“อย่างนั้นหรือ”
ไม่รอให้จิ่วหุนเอ่ยปาก เยี่ยเม่ยก็ชิงเอ่ยก่อนแล้ว
หลินซูเหย่าฟัง ใจเต้นตึกตักในบัดดล หันกลับไปมองเยี่ยเม่ย เสี้ยวนาทีนั้นนางตกใจจนหน้าซีดขาว นางย่อมรู้ว่าอารมณ์ของเยี่ยเม่ยไม่ดีเป็นอย่างมาก เรื่องที่ตนถูกตบหน้ายังอยู่ในสมอง ความรู้สึกเจ็บยังไม่เลือนหาย
สายตาหวาดกลัวของหลินซูเหย่ามองไปที่เยี่ยเม่ย เสียงสั่นเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้า…ข้า…”
“เจ้าทำไม” เยี่ยเม่ยถามด้วยความอดทน
จิ่วหุนได้ยินเสียงเยี่ยเม่ย ก็เดินออกมาจากห้อง
เยี่ยเม่ยจ้องหน้าหลินซูเหย่า เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “แต่งเรื่องต่อไปสิ พูดสิ่งที่เจ้าอยากเล่าออกมาซะ อย่างไรก็ตามตอนที่ข้าสั่งให้คนออกไปตามหาจิ่วหุน พวกแม่ทัพทั้งหลายก็อยู่ด้วย ตอนที่เจ้ามาหาข้า บ่าวเฝ้าประตูเห็นอย่างชัดเจน เรื่องนี้ไม่มีทางไม่ชัดเจนแน่ เจ้าว่าอย่างนั้นไหม”
“ข้า…” หลินซูเหย่าก็คิดไม่ถึงว่า คำพูดของตนเมื่อครู่กลับถูกเยี่ยเม่ยได้ยิน
สถานการณ์ในเวลานี้กระอักกระอ่วนมากจริงๆ
หลินซูเหย่าพลันยอบกายลง “ข้ายังมีเรื่องอื่นอีก ข้าขอตัวก่อน พวกท่านคุยกันไปเถอะ”
เมื่อเอ่ยจบ นางรีบวิ่งออกไป
เยี่ยเม่ยไม่รั้งนางไว้ เส้นเสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยพลันดังขึ้น ยามที่หลินซูเหย่าวิ่งออกไปถึงประตูพอดี “แม่นางท่านนี้”
หลินซูเหย่าชะงักฝีเท้า
เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา “ภายหน้ายามคิดยุแยงปลุกปั่น ก่อนจะเอ่ยวาจาไร้สาระ จำไว้ว่าควรดูให้ดีว่ารอบๆ มีคนอยู่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนเย่อหยิ่งเช่นข้า คร้านจะคิดเล็กคิดร้อยกับพวกไร้ประโยชน์”
สีหน้าของหลินซูเหย่าประเดี๋ยวซีดขาว ประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ไม่พูดอะไรออกมา นางเผ่นไปอย่างสงบเสงี่ยม
……
เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ถามว่า “ยังโกรธอยู่อีกหรือ”
จิ่วหุนเงียบสักพัก ค่อยส่ายหน้า “ไม่โกรธแล้ว ข้าปลอบตัวเองเรียบร้อย”
เยี่ยเม่ย “…”
ก็ดี ดูท่าเจ้าเด็กนี่ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่เลวเลย ไม่ต้องการให้ตัวนางเดือดเนื้อร้อนใจแทนสักนิด นางก็ไม่ใช่คนชอบยุ่มย่าม ในเมื่อเขาบอกว่าเขาจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ นางก็จากไปได้แล้ว
ดังนั้นเยี่ยเม่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่โกรธ อย่างนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
จิ่วหุนพยักหน้า
เยี่ยเม่ยเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงเล็กๆ ราวกับลูกสัตว์ตัวน้อยของจิ่วหุนพลันดังขึ้น “เจ้าชอบเขาไหม”
เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า
นางรู้ว่าเขาที่จิ่วหุนหมายถึงคือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน
หากพูดกับคนอื่น ไม่แน่ว่าเยี่ยเม่ยจะเอ่ยออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สำหรับจิ่วหุนที่นางเห็นเป็นน้องชาย เยี่ยเม่ยตอบได้โดยไร้ความกดดัน “อืม ใช่ ชอบ”
จิ่วหุนพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก เพียงตอบกลับไปสี่พยางค์ “ข้าเข้าใจแล้ว”
เยี่ยเม่ยหันขวับกลับมองเขาด้วยความแปลกใจ
เห็นจิ่วหุนมีสีหน้าปกติ ไม่มีแววยินดีเลยสักนิด ราวกับเรื่องที่เขาถามนางเป็นเรื่องปกติ เยี่ยเม่ยในยามนี้คลายใจลง สุดท้ายนางก็กำชับว่า “เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”
“ได้” จิ่วหุนพยักหน้า
เยี่ยเม่ยเดินออกไป
หลังจากหญิงสาวจากไป จิ่วหุนยืนอาบแสงจันทร์ มองท้องฟ้าไร้ขอบเขต ดวงตาสงบราวน้ำนิ่ง ชั่วนาทีนั้นยิ่งสงบนิ่งคล้ายกับน้ำในบึงใหญ่ไร้คลื่นลม
แสงจันทร์ส่องลงมา เงาร่างเขาสูงใหญ่
จิ่วหุนก้มหน้า มองมือตัวเอง บนมือเต็มไปด้วยหนังด้านๆจากการฝึกกระบี่ ในที่สุดเขาก็เปล่งเสียงเบาๆ พูดกับตัวเอง “ชอบเขาก็ถูกแล้ว อย่างไรเสียนอกจากฆ่าคน ข้าก็ทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้น”
สุดท้ายเขายื่นมือออกมาจับด้ามกระบี่ที่เอว
ใช้เสียงต่ำสัญญาว่า “ข้าจะยิ่งแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเจ้า”
……
เยี่ยเม่ยเดินออกจากเรือนของจิ่วหุน ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมักรู้สึกว่าจิ่วหุนแปลกๆ แต่นางเป็นสาวแกร่ง ในเมื่อจิ่วหุนกล่าวแล้วว่าไม่เป็นอะไร ทั้งยังปลอบใจตัวเองไปแล้ว เยี่ยเม่ยก็ไม่มีเหตุผลให้ลังเลอีก
นางกลับห้อง นั่งหลับตาปรับลมหายใจบนเตียง
นางเริ่มเคลื่อนกำลังภายในของตน เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าไม่เกินสามวันกำลังภายในสายเดิมในร่างจะถูกสยบ เชื่อฟังคำสั่งของนางได้
……
รถม้าเคลื่อนมาถึงจวนเจ้าเมือง
เป่ยเฉินอี้นั่งในรถม้า เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้คำรบหนึ่ง เอ่ยปากว่า “ฐานะของข้าค่อนข้างพิเศษ หลบไปจะดีกว่า”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า “แล้วแต่ท่านหมอปีศาจเถิด”
สิ้นเสียง เซียวชินสวมหน้ากากกระโดดลงจากรถม้า เร้นกายหายไปในความมืดมิด
หน้าประตูจวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหลินสั่งการเหล่าขุนนาง นายทัพทั้งหลายในมาต้อนรับเป่ยเฉินอี้ไว้อยู่นานแล้ว
ยามที่รถม้าของเป่ยเฉินอี้ถึงประตูจวน
ที่ชวนให้คนแปลกประหลาดใจอยู่บ้างคือ ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองด้วย ทุกคนหันไปมองด้วยไม่อยากเชื่อ องค์ชายสี่ก็มาด้วยหรือนี่
ในห้วงความแปลกใจของทุกคน เป่ยเฉินอี้ลงจากรถม้าแล้ว
คนทั้งหมดค้อมกายคารวะ “น้อมรับอี้อ๋อง”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า ดวงตาเรียวยาวนิ่งสงบคู่นั้นปราดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่หน้าประตู
ส่วนในยามนี้ริมฝีปากของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มน่าชม มองเป่ยเฉินอี้ ค่อยๆ เปิดปากว่า “เสด็จอาที่รัก ดูท่าขาของท่านจะหายดีแล้ว อยากคุยกับเยี่ยนสักหน่อยหรือไม่”
ตอนนี้คนทั้งหมดค่อยสังเกตว่า ขาของเป่ยเฉินอี้หายเป็นปกติแล้วจริงๆ
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังเอ่ยว่า “ย่อมได้”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองพวกเจ้าเมืองหลิน เป่ยเฉินอี้ก็กวาดสายตามองคนที่ติดตามอยู่เบื้องหลังตน
คนทั้งหลายรีบร่นถอยไป
อืม ไฉนพวกเขาถึงรู้สึกว่า ระหว่างองค์ชายสี่กับอี้อ๋อง มีบรรยากาศแปลกๆ นะ ก่อนหน้าก็ไม่เคยได้ยินว่าทั้งสองมีความแค้นต่อกัน หลังจากคนทั้งหมดถอยไป เป่ยเฉินอี้เปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “กลัวข้าสร้างความลำบากให้เยี่ยเม่ยหรือ”
“เสด็จอาช่างตรงไปตรงมานัก” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่บ่ายเบี่ยง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าว “มีเยี่ยนอยู่ เยี่ยนไม่คิดว่าเสด็จอาจะมีความสามารถสร้างความลำบากให้นางได้ เยี่ยนแค่มาเกลี้ยกล่อมเสด็จอา อย่าหาเรื่องใส่ตัว ถึงเยี่ยนจะมีเมตตา แต่ความเมตตาก็มีขีดจำกัด”
เป่ยเฉินอี้แค่นหัวเราะ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยว่า “เจ้ามีเมตตาจริงไหม เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี เชื่อว่าเจ้าก็รู้ ในเมื่อข้ากล้ามา ก็วางแผนเอาไว้แล้ว ข่มขู่ข้า หาใช่ความคิดที่ดี”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ค่อยๆ หัวเราะ สายตาอ่อนโยนมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “แต่เสด็จอาก็สมควรทราบ ยั่วให้เยี่ยนโมโห ช่างโง่เขลานัก”
คำพูดไม่กี่ประโยคตอบโต้กันไปมา ในบรรยากาศคล้ายมีดินระเบิดพร้อมปะทุ
หลังจากนั้นสักพัก
เป่ยเฉินอี้ยิ้มเอ่ย “ดังนั้น นี่คือการประกาศศึกหรือ”
“หากเสด็จอาคิดว่าใช่ เยี่ยนก็ไม่ปฏิเสธ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบออกไปอย่างสบายๆ จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “ขอเพียงเสด็จอาไม่กลัวเสียใจ อย่างไรความใจกว้างของเยี่ยนก็มีขีดจำกัด”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้โพล่งออกไปอีกประโยค “ความจริงข้าก็แปลกใจนัก ตามนิสัยใจคอของเจ้า วันนี้ไม่สมควรมาเตือนข้าเรื่องพวกนี้ หากเจ้าไม่พอใจในตัวข้า สมควรลงมือสังหารข้ามากกว่า”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนหายใจยาว เอ่ยเป็นจริงเป็นเท็จว่า “เพราะว่าเยี่ยนไม่อยากเป็นศัตรูกับเสด็จอา อย่างไรซะเสด็จอาก็เป็นคนวางแผนสังหารราชครู”