่ง เขาเหยียดหลังตรง เท้าเอวพลางกล่าวว่า “เจ้าทำสิ่งใดเอาไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ แต่ข้าจะเตือนเจ้าไว้สักหน่อย มิใช่ว่าบุรุษผู้ใดมาในหมู่บ้านเจ้าก็จะใจง่ายไปเสียหมด เมื่อวานข้าเห็นเจ้ากับคุณชายวั่นผู้นั้นทำเรื่องอย่างว่า บัดสีบัดเถลิง!”
อวี๋หวั่นหัวเราะขึ้นในทันที “ข้าทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? อย่าลืมว่าผู้ใหญ่บ้านยกเลิกสัญญาหมั้นไปแล้ว ตอนนี้เจ้าจะมาซักไซ้ข้าในฐานะอะไร อดีตคู่หมั้น? เพื่อนร่วมหมู่บ้าน? หรือว่าในฐานะซิ่วไฉเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน?”
คำพูดนี้แทงใจดำจ้าวเหิงเข้าเต็มเปา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ “เจ้า…เจ้ามันไร้ยางอาย! หากคุณชายผู้นั้นรู้เรื่องที่เจ้ามีมลทิน เขาก็ไม่เอาเจ้าหรอก!”
…………………………………