ตอนที่ 165 เพราะข้า นางถึงไปหาเจ้า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยังไม่เอ่ยออกมาตรงๆ 

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ว่าอะไร” 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่อธิบาย “แต่ว่าเขาคิดชิงอำนาจ ก็ไม่ง่ายปานนั้น จั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วพ่ายศึกให้กับเจ้า อำนาจทางทหารในมือเขาถูกตระกูลจิวมั่วแย่งชิงไป ถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาจิวมั่วเหอจะแอบซ่องสุมกำลังไว้ไม่น้อย แต่ว่ายังมีทหารส่วนมากที่ภักดีต่อราชาต้ามั่วเท่านั้น อีกอย่างถึงเป็นต้ามั่วสืบเชื้อสายราชวงศ์ หากเขาคิดแย่งชิงบัลลังก์ ก็ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม”  

 

 

 “ดังนั้นเขาจึงต้องลงมือ ไม่จำเป็นต้องชนะ ต่อให้ชนะแล้วก็ต้องจ่ายผลตอบแทนอย่างร้ายแรง” เยี่ยเม่ยวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว 

 

 

อย่างไรก็ตามทหารในมือจิวมั่วเหอครึ่งหนึ่งอาจอยู่ฝั่งราชาต้ามั่ว อีกอย่างคนทั้งหมดก็ไม่สนับสนุนจิวมั่วเหอ  

 

 

เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยกลับคลายใจแล้ว จ้องมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “ด้วยเหตุนี้ จิวมั่วเหอต้องการคนร่วมมือด้วย หากสามารถร่วมมือกับราชสำนักเป่ยเฉิน ช่วยเขากำจัดคนที่สนับสนุนราชาต้ามั่วกลุ่มนั้น ก็เท่ากับช่วยเขาชิงอำนาจ” 

 

 

 “ฉลาดมาก” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยชมขึ้นอีก 

 

 

คราวนี้ เยี่ยเม่ยก็นับว่าเข้าใจแล้ว นางพยักหน้า กล่าวต่อว่า “ดังนั้นก่อนหน้าที่เขาพูดกับข้าล้วนเป็นเรื่องจริง เขาต้องการคนร่วมมือด้วย ช่วยเขากำจัดคนของราชาต้ามั่ว เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายการครองบัลลังก์ราชาต้ามั่ว หลังจากสำเร็จแล้ว ทหารของต้ามั่วก็สูญเสียไพร่พลไปมากกว่าครึ่ง ถึงเขาจะเป็นราชาก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยเฉินได้ทันที ดังนั้นจึงต้องส่งหนังสือสงบศึก ถึงเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด” 

 

 

สาเหตุนี้ คำพูดที่จิวมั่วเหอบอกนางล้วนเป็นความจริง 

 

 

คนผู้นี้ หากว่าร่วมมือกับนางแล้ว จะต้องทำอย่างที่เขาสัญญาส่งหนังสือสงบศึกมาแน่  

 

 

 

 

 

คำพูดมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็อดชื่นชมไม่ได้ “แผนล้ำเลิศ ใช้มือของศัตรูกำจัดราชาต้ามั่วศัตรูตัวฉกาจตรงหน้า อีกทั้งยังคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าหลังจากเขาทำสำเร็จ กองทัพที่เหลือของต้ามั่วย่อมมิใช่คู่มือของเป่ยเฉิน ดังนั้นจึงสัญญายอมสงบศึก อีกทั้งเพราะข้าร่วมมือกับเขา เมื่อถึงเวลานั้นข้ายังไม่อาจไม่ยอมรับการสงบศึกของเขาได้ เช่นนั้นเมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ไม่ว่าผลของการร่วมมือเป็นเช่นไร เขาก็เป็นผู้ชนะที่แท้จริง” 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เป็นคนฟังอยู่ด้านข้าง คราวนี้กลับช่วยศิษย์คนรองของตนเอ่ยประโยคหนึ่ง แต่ค่อนข้างเป็นกลาง “ถึงแผนการของเขาเรียกได้ว่าล้ำลึกถึงยอดเยี่ยม แต่ว่าทางเป่ยเฉินก็ไม่เสียเปรียบ” 

 

 

คำพูดนี้ เยี่ยเม่ยเห็นด้วย 

 

 

นางเอ่ยปากเสียงเย็นชาว่า “หากการร่วมมือนี้สำเร็จ ก็คือชัยชนะของสองฝ่าย เขาได้เป็นราชาต้ามั่ว อีกทั้งระหว่างการร่วมมือยังอาศัยความน่าเชื่อถือของข้า ทำให้ทางเป่ยเฉินต้องยอมรับการสงบศึก มอบโอกาสให้ต้ามั่วหายใจ ภายหน้าค่อยวางแผนใหม่” 

 

 

อีกอย่างทางเป่ยเฉินก็ไม่ได้สูญเสียกำลังมากมาย ก็สามารถกำจัดทหารต้ามั่วไปกว่าครึ่ง ซ้ำยังชิงเอาชัยชนะในศึกนี้มาได้ คนเดียวที่เป็นผู้เสียหายก็แค่ราชาต้ามั่วเท่านั้น” 

 

 

ไม่ว่านางก็ดี จิวมั่วเหอก็ดีไม่มีใครใส่ใจความเป็นตายของราชาต้ามั่ว ทั้งไม่มีใครใส่ใจผลประโยชน์หรือความสูญเสียของราชาต้ามั่ว  

 

 

 “ก็เป็นเช่นนี้แหละ” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า  

 

 

นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจบอกข้อมูลทั้งหมดของจิวมั่วเหอกับนาง เยี่ยเม่ยวิเคราะห์เป้าหมายของจิวมั่วเหอ คนทั้งสองยิ่งเป็นไปได้ว่าจะร่วมมือกัน สร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายได้รับชัย ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ เห็นลูกศิษย์ทั้งสองร่วมมือกันทำร้ายคนอื่น ย่อมดีใจ 

 

 

เยี่ยเม่ยในยามนี้ก็เข้าใจแล้ว 

 

 

สุดท้ายนางตัดสินใจ “ดังนั้นที่จิวมั่วเหอนัดแนะกับข้า ภายในสามวันจะเปิดศึก ก็เพื่อทดสอบความสามารถของข้าว่ามีคุณสมบัติพอที่จะร่วมมือกับเขาจริงๆ ” 

 

 

อย่างไรเสียการร่วมมือกับจิวมั่วเหอก็เสี่ยงมาก หากความสามารถของตนไม่เพียงพอ จะทำให้ละครฉากนี้ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น สุดท้ายกลับทำร้ายคนทั้งสองฝ่ายจนถึงตาย นางกลับเข้าใจการกระทำจิวมั่วเหอที่ต้องทดสอบความสามารถของนางเสียก่อน  

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า “ถูกแล้ว ก็เป็นเช่นนี้” 

 

 

พูดไป ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็กะพริบตาปริบให้เยี่ยเม่ย “ดังนั้นเจ้าจะทำให้เขาผิดหวังหรือไม่” 

 

 

 “ข้าไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ข้ายังจะทำให้เขาที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ได้ลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกอีกด้วย” เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชาเอ่ยประโยคนี้ออกมา 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในยามนี้มีความคิดว่าจะได้ชมละครสนุกๆ แล้ว เอ่ยสนับสนุน “ก็ดี อย่างนั้นข้าจะรอชมการแสดงอันน่าตื่นตาของพวกเจ้า” 

 

 

คำพูดนี้ก็คือ ผลไม้จัดเตรียมเอาไว้ เก้าอี้ยาวก็เตรียมเรียบร้อย รอก็แต่ละครฉากสนุกเริ่มแสดง 

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา 

 

 

ใบหน้ายิ้มแฉ่งของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันแข็งทื่อไป หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ “อย่างนั้นอาจารย์ขอตัวก่อน จะไปช่วยเจ้าตามหาเจ้าเด็กจิ่วหุน” 

 

 

 “ไม่ต้องหา เขากลับมาแล้ว” 

 

 

เมื่อคิดถึงจิ่วหุนที่โมโหเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยก็ปวดหัวอยู่บ้าง 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบหัวเราะ “อย่างนั้นก็ดี เท่ากับลดเรื่องไปเรื่องหนึ่ง อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน เจ้ามีเรื่องใดให้ช่วย ก็…ก็จัดการเองแล้วกัน อาจารย์อย่างข้านอกจากชี้แนะการฝึกวิชาให้เจ้าแล้ว ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก” 

 

 

เยี่ยเม่ย “…คำพูดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเอ่ยก็ได้” 

 

 

มีเรื่องอะไรเจ้าก็จัดการเอง จำเป็นต้องให้เขาบอกหรือไงกัน 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระแอมไอแก้เก้อ เดิมเขาอยากบอกว่า มีเรื่องอะไรก็มาให้ตัวเขาช่วย เพียงแต่เอ่ยมาได้ครึ่งทางก็พบว่าไม่ได้การ ดังนั้นถึงได้เปลี่ยนคำพูดกลางคัน  

 

 

เยี่ยเม่ยโพล่งขึ้นมา “จริงสิ ข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหมั้นกันแล้ว” 

 

 

ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็เป็นอาจารย์ของนาง ซ้ำเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นสมควรบอกเขาเสียหน่อย 

 

 

 “หา” เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ มองเยี่ยเม่ย “เจ้าเจ้าเจ้า เจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหมั้นแล้ว ว่องไวถึงเพียงนี้เชียว อย่างนั้นเป่ยเฉินอี้…”  

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ “เป่ยเฉินอี้ทำไมกัน” 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันตระหนักได้ “ไม่ ไม่มีอะไร เรื่องของหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าพอใจก็ดี คนแก่อย่างข้าขอตัวก่อนแล้ว” 

 

 

เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าก็จากไป 

 

 

เยี่ยเม่ยจ้องแผ่นหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ หมุนกายกลับไปห้องจิ่วหุน 

 

 

นางเพิ่งมาถึงหน้าห้องจิ่วหุน ก็พบเงาร่างคุ้นเคย นั้นก็คือหลินซูเหย่า ในยามนี้นางกำลังยืนอยู่หน้าจิ่วหุน 

 

 

ประตูห้องจิ่วหุนกำลังเปิดออก 

 

 

ไม่รู้บุตรสาวเจ้าเมืองกำลังพูดอะไร 

 

 

เยี่ยเม่ยหาใช่คนชอบแอบฟังคนอื่น เห็นภาพนี้จึงหมุนตัวจากไป เตรียมกลับมาอีกในภายหลัง นางเพิ่งก้าวเท้าออกไปได้ก้าวเดียว จู่ๆ ด้านหลังพลันมีเสียงสูงของหลินซูเหย่าดังขึ้น “เยี่ยเม่ยผู้นั้น มีอะไรดีกัน นางมีค่าให้ท่านทำเพื่อนางอย่างนั้นหรือ” 

 

 

เมื่อฟังว่าหัวข้อสนทนาของพวกเขาเอ่ยถึงตน ฝีเท้าของเยี่ยเม่ยพลันชะงัก 

 

 

หันกลับไปมอง 

 

 

ส่วนในเสี้ยวนาทีถัดมา หลินซูเหย่าก็เอ่ยต่อไปว่า “ข้าเอาใจใส่ท่านขนาดนี้ ท่านกลับมองไม่เห็น ข้าไปบอกให้นางตามหาท่าน ท่านหลงคิดว่าหากข้าไม่ไปบอกนาง นางจะส่งคนไปตามหาท่านเหรอไง นางไม่มีทางทำแน่ ทั้งหมดก็เพราะข้า นางถึงส่งคนไปตามหาท่าน” 

 

 

เยี่ยเม่ยฟังประโยคนี้ ก็ทั้งฉิวทั้งขำ