ตอนที่ 168 เป่ยเฉินอี้บอกถึง ความผิดพลาดสามประการในการใช้ทหารของเยี่ยเม่ย

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เป่ยเฉินอี้เพิ่งจะมาถึง 

 

 

บุรุษสวมอาภรณ์สีแดงก็ก้าวมายืนด้านข้างเขาอย่างรวดเร็ว 

 

 

เป่ยเฉินอี้มองคนที่เดินเข้ามา นั่นคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยความสนใจดังขึ้น “ทำไมกัน จะคอยเฝ้าข้าตลอดเวลา กลัวว่าข้าจะแตะต้องคนในดวงใจเจ้าหรือไง” 

 

 

คำพูดเขาเจือความหยอกล้อ 

 

 

ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็เพียงปรายตามองผู้เป็นอาทีหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มสง่างาม กล่าวว่า “แน่นอน เสด็จอาชมชอบเป็นไม้กวนอาจม[1] เยี่ยนต้องระวังเอาไว้ ไม่ว่านางมีส่วนบุบสลายตรงไหน หัวใจอันอ่อนแอของเยี่ยน ไม่อาจรับได้” 

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา คนที่ฟังอยู่ด้านข้าง มุมปากกระตุกเล็กน้อย 

 

 

องค์ชายสี่ถึงกับใช้คำว่าไม้กวนอาจมกับอี้อ๋อง นี่…นี่ จะดีจริงๆ หรือ 

 

 

ทุกคนต่างมองแผ่นหลังของเป่ยเฉินอี้ด้วยความระวัง รู้สึกว่าอี้อ๋องจะบันดาลโทสะในที่นี้แล้ว 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเมื่อเป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับไม่เดือดดาลทว่ายิ้มออก ใช้น้ำเสียงนิ่งขรึมลงถามว่า “ดังนั้นความหมายขององค์ชายสี่คือ พวกเจ้าล้วนเป็นอาจมอย่างนั้นหรือ” 

 

 

คนทั้งหมด “…” 

 

 

ไม้กวนอาจม  

 

 

ย่อมใช้กวนอาจม…อี้อ๋องถามเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง 

 

 

คนทั้งหลายคล้ายเห็นภาพเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดือดดาลถึงขีดสุด ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับไม่บันดาลโทสะ มองเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “กลัวก็แต่ว่าเสด็จอาหลงคิดว่าเยี่ยนกับแม่นางเยี่ยเม่ยอยู่ในบ่ออาจม กวนจนเกินเหตุ สุดท้ายเผลอทำตัวเองตกลงไปด้วย”  

 

 

คนทั้งหมดจนคำพูด 

 

 

เตี้ยนเซี่ยทั้งสอง พวกท่านเป็นบุรุษรูปงามแห่งยุคทั้งคู่ เช้าตรู่เช่นนี้อย่าได้ถกหัวข้อที่มีกลิ่นเหม็นเน่านักเลย 

 

 

พวกเขาเพิ่งจะกินข้าวเช้าไปได้ไม่นานเองนะ 

 

 

เป่ยเฉินอี้แค่นเสียงคำรบหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำน่าฟังก็ดังขึ้นว่า “มักมีคนหลงคิดว่าตนเองฉลาดล้ำเกินคน กลับไม่รู้ตัวว่าโง่เขลาเกินคนทั่วไปเท่านั้น ส่วนองค์ชายสี่กับแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนฉลาดหรือคนโง่เขลา ก็ให้ความจริงอธิบายแล้วกัน” 

 

 

คำพูดนี้ประชดประชันว่าองค์ชายสี่หลงคิดว่าตนฉลาด อยู่นอกบ่ออาจมกับเยี่ยเม่ย แต่ในความเป็นจริงแล้วยังยังถลำลึกลงไปมากกว่า ทว่าเป่ยเฉินอี้ก็ยอมรับว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ความจริงเข้าพิสูจน์ 

 

 

อี๋…คนทั้งหลายพากันคิดว่า ภายหน้าอย่าได้กินมื้อเช้าแต่เช้านักเลย  

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็กวาดตามองเยี่ยเม่ยด้านล่างกำแพง ในยามนี้นางหันหลังให้พวกเขา ภายใต้คำสั่งของนางและจิวมั่วเหอ ทหารทั้งสองฝ่ายตั้งกระบวนทัพ 

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเผยแววขบขัน ปรายตามองเป่ยเฉินอี้คราหนึ่ง ถามเสียงนุ่มว่า “เชื่อว่าไม่ช้าแม่นางเยี่ยเม่ยจะทำให้เสด็จอาได้รับรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเราล้วนโง่เขลา อีกทั้งเสด็จอาที่ไม่ได้ออกจากจวนหลายปี สายตาที่มองคนจึงตกต่ำลงไปแล้ว” 

 

 

คำพูดนี้กำลังด่าว่าเป่ยเฉินอี้ใช้ตาสุนัขดูแคลนคน 

 

 

เป่ยเฉินอี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร สายตาลุ่มลึกมองเยี่ยเม่ยด้านล่าง น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นว่า “ข้าอยากรู้นักเชียวว่านางมีความสามารถมากเพียงใด อย่างไรซะในยามนี้ออกไปรับศึกโดยพลการก็เป็นการกระทำที่โง่เขลาถึงที่สุด” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา น้ำเสียงน่าฟังมีอารมณ์เหมือนกำลังชมเรื่องสนุกอยู่ “อ้อ ไม่รู้ว่าเสด็จอาจะอธิบายอย่างไร” 

 

 

เป่ยเฉินอี้มองสถานการณ์ศึกด้วยสายตาเย็นเยียบ เห็นทั้งสองฝ่ายกำลังจัดกระบวนทัพ 

 

 

ดวงตาเรียวยาวและเย็นชาของเขาหรี่ลง พิจารณาสถานการณ์ด้านล่าง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ข้าเห็นความผิดพลาดสามประการ ประการแรก ต้ามั่วบุกโจมตี ไม่ออกไปรับศึก ปล่อยให้พวกมันฝืนบุกต่อไป ถึงจะทำให้ต้ามั่วสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทำให้ฝ่ายเราได้เปรียบ แต่เยี่ยเม่ยกลับนำทหารออกรบ” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ไม่ออกความเห็น ถามต่อว่า “ประการที่สองเล่า” 

 

 

 

 

 

แววตาเป่ยเฉินอี้ยิ่งเย็นเยียบ เอ่ยปากว่า “ความผิดประการที่สอง สองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่หลายวันแล้ว นางหาได้กุมอำนาจทางทหารเพียงวันสองวัน กลับปล่อยให้ต้ามั่วควบคุมอำนาจในการบุกไว้ได้ รอให้ศัตรูเข้าบุก ไม่เพียงไม่เป็นฝ่ายบุก ทั้งยังเสียโอกาสใช้รุกเป็นรับ เป็นกลยุทธ์การศึกที่ผิดพลาดอย่างมหันต์” 

 

 

ความผิดพลาดทั้งสองข้อเอ่ยออกมา ทหารทั้งหมดบนกำแพงก็สงบนิ่งลง ในใจต่างก็รู้สึกว่าอี้อ๋องเอ่ยได้มีเหตุผลนัก 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงไม่วิจารณ์อะไรดังเดิม คลี่ยิ้มน่ามอง ค่อยๆ ถามต่อไปว่า “อย่างนั้นประการที่สามคือ” 

 

 

เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงขรึมเอ่ยว่า “ความผิดประการที่สาม เชื่อว่าเจ้าก็น่าจะมองออก ทหารของต้ามั่วเข้มแข็งกว่าพวกเรามาก หากต้องเปิดศึกสมควรใช้กำลังทหารเข้ากดดัน ใช้คนจำนวนมากเพื่อจบศึกอย่างรวดเร็ว ถึงเป็นแผนที่ดี ทว่าแม่นางเยี่ยเม่ยของเจ้ากลับนำจำนวนคนออกจากเมืองไปเท่ากับฝ่ายต้ามั่ว หากใช้กระบวนทัพไม่ถูกต้อง จะพ่ายแพ้อย่างอนาถกลับมา” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วก็พยักหน้าติดต่อกัน ใบหน้ากลับไม่แสดงความกังวลเลยสักเล็กน้อย เขามองเป่ยเฉินอี้ ถามเสียงเบาสบายว่า “ดูจากกลยุทธ์การใช้ทหาร คำพูดของเสด็จอาทุกคำล้วนมีเหตุผล ดังนั้นเสด็จอาคิดว่าเยี่ยเม่ยจะแพ้แล้วหรือ” 

 

 

 “ย่อมไม่มีทาง” เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำค่อยๆ อธิบาย “หากดูจากกลยุทธ์การศึก นางต้องแพ้แน่ แต่นางมักมีความเปลี่ยนแปลง ครั้งก่อนสามารถใช้วิธีพิสดารเอาชนะจั่วอี้อ๋องมาได้ ตัวข้าก็แปลกใจว่าครั้งนี้นางจะใช้วิธีใดอีก”  

 

 

ใบไม้หนึ่งล่วงรู้สารท 

 

 

ดูจากศึกหนึ่งของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้ย่อมวิเคราะห์ได้ว่า เยี่ยเม่ยเจ้าแผนการ ใช้วิธีการที่คนปกติคิดไม่ถึง ดังนั้นย่อมไม่อาจใช้วิธีการนำทัพแบบธรรมดาตัดสินแพ้ชนะของนางได้ 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยว่า “เพียงแต่หากนางไม่ทำผิดสามข้อที่ข้ากล่าวมา อย่างน้อยนางก็ไม่มีทางแพ้เด็ดขาด ” 

 

 

 “ดังนั้น เสด็จอามั่นใจว่านางทำผิดทั้งสามข้อแล้วหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลอกตามองอีกฝ่าย 

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะ โบกมือแสดงออกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจผิดแล้ว อธิบายเสียงขรึมว่า “ในเมื่อเป็นกลยุทธ์ ก็ไม่อาจบอกได้อย่างแน่นอน เป่ยเฉินอี้สามารถคาดเดาสถานการณ์รวมออกมาได้ กลับไม่อาจปฏิเสธว่าคนเรามีความเปลี่ยนแปลง ใครจะรู้ว่าก่อนหน้า เยี่ยเม่ยมีข้อตกลงอะไรกับจิวมั่วเหอหรือเปล่า” 

 

 

หากพวกเขาทั้งสองมีข้อตกลงกัน อย่างนั้นนางทำผิดประการแรกออกจากเมืองไปรับศึกก็เข้าใจได้ หากนางอาศัยฉากที่วางเอาไว้ก่อนแล้ว ย้อนโจมตีจิวมั่วเหอ อย่างนั้นความผิดแรกก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดอีก ทั้งยังเป็นการกระทำที่ฉลาดมากด้วย 

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา ทหารทั้งหมดบนกำแพงก็สงบเงียบลง เกิดความแตกตื่นไม่สงบใจ อี้อ๋องพูดว่าอะไรกัน แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นผู้นำทัพของพวกเขา จะไปทำสัญญาอะไรกับจิวมั่วเหอได้อย่างไร 

 

 

หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่เท่ากับว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูหรือไง 

 

 

เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ถึงแม้เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ศึก แต่เอ่ยถึงเรื่องสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูย่อมไม่เป็นผลดีกับเยี่ยเม่ย 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยว่า “อย่างนั้นเสด็จอาคิดว่า ความผิดแรกของเยี่ยเม่ย สรุปแล้วกระทำผิดแล้วหรือยังไม่ได้กระทำกัน” 

 

 

นี่เท่ากับว่าถามเป่ยเฉินอี้ว่า เขามั่นใจว่าเยี่ยเม่ยกับจิวมั่วเหอมีข้อตกลงกันก่อนแล้วหรือไม่  

 

 

 “ข้าไม่คิดเช่นนั้น” เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย นัยน์ตาลุ่มลึกนั้นมองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย “เพราะข้าไม่มั่นใจ ถึงได้รอดูผลลัพธ์” 

 

 

 

 

 

[1] ยุแยงก่อเรื่องให้วุ่นวาย