ตอนที่ 167 ทหารแสนนายไล่ฆ่านาง ดังนั้นพวกมันจะต้องตาย

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เมื่อเขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินอี้สายตาวาวโรจน์ 

 

 

เขาจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารู้ว่าราชครูตายด้วยน้ำมือข้าหรือ” 

 

 

 “ไม่ผิด” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ค่อยๆ ตอบ “เยี่ยนคิดจะลงมือกับเขา กลับถูกเสด็จอาชิงตัดหน้าไปก่อน แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยนก็ยังคงชื่นชมการจัดการของเสด็จอาเหมือนเดิม วางหมากล่วงหน้าสามตา ทำให้เสด็จพ่อเชื่อว่าราชครูคิดไม่ซื่อ” 

 

 

ปากเขาบอกว่าชื่นชม แต่สีหน้าไม่มีอารมณ์ชื่นชมเลยสักกระผีกริ้น 

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้ กลับเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่คลี่ยิ้มออก “ดังนั้นเสด็จอาน่าจะเข้าใจความจริงใจที่เยี่ยนมาเตือนเสด็จอาในวันนี้” 

 

 

คำพูดก็เปิดเผยมากพอแล้ว เขามาเตือน แสดงออกว่าไม่อยากเป็นศัตรู หากว่าเป่ยเฉินอี้จะไว้หน้า อย่าได้ลงมือยั่วยุ ส่วนสาเหตุที่ไม่อยากเป็นศัตรูก็เพราะเป่ยเฉินอี้สังหารราชครู 

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะเสียงขรึม “ข้าลืมไปแล้ว หากมิใช่เพราะราชครู ชะตาชีวิตของเจ้าก็ไม่เป็นเช่นนี้” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มากความ กลับตอบว่า “หลายปีที่ผ่านมา น้อยครั้งที่จะแปลกใจกับเรื่องใด แต่ว่าเรื่องของราชครู เยี่ยนไม่เข้าใจจริงๆ ไฉนเสด็จอาต้องลงมือกับเขาด้วย” 

 

 

อย่างไรก็ตามศัตรูของตนเองถูกคนอื่นฆ่าตาย  

 

 

ความรู้สึกนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คนตายก็ตายไปแล้ว กลับกันเขาก็หาใช่คนให้ความสำคัญกับความแค้นนัก เพียงแต่แปลกใจว่า เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเป่ยเฉินอี้ 

 

 

คนทั้งสองเอ่ยมาถึงบัดนี้ เป่ยเฉินอี้ก็ไม่ลีลายืดยาว จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงเข้มเอ่ยว่า “เพราะว่าปีนั้นอาซีหาได้ฆ่าตัวตาย ส่วนข่าวลือที่นางฆ่าตัวตายนั้นเป็นความเท็จ” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจในทันที 

 

 

พลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง ถามอย่างมีเหตุผลว่า “อย่างนั้น หลังจากราชวงศ์จงเจิ้งล่มสลาย ทหารแสนนายของเป่ยเฉินไล่สังหารทหารแตกทัพ เรื่องนี้เสด็จอาไม่ได้เข้าร่วมวางแผน ส่วนทหารของเป่ยเฉินแสนนายตกตายทั้งหมด ผลลัพธ์นี้เสด็จอาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วหรือ” 

 

 

นัยน์ตาเป่ยเฉินอี้กวาดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าการไล่สังหารนั้นข้าไม่ได้เข้าร่วมด้วย หากไม่มีข้าวางแผน ทหารแสนนายนั้นเกรงว่าจะตายอย่างหมดจดเช่นนี้”  

 

 

เป่ยเฉินอี้ยอมรับแล้ว ทัพแสนนายของเป่ยเฉิน ถูกท่านอ๋องแห่งเป่ยเฉินสังหารจนตาย 

 

 

ส่วนที่เขากล้าสารภาพกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เหตุผลก็ง่ายมาก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางใส่ใจชีวิตของทหารที่ตายไป อีกอย่างนี่ก็แค่คำพูดเท่านั้นไม่มีหลักฐาน  

 

 

 “ในทหารแสนนายนี้มีคนไล่ฆ่าจงเจิ้งซีหรือ” ถึงจะถามออกมา แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามเพื่อเป็นการยืนยันเท่านั้น 

 

 

เป่ยเฉินอี้พยักหน้า สารภาพออกไปตามตรงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ไม่ผิด อาซีไม่ใช่คนจะฆ่าตัวตายได้ นางถูกธนูยิงตกน้ำตาย ทหารแสนนายไล่สังหารนาง ธนูดอกนั้นอาจเป็นใครสักคนยิง แต่ราชครูเป็นคนสั่งการ ดังนั้นพวกเขาต้องตาย ข้าพูดชัดเจนหรือไม่” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มออก เอ่ยต่อว่า “อย่างนั้น ข่าวลือที่จงเจิ้งซีฆ่าตัวตาย ก็เป็นเสด็จอาที่ปล่อยออกมา เพื่อปกป้องแรงจูงใจในการสังหารราชครูและทหารแสนนายของเสด็จอา คนตายมากขนาดนั้น ไม่มีใครสงสัยไปถึงเสด็จอาสักคน อย่างไรจงเจิ้งซีก็ฆ่าตัวตาย เสด็จอาไม่อาจโทษใคร ย่อมไม่ฆ่าใคร เยี่ยนเอ่ยถูกหรือไม่” 

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วหัวเราะ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ตอบคำถาม กลับเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากเจ้าสนใจการเมือง อย่างนั้นข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า ฉายาปราชญ์อันดับหนึ่งจะเป็นของข้าหรือเจ้ากันแน่” 

 

 

คำพูดนี้เท่ากับยอมรับการคาดเดาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทั้งยอมรับสติปัญญาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกด้วย  

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “การเมืองไม่เกี่ยวพันกับเยี่ยน ส่วนปราชญ์อันดับหนึ่งจะเป็นใคร เยี่ยนหาได้ใส่ใจ ขอเพียงเสด็จอาเข้าใจว่า เยี่ยเม่ยในใจของเยี่ยน สำคัญกว่าจงเจิ้งซีในใจของเสด็จอาเป็นหมื่นเท่า ดังนั้นการทำให้นางไม่มีความสุข เป็นการยั่วยุเยี่ยนที่แท้จริง หากแต่เสด็จอาระวังไว้ให้ดี อย่างไรเสียเยี่ยนก็ไม่อยากให้เกิดการฆ่าฟันระหว่างญาติมิตร” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยจบ ก็ไม่รอให้เป่ยเฉินอี้ตอบ ทั้งไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเชื่อเขาที่เพิ่งทำร้ายเป่ยเฉินเสียงเจียนตายไป ว่าไม่อยากให้เกิดการฆ่าฟันระหว่างญาติมิตรหรือไม่ ก็หมุนกายเดินจากไป  

 

 

เป่ยเฉินอี้แววตาลุ่มลึก มองแผ่นหลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงต่ำเอ่ยว่า “หมื่นเท่าเชียวหรือ” 

 

 

เสียงนี้เบามาก มีเขาได้ยินแต่เพียงผู้เดียว 

 

 

จนกระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากไปแล้ว ชิงเกอเดินมาถึงข้างกายเป่ยเฉินอี้ เอ่ยปากว่า “อี้อ๋อง ดูท่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะสำคัญกับองค์ชายสี่มาก” 

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกับแค่นเสียงออกมา “เผยจุดอ่อนออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้ามั่นใจเกินไปแล้ว หรือคิดว่าข้าอ่อนแอกัน” 

 

 

นับว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงออกไปอย่างชัดเจนว่า เยี่ยเม่ยก็คือจุดอ่อนของเขา 

 

 

 “ท่านอ๋อง…อย่างนั้นต่อไปพวกเรา…” ชิงเกอรีบถามขึ้น จนถึงยามนี้แล้ว เรื่องความสงสัยที่มีต่อเยี่ยเม่ย ไว้คุยกันพรุ่งนี้ 

 

 

 “พักผ่อน” 

 

 

 “ขอรับ” 

 

 

…… 

 

 

เช้าตรู่วันถัดมา 

 

 

เยี่ยเม่ยเพิ่งลืมตาขึ้น หลูเซียงฮั่วก็วิ่งมาเคาะประตูห้องเยี่ยเม่ยอย่างลนลาน  

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามอง “เข้ามา” 

 

 

ทันทีที่หลูเซียงฮั่วผลักประตูเข้ามา ก็เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ดีแล้ว หน่วยสอดแนมรายงานว่า จิวมั่วเหอนำทัพบุกโจมตีเมือง” 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขาทีหนึ่ง “ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้วใช่ไหม” 

 

 

 “พร้อมแล้ว” หลูเซียงฮั่วพยักหน้ารัว เอ่ยว่า “ของที่ท่านสั่งการไว้ ส่งมอบให้เหล่าทหารแล้ว” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ดีมาก” 

 

 

เยี่ยเม่ยลงจากเตียง เดินไปถึงหน้าประตู มองจิ่วหุนยืนกอดกระบี่อยู่ด้านนอก 

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักงันเล็กน้อย จิ่วหุนไม่พูดจา ทว่าท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะช่วยเหลือนาง 

 

 

เยี่ยเม่ยไม่พูดมาก เดินออกไปด้านนอกทันที 

 

 

จิ่วหุนรีบติดตามไป 

 

 

…… 

 

 

นอกกำแพงเมือง สองทัพประจันบาน 

 

 

ระยะห่างตรงกลางยี่สิบกว่าเมตร เยี่ยเม่ยอยู่แนวหน้าสบตากับจิวมั่วเหอ  

 

 

วันนี้จิวมั่วเหอสวมชุดนักบวช แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวงคน เยี่ยเม่ยเสนอว่า “ใต้เท้าจิวมั่ว ข้าขอเสนอให้ท่านถอดชุดนักบวชออกก่อนจะเปิดศึกเถอะ อย่างไรเสียคนที่นับถือพระไม่อาจฆ่าคน” 

 

 

เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ คนของเป่ยเฉินพลันหัวเราะออกมา แต่ละคนหัวเราะเยาะจิวมั่วเหอ  

 

 

จิวมั่วเหอในเวลานี้กลับยิ้มออก ดวงตาสีฟ้ามองเยี่ยเม่ย “ใครบอกว่าแม่ทัพอย่างข้าจะสังหารคนแล้ว แม่ทัพอย่างข้ามาโปรดสัตว์อย่างพวกเจ้าต่างหาก” 

 

 

เยี่ยเม่ยล้วงพัดที่ข้างเอวออกมา “อย่างนั้นก็ดี ดูสิว่าพวกเราใครจะโปรดสัตว์ใครกันแน่” 

 

 

แววตาจิวมั่วเหอเผยแววสนุกสนาน คล้ายกับมองเยี่ยเม่ยอย่างชื่นชม “วันนี้เจ้าออกมารับศึกตรงๆ ข้าก็นับถือเจ้าสามส่วนแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เปิดศึกเถอะ” 

 

 

ในยามที่เอ่ยนั้น เบื้องลึกในตาของจิวมั่วเหอเผยจิตสังหารอำมหิต  

 

 

เวลานี้เอง  

 

 

บนกำแพงเมือง บุรุษสวมผ้าต่วนสีทึบ บนศีรษะมัดรัดเกล้าทองค่อยๆ เดินขึ้นกำแพงเมือง ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลง มองสถานการณ์ศึกด้านล่างกำแพง