ตอนที่ 180 พละกำลังสะท้อนกลับเข้าสู่ร่างกาย

ลำนำสตรียอดเซียน

ทัศนคติของเริ่นอวี่เฟิงเปลี่ยนไปในทันทีหลังจากที่เขารู้ว่าโม่เทียนเกอเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอิน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ปฏิบัติกับนางอย่างไร้ค่าอย่างที่ทำกับเจียงซั่งหังและสหายศิษย์คนอื่น เขาเพียงแค่ทำตัวสุภาพอย่างผิวเผินก่อนหน้านี้ กระนั้นก็ตามในตอนนี้สายตาเขานั้นเต็มไปด้วยความเคารพ

 

 

ศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ลงนามก็ยังคงมีเกียรติมากกว่าศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมากนัก อีกอย่างจากที่เริ่นอวี่เฟิงคาดการณ์ นางก็ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ทางการแล้ว ไม่ได้ผ่านมานานนักที่ประมุขเต๋าเสวียนอินก่อจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นศิษย์ส่วนมากของเขาจึงอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากระดับการฝึกตนและวิธีการจัดการต่างๆ ของนาง โม่เทียนเกอนั้นดีพอที่จะเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง

 

 

ถึงแม้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะปรับทัศนคติของเขา แต่เขายังคงเต็มไปด้วยความอิจฉาภายในจิตใจ ทำไมคนอื่นถึงได้มีความโชคดีเช่นนี้ คนเช่นนางเคารพผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นดั่งอาจารย์และมันก็เกิดขึ้น อาจารย์ของนางก่อจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างไม่คาดคิด ในขณะที่เขาต้องผ่านปัญหาต่างๆ มาด้วยตัวของเขาเอง

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะอิจฉามากแค่ไหน เขาก็ยังคงต้องแสดงให้เห็นถึงความนอบน้อมในตอนนี้ โชคดีที่โม่เทียนเกอไม่ได้เป็นคนหยิ่งยโส ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนักที่จะทำ

 

 

ในขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ อาการบาดเจ็บของลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางก็ได้รับการรักษาแล้ว

 

 

“ศิษย์พี่เริ่น” นั่นคือผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นชื่อถังฟัง เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดจากทั้งเก้าคนของสำนักเจิ้งฝ่า เขาแอบชำเลืองมองโม่เทียนเกออย่างเขินอายหลังจากนั้นจึงพูดกับเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่ลู่และศิษย์พี่เซี่ยงดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว พวกเราจะดำเนินการต่อเลยหรือไม่ขอรับ”

 

 

“โอ้” เริ่นอวี่เฟิงมองไปรอบๆ แน่นอนว่าลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางฟื้นตัวแล้ว ถึงแม้ว่าหน้าตาของพวกเขาจะยังคงซีดเผือด แต่พวกเขาก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม ซากปีศาจปลาไนน้ำระดับห้าก็ได้ถูกจัดการไปแล้ว “งั้นพวกเราไปต่อกัน”

 

 

เริ่นอวี่เฟิงหันไปทางโม่เทียนเกอพร้อมพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคงไม่ถือสาถ้าเราจะแบ่งซากสัตว์ปีศาจหลังจากที่พวกเราออกไปจากแดนแห่งมังกรซ่อนลายใช่หรือไม่”

 

 

“ข้าไม่ถือสา”

 

 

กลุ่มคนทั้งสิบรวมตัวกันอีกครั้งและไปต่อโดยมีเหริงอวี้เฟิงเป็นผู้นำ

 

 

โม่เทียนเกอเดินทางไปกับกลุ่มอย่างเงียบๆ แต่นางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ภายในใจ

 

 

อาการบาดเจ็บของลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางดูค่อนข้างรุนแรง ถึงแม้ว่าการบาดเจ็บของพวกเขาจะได้รับการรักษา แต่พวกเขาก็แทบจะไม่มีแรง เริ่นอวี่เฟิงนั้นหยิ่งยโสเกินไป ถังฟังและอวิ๋เซี่ยวหรานแทบจะไม่มีประสบการณ์และผู้ฝึกตนหญิงสองคนคือไอ้เสียนและซย่าโหวย่วนก็ดูเฉื่อยมาก ยังมีผู้ฝึกตนชายอีกคนชื่อซิวจือหมิงผู้ซึ่งโม่เทียนเกอยังไม่มีความคิดเห็นในตอนนี้ สำหรับเจียงซั่งหัง นางรู้จักเขาดี ทั้งวิธีการจัดการและสติปัญญาของเขานั้นสูง ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่นางจะเป็นพันธมิตรด้วย

 

 

โอกาสของกลุ่มนี้ไม่ได้ดีมากนัก ขณะที่พวกเขาต่างเข้าสู่สถานที่ที่ถูกปกป้องไว้ด้วยสัตว์ปีศาจระดับห้า

 

 

นางไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูดเกี่ยวกับว่าสถานที่นี้มีเพียงแค่สัตว์ปีศาจระดับห้าเฝ้าอยู่ตรงประตูทางเข้าเพียงแค่ตัวเดียว สถานที่ที่ครอบครอง “ลมปราณของเทพมังกร” จะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร

 

 

ขณะที่พวกเขายังคงเดินอย่างเงียบงัน เริ่นอวี่เฟิงทำให้ทุกคนหยุดในทันที เขาหันกลับมาพร้อมพูด “ศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องหญิง พวกเรามาถึงอนุสาวรีย์เทพมังกรกันแล้ว เตรียมตัวยกกำแพงอาคมให้พร้อม!”

 

 

มาถึงแล้วเช่นนั้นหรือ โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความกังขา อนุสาวรีย์เทพมังกรไม่ได้ครอบครองลมปราณของเทพมังกรอย่างนั้นหรือ ทำไมนางถึงสัมผัสมันไม่ได้เลย นางเหลือบมองขึ้นไปโดยรอบ ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าของนางไม่ได้มีความแตกต่างจากทิวทัศน์ที่อื่นแม้แต่น้อย ยังคงเป็นน้ำทะเลสีฟ้าเข้มและมีปะการังอยู่เต็มไปหมด

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย” เริ่นอวี่เฟิงเรียก “มีกำแพงอาคมอยู่รอบอนุสาวรีย์เทพมังกร ดังนั้นพวกเราจะต้องเอามันออกไปก่อนที่จะเข้าไปได้ ศิษย์น้องเซี่ยงและศิษย์น้องลู่บาดเจ็บ ส่วนคนอื่นมีระดับการฝึกตนที่ต่ำ เจ้าจะต้องช่วยข้าสำหรับเรื่องนี้”

 

 

โม่เทียนเกอบ่นรำพึงรำพันอยู่ครู่หนึ่งแต่ท้ายที่สุดนางก็พยักหน้า “…ตกลง” นอกเหนือจากนางไม่มีผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานเลย

 

 

เมื่อได้รับการยินยอมจากนาง เริ่นอวี่เฟิงก็ชี้ไปที่จุดหนึ่งข้างเขาพร้อมพูดว่า “กำแพงอาคมนี้ได้ถูกวางไว้โดยผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่จากสำนักของพวกข้า ข้ามีวิธีที่จะยกกำแพงอาคมนี้ชั่วคราว แต่จะต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องวางม่านรวมพลังวิญญาณเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตาม การที่จะใช้ม่านรวมพลังวิญญาณชั่วคราวไม่สามารถรองรับได้หลายคน ตอนนี้ศิษย์น้องเยี่ยมีระดับการฝึกตนสูงสุดนอกเหนือไปจากข้า ดังนั้นข้าคงต้องขอให้ศิษย์น้องเยี่ยยืนอยู่ภายในม่านรวมพลังวิญญาณกับข้า หลังจากนั้นศิษย์น้องเยี่ยเพียงแค่ต้องถ่ายทอดพลังวิญญาณให้กับข้า”

 

 

หลังจากที่โม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงจุดที่ได้ถูกกำหนดไว้ เริ่นอวี่เฟิงก็รีบวางม่านรวมพลังวิญญาณอย่างง่ายๆ รอบตัวพวกเขาทั้งสองคน

 

 

โม่เทียนเกอมองไปที่ม่านพลัง ม่านรวมพลังวิญญาณนี้ไม่ธรรมดา มันดูเหมือนว่าจะเป็นรูปแบบของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เริ่นอวี่เฟิงคนนี้ดูเหมือนจะมีสมบัติครอบครองอยู่ค่อนข้างมากดังนั้นเขาจะไม่มีวิธีในการจัดการกับปีศาจปลาไนน้ำก่อนหน้านี้ได้อย่างไร

 

 

นางไม่ได้มีเวลาในการครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ม่านรวมพลังวิญญาณได้ถูกวางและเริ่นอวี่เฟิงเริ่มใช้ศาสตร์นั้น เขาหยิบหยกบันทึกออกมาหลังจากนั้นจึงทำท่ากรีดลงบนนิ้วของเขา เค้นหยดเลือดของตัวเองออกมาพร้อมหยดลงไปบนแผ่นหยกบันทึก เส้นใยแสงสว่างพุ่งขึ้นออกมาจากหยกบันทึกและในวินาทีถัดมา ม่านรวมพลังวิญญาณปล่อยแสงสว่างจ้าแสบตา ก่อให้เกิดการรวมกันของพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งภายในม่านพลัง

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย ช่วยข้าที!” เริ่นอวี่เฟิงตะโกน

 

 

โม่เทียนเกอประกบมือเข้าหากันโดยไม่เอ่ยคำเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ ครั้นแล้วก็วางมือของนางไปบนหลังของเริ่นอวี่เฟิง ส่งพลังวิญญาณไปสู่เส้นลมปราณของเขา

 

 

แสงจากหยกบันทึกสว่างเพิ่มมากขึ้นและในท้ายที่สุดก็ค่อยๆ กลายเป็นลำแสงแห่งจิตวิญญาณ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเพียงเสี้ยววินาที พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเริ่นอวี่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง หากจะพูดให้ถูก นางไม่ได้ส่งพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของเริ่นอวี่เฟิงแต่เริ่นอวี่เฟิงดูดพลังวิญญาณของนางออกไปมากกว่า!

 

 

หยกบันทึกดูดซับพลังวิญญาณของเริ่นอวี่เฟิงและของนาง แต่มันยังคงซึมซับพลังวิญญาณจากม่านรวมพลังวิญญาณไปอย่างโลภมากอีกด้วย โม่เทียนเกอไม่สามารถทำอะไรได้ นางควานหายาครอบจักรวาลและใส่เข้าปาก อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณที่นางได้รับเพิ่มเติมเข้ามาเพียงน้อยนิดนั้นหมดไปอย่างรวดเร็วจากการที่ถูกหยกบันทึกดูดซับเข้าไป

 

 

ท่าทางของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป สุดท้ายแล้วนี่เป็นกำแพงอาคมประเภทไหนกัน พวกเขามีสิ่งที่จะใช้เปิดมันแต่มันก็ยังคงต้องการพลังวิญญาณจำนวนมหาศาล นี่มันเกินกว่าจะทนได้!

 

 

โชคดี ก่อนที่พลังวิญญาณของนางจะหมดลงจากการถูกดูดซับออกไป หยกบันทึกก็หยุดดูดซับพลังวิญญาณ เริ่นอวี่เฟิงตะโกนออมาในทันใด และหยกบันทึกระเบิดลำแสงสว่างออกอีกครั้งซึ่งลากพวกเขาทั้งหมดเข้าไปด้านใน…

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกถึงบางอย่างเริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน พลังที่น่ากลัวไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง ทันใดนั้นก็ระเบิดออกในเส้นลมปราณของนางอย่างรุนแรง

 

 

“อา–” คลื่นแห่งความเจ็บปวดโหมกระหน่ำมาหานาง จากเส้นลมปราณสู่อวัยวะภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้รับผลกระทบจากพลังนั้น ส่งผลให้นางเกือบหมดสติ

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย! ศิษย์น้องเยี่ย!”

 

 

ในสภาวะสติเลือนราง นางได้ยินใครบางคนกำลังเรียกนาง นี่คือ… เสียงของเจียงซั่งหัง!

 

 

เจียงซั่งหังพูดอย่างค่อนข้างโกรธเคืองต่อเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่เริ่น นี่ท่านพยายามที่จะฆ่าศิษย์น้องเยี่ยอย่างนั้นหรือ! กำแพงอาคมนี้สะท้อนกลับ แต่ท่านก็ยังปล่อยให้ศิษย์น้องเยี่ยต้องเผชิญกับพละกำลังนี้ด้วยตัวของนางเอง!”

 

 

หลังจากนั้นระยะหนึ่ง เสียงของเริ่นอวี่เฟิงที่ฟังดูรำคาญก็ตอบกลับมา “ข้าไม่ได้คาดคิดว่าการฝึกตนของศิษย์น้องเยี่ยนั้นจะล้ำลึกมากเสียจนพลังวิญญาณที่นางส่งผ่านมาให้ข้านั้นจะโดดเด่นกว่าพลังของข้าเอง พลังนั้นพุ่งเข้าไปหานางในทันที ข้าไม่ทันได้มีเวลาที่จะ…”

 

 

หลังจากนั้นเสียงที่หยิ่งทะนงของไอ้เสียนก็แทรกเข้ามา “ศิษย์น้องเจียง เจ้าหมายความว่าอย่างไร ศิษย์พี่เริ่นจะเจตนาปล่อยให้ศิษย์น้องเยี่ยบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ เมื่อนางพูดไปถึงช่วงหลัง น้ำเสียงของนางนั้นช่างเหยียดหยาม ความหมายของนางนั้นส่ออย่างชัดเจน

 

 

เจียงซั่งหังโมโห “ศิษย์พี่ไอ! ข้าเป็นคนชวนศิษย์น้องเยี่ยมา ดังนั้นข้าก็ต้องรับรองความปลอดภัยของนางสิ!”

 

 

“แล้วเจ้าจะตะคอกศิษย์พี่เริ่นเพื่ออะไร” ไอ้เสียนไม่ได้เต็มใจที่จะยินยอมแม้แต่น้อย “เจ้าอย่าลืมตำแหน่งของตัวเอง! เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไปในขณะที่ศิษย์พี่เริ่นเป็นถึงศิษย์หัวกะทิ! เจ้ามีความกล้าถึงขนาดที่จะพูดจากับศิษย์พี่เริ่นขนาดนั้นเชียวหรือ”

 

 

เจียงซั่งหังหยุดปฏิเสธ แต่โม่เทียนเกอสามารถรับรู้ได้ถึงมือที่จับนางไว้อยู่นั้นสั่นเทา

 

 

ในขณะนั้น ไม่ว่าความไม่พอใจอะไรก็แล้วแต่ที่โม่เทียนเกอมีต่อเจียงซั่งหังได้มลายหายไป ด้วยสถานะของเจียงซั่งหังในสำนักเจิ้งฝ่า เขาไม่กล้าที่จะทำให้เริ่นอวี่เฟิงไม่พอใจก่อนหน้านี้ ดังนั้นความจริงที่ว่าเขาเต็มใจที่จะปกป้องนางตอนนี้นั้นนับว่าเป็นความดีความชอบอย่างที่สุด

 

 

เริ่นอวี่เฟิงไม่รู้หรือ โม่เทียนเกอนึกเยาะเย้ยอยู่ในใจ นางคอยระวังตัวจากเขาอยู่แล้วแต่นางไม่คาดคิดว่าเขาจะวางแผนต่อต้านนางจริงๆ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปสู่ตำหนักใต้บาดาล! เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางยังไม่ได้ระวังตัวมากพอ! มันไม่เคยผ่านเข้ามาในความคิดมาก่อนว่าเริ่นอวี่เฟิงจะกล้าวางแผนต่อต้านนางเช่นนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่านางเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอิน!

 

 

อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงคงไม่รู้ว่าเส้นลมปราณของนางนั้นแตกต่างจากคนอื่นทั่วไป ใช่ไหม สำหรับนาง พลังสะท้อนกลับเช่นนี้ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปบาดเจ็บรุนแรงนั้นไม่ได้ทรงพลังมากนักต่อนาง ตราบใดที่นางใช้เวลาครู่หนึ่งในการฟักฟื้น นางก็จะสามารถฟื้นฟูสภาพก่อนหน้านั้นกลับมาได้ถึงแปดส่วน ชั่วเวลาขณะนั้น นางเพียงแค่ต้องทานยาเขียวขยายกำลังและควบคุมการหายใจของนางและนางก็จะไม่เป็นอะไร

 

 

บางคนเปิดปากของโม่เทียนเกอหลังจากนั้นก็ป้อนยาเข้าไป หลังจากนั้นเจียงซั่งหังก็ส่งเสียงผ่านกระแสจิตให้นาง “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าปกป้องเจ้าได้ไม่ดี หากเจ้ายังคงมีสติ ก็ควรรีบฟื้นกลับมา ข้าจะช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย”

 

 

ขณะที่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอกลืนยาเข้าไปหลังจากนั้นจึงเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของนางอย่างเงียบๆ

 

 

นางไม่รู้ว่ายาวิเศษอะไรที่เจียงซั่งหังป้อนให้กับนาง แต่เมื่อมันเข้าไปในท้องของนาง เส้นใยพลังวิญญาณเยือกแข็งระเบิดออกและแผ่กระจายไปทั่วร่างของนางอย่างอิสระ ทำให้ความเจ็บปวดของนางทุเลาลงในทันที

 

 

“ศิษย์น้องเจียง” ความรำคาญในเสียงของเริ่นอวี่เฟิงหายไป “ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับศิษย์น้องเยี่ยนั้นจะไม่ธรรมดานะ!”

 

 

เจียงซั่งหังพูดอย่างเย็นชา “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับศิษย์น้องเยี่ยนั้นได้ผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายและความยากลำบากมา ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความสัมพันธ์เยี่ยงสหายทั่วไป”

 

 

“หรือจะให้พูดอีกอย่าง เจ้าไม่พอใจข้าอยู่ในตอนนี้”

 

 

“ข้าจะกล้าได้อย่างไร” ถึงแม้ว่าเข้าจะพูดเช่นนั้น น้ำเสียงของเจียงซั่งหังไม่ได้นุ่มนวลเหมือนก่อน “ศิษย์พี่เริ่นไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายว่ากำลังทำอะไรให้กับศิษย์ธรรมดาอย่างข้าฟังหรอก”

 

 

“ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจเช่นนั้น!” ไอ้เสียนพูดแทรกออกมา “ถ้าไม่มีศิษย์พี่เริ่น พวกเราก็คงจะยังไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมบัติเลย! เจ้าคงจะไม่โง่ถึงขนาดต่อสู้กับพวกเราเพื่อศิษย์น้องเยี่ย ใช่หรือไม่”

 

 

“แน่นอน” เจียงซั่งหังสูดหายใจลึกอย่างช้าๆ “สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักเจิ้งฝ่า และศิษย์พี่ทั้งชายหญิงต่างก็มีสถานะที่สูงกว่าข้า…”

 

 

“ศิษย์น้องเจียง เจ้าช่างมีไหวพริบนัก เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย” เริ่นอวี่เฟิงพูดอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง “พวกเราเป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน ทำไมพวกเราจะต้องมาเสียความสัมพันธ์ของพวกเราไปเพราะคนนอกด้วย ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยโชคไม่ดีและได้รับบาดเจ็บสาหัส มันก็เป็นเรื่องที่พวกเราไม่อาจทำอะไรได้ การตามหาสมบัติของพวกเรานั้นสำคัญมากกว่า พวกเราควรจะเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลก่อนและค่อยพาศิษย์น้องเยี่ยไปด้วยตอนที่พวกเราจะออกไป…”

 

 

“ศิษย์พี่เริ่น!” เจียงซั่งหังพูด “สถานที่นี้ไม่ได้ปลอดภัยนัก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราทิ้งศิษย์น้องเยี่ยไว้คนเดียวและนางต้องเผชิญกับอันตรายเล่า”

 

 

“พวกเราก็ต้องเผชิญกับอันตรายเหมือนกันเมื่อพวกเราตามหาสมบัติ!” ครั้งนี้ ถึงแม้เสียงของเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ได้ฟังดูหยิ่งยโส แต่น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความจริงใจของเขานั้นไม่น่าฟังยิ่งกว่า “ถ้าศิษย์น้องเยี่ยจะโชคไม่ดีขนาดนั้น นางก็ทำได้แค่โทษดวงของนางเองเท่านั้น”

 

 

“…” เจียงซั่งหังนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน

 

 

เริ่นอวี่เฟิงพูดต่ออย่างสงบ “แน่นอน ข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าศิษย์น้องเจียงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้องเยี่ย เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะ พวกเราจะไม่ปิดทางเข้าตำหนักใต้บาดาล ดังนั้นเจ้าทั้งสองคนสามารถเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ตอนที่ศิษย์น้องเยี่ยตื่นขึ้น เจ้าคิดว่าอย่างไร”

 

 

สิ่งที่เขาพูดฟังดูสมเหตุสมผล แต่เขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในตำหนักใต้บาดาลนั้นเป็นอย่างไร เขารวบรวมคนหลายคนมาเพื่อมองหาสมบัติ แต่เขาเต็มใจที่จะทิ้งพวกเขาสองคนไว้อย่างโดดเดี่ยว เมื่อถึงเวลาที่ทั้งสองคนจะต้องเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล โอกาสในการที่จะมีชีวิตรอดของพวกเขาจะมีมากแค่ไหนกัน โม่เทียนเกอยิ้มเยาะอยู่ในใจ เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ช่างน่าละอายยิ่งนัก เขายังคงวางอุบายในการต่อต้านนางแม้กระทั่งในตอนนี้ เมื่ออาการบาดเจ็บของนางดีขึ้น นางจะต้องเล่นงานเขากลับอย่างแน่นอน! ”

 

 

เจียงซั่งหังยังคงนิ่งเงียบ แต่โม่เทียนเกอสามารถนึกภาพความลำบากใจภายในของเขาออก เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไป ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการล่าสมบัตินี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเขาต้องยอมแพ้ตอนนี้ เขาจะต้องไม่เต็มใจอย่างแน่นอน

 

 

ความจริงแล้วถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะไม่ได้ถูกทิ้งไว้ด้วย โม่เทียนเกอก็ไม่ได้เกรงกลัว อาการบาดเจ็บของนางไม่ได้หนักหนานัก และนางก็สามารถตื่นขึ้นได้ในทุกเวลา แม้กระนั้นนางก็ยังหวังว่าเจียงซั่งหังจะยอมถูกทิ้งอยู่กับนาง​​​​​​​