โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน โม่เทียนเกอไม่เคยเป็นคนไร้เดียงสาจนถึงขนาดหวังว่าคนอื่นจะมีเมตตามากพอช่วยเหลือนางไปทุกที่ เจียงซั่งหังก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน แต่สิบเจ็ดปีก่อน เขาเคยช่วยนาง ช่วยชีวิตนางจากโชคชะตาอันแสนเศร้า เหมือนอย่างที่ตัวเจียงซั่งหังเองพูดไว้ มิตรภาพของพวกเขาผ่านความยากลำบากถึงเป็นถึงตายกันมาแล้ว คนเช่นนั้น… นางหวังอย่างยิ่งว่าเขายังคงเป็นเจียงซั่งหังจากตอนนั้นและไม่ใช่ใครบางคนที่เห็นผลประโยชน์ส่วนตนเหนือสิ่งอื่นใด
ทั่วบริเวณจมลงสู่ความเงียบงัน เจียงซั่งหังไม่พูดและไม่มีใครพูด สถานการณ์ปัจจุบันเห็นได้ชัดเจนแล้ว เจียงซั่งหังถูกบีบบังคับให้เลือก เขาต้องปล่อยโม่เทียนเกอไปหรือไม่ก็ช่วยนางไว้
เป็นเวลานานที่ไม่มีใครพูด อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปนานเหมือนชั่วนิรันดร์ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้นอย่างอายๆ “ศิษย์พี่เริ่น วิธีแก้ปัญหานี้… ไม่ดีใช่ไหม”
ฟังจากเสียง นั่นคือถังฟัง
เด็กหนุ่มที่ยังอ่อนโยนและไร้ประสบการณ์รวบรวมความกล้าแล้วจึงพูดว่า “ท้ายที่สุดแล้วศิษย์น้องเยี่ยเป็นศิษย์ของกลุ่มพันธมิตร เรา…”
“ศิษย์น้องถัง” เริ่นอวี่เฟิงพูดกับถังฟัง ครั้งนี้เริ่นอวี่เฟิงพูดโดยใช้น้ำเสียงอีกแบบหนึ่งซึ่งทำให้โม่เทียนเกอสงสัยว่าถังฟังมีตัวตนเช่นไรเขาถึงทำให้คนอวดดีอย่างเริ่นอวี่เฟิงสุภาพได้ขนาดนี้และถึงขนาดสอพลอเขาด้วยซ้ำ “เจ้ายังไร้เดียงสา เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร สำนักของเราและโรงเรียนเสวียนชิงเป็นสหายกันก็จริง แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญ มิตรภาพนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความเท่าเทียม ในระหว่างการจลาจลสัตว์ปีศาจมากกว่าสิบปีมาแล้ว ถึงแม้กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ความขัดแย้งและแม้แต่การสังหารและปล้นกันเองก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเราอย่างลับๆ เช่นกัน ทำไมเรื่องเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างไรล่ะ! ประโยชน์ส่วนตนนั้นสำคัญที่สุด อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรกับศิษย์น้องเยี่ย มันแค่ลำบากสำหรับเราที่จะพานางไปด้วยก็เท่านั้น ศิษย์น้องถังลองคิดดูสิ ตอนนี้ศิษย์น้องเยี่ยเหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะงั้นเราจะตามหาสมบัติได้อย่างไรถ้าเราพานางไปด้วย”
“นี่…” ถังฟังไม่สามารถปฏิเสธได้อีก
“ศิษย์น้องเจียง” เริ่นอวี่เฟิงพูดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คำพูดของเขาเผยให้เห็นเจตนาข่มขู่ “เจ้าต้องตัดสินใจให้ไว ถ้าเจ้าใช้เวลานานเกินไป เราไม่สามารถคอยเจ้าได้!”
ในไม่ช้า โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามือของเจียงซั่งหังนิ่ง จากนั้นเขาพูดอย่างแผ่วเบา “ข้าควรจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลศิษย์น้องเยี่ย ข้าเป็นคนที่พานางมาที่นี่ ดังนั้นข้าต้องพานางกลับไปอย่างปลอดภัย”
…
“ฮึ่ม!” เริ่นอวี่เฟิงส่งเสียงฮึ่มอย่างเย็นชา “ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ต้องสาธยายอะไรกันอีกต่อไป ศิษย์น้องชายและหญิง ไปกันเถอะ!”
จากนั้นโม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังวิญญาณ คาดว่าพวกเขาคงเปิดทางเข้าไปสู่ตำหนักใต้บาดาล ไม่นานหลังจากนั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ จางไปในระยะไกล ขณะนั้นนอกเหนือจากตัวนางและเจียงซั่งหัง ตรงนั้นไม่มีใครอีก
ทันใดนั้น เจียงซั่งหังนั่งลงอย่างหดหู่ กุมหัวตัวเองเอาไว้
โม่เทียนเกอลืมตาและลุกนั่งช้าๆ “ศิษย์พี่เจียง…”
เจียงซั่งหังเงยหน้าขึ้นทันที เขาจ้องนางด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้า…”
“อาการบาดเจ็บของข้าไม่หนักหนา” นางยิ้มให้เขาแต่ไม่ช้านางก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ครั้งนี้… ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่เจียง”
เจียงซั่งหังเข้าใจได้โดยปริยายว่านางขอบคุณเขาเรื่องอะไร ตอนนี้เขาทั้งตกใจและสุขใจแต่เขาก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจเช่นกัน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายผสมกันไปหมด สุดท้ายเขาแค่ฝืนยิ้มออกมา “ศิษย์น้องเยี่ย ยกโทษให้ข้าด้วย ข้าสัญญากับเจ้าไว้หลายอย่าง แต่ผลกลับกลายเป็น…”
“ศิษย์พี่เจียงไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าซาบซึ้งใจมากที่ศิษย์พี่เจียงยอมสละโอกาสในการเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลเพื่อข้า อย่างไรก็ตาม ท่านไม่เสียดายกับการตัดสินใจของท่านหรอกหรือ”
เจียงซั่งหังยิ้มเยาะตัวเอง “เสียดาย ก็นิดหน่อย… แต่ระหว่างศิษย์น้องเยี่ยและศิษย์พี่เริ่น ข้ายังเชื่อมั่นในศิษย์น้องเยี่ยมากกว่า โดยปกติแล้วศิษย์พี่เริ่นจะปฏิบัติกับสหายศิษย์อย่างหยาบคาย และตอนนี้เขาก็ยังวางแผนโจมตีศิษย์น้องเยี่ยอีก… ข้าคิดว่าด้วยนิสัยของเขา ในภายหลังเขาต้องไม่ให้ของหลายอย่างกับข้าแน่นอน ดังนั้นข้าก็น่าจะไม่เข้าไปดีกว่า บางทีศิษย์น้องเยี่ยอาจจะให้สมบัติบางอย่างเพื่อขอบคุณข้า!”
สิ่งที่เขาพูดเป็นทั้งความจริงและการปลอบใจตัวเอง โม่เทียนเกอไม่เหลือความไม่พอใจต่อเจียงซั่งหังอีก ดังนั้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางจึงหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
เจียงซั่งหังหันไปหานาง “อือ ศิษย์น้องเยี่ยอยากมอบสมบัติให้ข้าจริงๆ หรือ”
รอยยิ้มลึกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ “เริ่นอวี่เฟิงวางแผนต่อต้านข้า ดังนั้นข้าเดาว่ามันต้องมีของดีบางอย่างอยู่ข้างในแน่ ในเมื่อเขาใจอำมหิต ข้าก็ไม่จำเป็นต้องยอมทนกับรูปแบบเดิมๆ ไปปล้นเขากันเถอะ!”
นางพูดเหมือนกับว่ามันง่ายมาก แต่เจียงซั่งหังดูสองจิตสองใจ “นี่… ศิษย์น้องเยี่ย ข้ารู้ว่าตัวเจ้าในปัจจุบันไม่เหมือนกับเจ้าคนเก่า แต่ศิษย์พี่เริ่นและคนอื่นๆ ไม่ได้อ่อนแอและพวกเขาก็มีคนมากกว่าเรา เราไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้หรอกถ้าเราลงเอยด้วยการสู้กันขึ้นมาจริงๆ อีกอย่าง ท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า การที่ข้าต้องสู้กับพวกเขามันค่อนข้างจะ…”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “ท่านกลัวอะไร ถ้าเราไม่สามารถสู้กับพวกเขาซึ่งๆ หน้าได้ เราก็ยังสามารถโจมตีพวกเขาแบบลับๆ ได้ ศิษย์พี่ลู่และเซียงบาดเจ็บจึงไม่ควรค่าให้ต้องกังวล นอกเหนือจากเริ่นอวี่เฟิงที่อาจจะมีกลอุบายอะไรที่เราไม่รู้ซ่อนไว้อีก ข้าไม่คิดว่าคนอื่นๆ จะจัดการได้ยากนัก ศิษย์พี่เจียง ถ้าท่านกลัวว่าท่านจะถูกสำนักต่อว่าเมื่อกลับไป เราก็แค่ต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมด เมื่อถึงตอนนั้นใครจะสงสัยเรื่องของท่านกัน”
เจียงซั่งหังตกใจ “ศิษย์น้องเยี่ย นี่มัน…”
“ถ้าคนไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็จะไม่ยุ่งกับพวกเขาเช่นกัน เราตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับคนอื่นได้ทีหลัง แต่เริ่นอวี่เฟิงต้องตายในกำมือข้า ถ้าข้าไม่ระวังตัวและไม่ได้บาดเจ็บสาหัสจริง ข้าก็คงปางตายเพราะเป็นผลจากการถูกเขาวางแผนลวง! เขาถึงขนาดอยากทิ้งข้าไว้ที่นี่ให้สู้ด้วยตัวเอง ฮึ่ม!” หลังจากนางพูดเช่นนั้น นางมองเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ท่านเคยเป็นคนเด็ดเดี่ยวมากเวลาที่ท่านต้องฆ่า ทำไมตอนนี้ท่านถึงได้ลังเลนัก”
เจียงซั่งหังอึ้งไปและจมสู่ความเงียบทันที นางพูดถูก เมื่อเขายังอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้และต้องทนกับการเอารัดเอาเปรียบแทบทุกชนิด นิสัยของเขาหาได้เป็นเช่นนี้ เขาอดทนกับการถูกเจียงเฉิงเสียนรังแก แต่ชั่วขณะที่เขาได้โอกาส เขาก็ฆ่าเจียงเฉิงเสียนโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ก่อนจะหนีจากเขาอวิ๋นอู้ เมื่อเขามาถึงที่เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด อย่างไรก็ตาม เขากลายเป็นท่านเทพเซียนของเผ่าโดยมีชาวเผ่าเคารพบูชาและเขายังกลายเป็นศิษย์ทางการของหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด เขาไม่ได้ถูกรังแกและทำให้อับอายเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มจะปกป้องทุกสิ่งที่เขามีอย่างระมัดระวัง เมื่อเผชิญกับความทะนงตนของเริ่นอวี่เฟิง เขาก็แค่ยอมรับมัน และแม้แต่เมื่อเริ่นอวี่เฟิงทำตัวก้าวร้าว เขาก็แค่ยั้งตัวเองเอาไว้ ไม่เหมือนกับเมื่อตอนที่เขาอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้ที่เขาแทบไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ เขาไม่มีหัวใจเด็ดเดี่ยวเหมือนอย่างที่เคยมีอีกแล้ว ตอนนี้เขาใจกว้างและเปิดเผยมากขึ้น แต่เขาก็เสียความสามารถที่เคยมีไปเช่นกัน
ตอนนี้เมื่อเขาได้ลองคิดเรื่องนี้ เจียงซั่งหังสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ขอบคุณสำหรับการเตือนสติ ศิษย์น้องเยี่ย” ไม่สายเกินไปที่เขาจะรู้ตัวในตอนนี้เพราะหนทางข้างหน้ายังต้องถูกปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เขาคนเก่าติดอยู่กับความเกลียดชัง แต่บัดนี้เขาเป็นอิสระจากมันแล้ว เขาคนปัจจุบันไม่แน่วแน่มากพอ ดังนั้นเขาจึงต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอในอนาคต
“เอาละ ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าเจ้าอยากฆ่าศิษย์พี่เริ่น ข้าจะไม่ขวางทาง อย่างไรก็ตาม ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยศิษย์น้องถังไป มิตรภาพของข้ากับเขาค่อนข้างดีและนิสัยของเขาก็เรียบง่าย เขาไม่ใช่คนเลวร้าย”
โม่เทียนเกอสังเกตเห็นความมีเมตตาที่ถังฟังแสดงต่อนางโดยการออกรับแทนนาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้าทันทีและพูดว่า “คนเดียวที่ข้าอยากฆ่าคือเริ่นอวี่เฟิง ส่วนคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่พวกเขาไม่ยั่วโมโหข้า”
เจียงซั่งหังรู้สึกโล่งใจ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ศิษย์น้องเยี่ย เราลงเรือลำเดียวกันแล้วตอนนี้ ข้ายังอยากจะอยู่ในสำนักเจิ้งฝ่าและถ้าเจ้าฆ่าแค่ศิษย์พี่เริ่น ข้าก็จะมีวิธีเอาตัวรอดจากการถูกกล่าวโทษ แต่ท้ายที่สุดแล้วคนอื่นๆ ก็เป็นสหายศิษย์ของข้า…”
“ข้าเข้าใจ ศิษย์พี่เจียงยินดีอยู่กับข้าและข้าก็ได้จดจำความกรุณานี้ไว้แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่เจียงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างแน่นอน” เมื่อนางพูดจบ โม่เทียนเกอยืนขึ้นและเริ่มสำรวจดูสภาพ รอบๆ ตรงจุดที่พวกเขาเปิดกำแพงอาคมก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีม่านพลังเคลื่อนย้ายเพิ่มมา
โม่เทียนเกอพึมพำใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ศิษย์พี่เจียง ในเมื่อเราต้องเปิดกำแพงอาคมเพื่อเข้าไปที่อนุสาวรีย์เทพมังกร แล้วพวกเขาล่อปีศาจปลาไนน้ำออกไปตอนนั้นได้อย่างไร”
เจียงซั่งหังพูด “นั่นคือความสามารถพิเศษของปีศาจปลาไนน้ำ เราไม่รู้ว่ามันกลายพันธุ์หรือได้รับชะตาลิขิตอะไรมา แต่มันสามารถมองข้ามกำแพงอาคมที่วางโดยศิษย์พี่ระดับจิตวิญญาณใหม่ของเราได้ โชคดีที่มันไม่สามารถผ่านสภาพภูมิประเทศแปลกประหลาดของแดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ไปได้ ดังนั้นเราจึงสามารถหนีจากมันมาได้ เมื่อเราออกไปครั้งก่อน ศิษย์พี่เริ่นดึงเกล็ดของมันบางส่วนออก เขาน่าจะใช้เกล็ดพวกนั้นเพื่อล่อมันออกมา”
“โอ้” พอได้ยินเช่นนี้ ความคิดแวบเข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอ สัตว์ปีศาจไม่มีอาวุธเวท ดังนั้นความสามารถพิเศษของมันก็น่าจะติดอยู่ที่ตัว ถ้าเป็นเช่นนั้น ซากของปีศาจปลาไนน้ำตัวนั้นสามารถใช้สร้างอาวุธเวทที่ผ่านกำแพงอาคมไปได้หรือไม่
“ศิษย์น้องเยี่ย…” เจียงซั่งหังพูดอย่างค่อนข้างลังเลขณะที่เขามองไปที่กำแพงอาคม “ข้าคิดว่า… ไม่ว่าอะไรที่อยู่ข้างในจะต้องค่อนข้างอันตรายแน่ เราจะเข้าไปกันจริงๆ หรือ”
“เข้าสิ! ทำไมจะไม่เข้าล่ะ” โม่เทียนเกอผู้ที่ตอนแรกไม่ได้มีความสนใจแม้แต่นิดเดียวกับตำหนักใต้บาดาลในแดนแห่งมังกรซ่อนลายกลับมุ่งมั่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดนอกไปจากมุ่งมั่นจะแก้แค้นเริ่นอวี่เฟิงที่วางแผนร้ายต่อนาง!
“ตกลง” เจียงซั่งหังพยักหน้ายืนยันการตัดสินใจของเขา “ถ้าไม่ยอมเสี่ยงก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร เพื่อให้ได้รับชะตาลิขิต เราต้องกล้าเผชิญอันตราย” เมื่อเขายังอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้หลายปีก่อน เขาคงไม่สนใจกับสิ่งนี้แน่ ชีวิตสุขสบายที่เขามีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ฉุดรั้งความเด็ดเดี่ยวของเขาเอาไว้
“ศิษย์น้องเยี่ย” ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในม่านพลังเคลื่อนย้าย เจียงซั่งหังต้องการยืนยันอะไรบางอย่างให้แน่ใจ “ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วจริงๆ หรือ”
“แน่นอน! แต่ก็ต้องขอบคุณยาวิเศษที่ศิษย์พี่เจียงให้ข้าด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะยานั้น ข้าคงไม่ได้ฟื้นตัวเร็วเช่นนี้” ฤทธิ์ของยาวิเศษที่เขาให้นางดีกว่ายาเขียวขยายกำลังเสียอีก
ยาเขียวขยายกำลังเป็นมรดกของตระกูลอวี๋จากโรงเรียนตานติ่ง เมื่อนางยังอยู่ในตระกูลอวี๋ หัวหน้าตระกูลอวี๋ให้ยานางมาขวดหนึ่งเต็มๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ จากมุมมองของโม่เทียนเกอ ยาเขียวขยายกำลังเป็นยาวิเศษสำหรับการรักษาที่ดีเยี่ยมมากแล้วสำหรับผู้ฝึกตนที่ดินแดนต่ำกว่าระดับจิตวิญญาณใหม่ แต่กระนั้น ผลของยาวิเศษที่เจียงซั่งหังให้นางกลับยิ่งดีกว่ายาเขียวขยายกำลังอย่างไม่น่าเชื่อ นางสงสัยว่าเป็นยาแบบใดกัน…
เจียงซั่งหังหยุดพูดและโม่เทียนเกอไม่ได้ถามต่อ ทั้งสองคนเข้าสู่ม่านพลังเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นด้วยแสงสว่างจ้าที่ระเบิดออก ทั้งสองคนก็ไปอยู่ในอีกที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว
วินาทีที่พวกเขาเข้ามาในสถานที่นั้น โม่เทียนเกอสะดุ้งทันที ลมปราณนี้…
พวกเขาถูกรายล้อมไปด้วยน้ำทะเลขุ่นมัว แตกต่างจากสีฟ้าเข้มข้างนอกโดยสิ้นเชิง สถานที่แห่งนี้มืดมิด อึดอัด และโดดเดี่ยว มีลมปราณบางอย่างหมุนวนอยู่รอบๆ ทั้งน่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังใหญ่และเงียบอีกด้วย รู้สึกราวกับว่ามันมีต้นกำเนิดมาจากสมัยโบราณ นำพาความโดดเดี่ยวและหมองมัวไม่มีที่สิ้นสุดมาให้
ขณะที่นางถูกลมปราณโอบล้อม โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนกับว่านางกลับไปสู่ยุคโบราณ เสมือนหนึ่งว่าพายุกำลังก่อตัว สัตว์วิเศษกำลังรวมตัว และผู้ฝึกตนกำลังเคลื่อนไปรอบๆ โดยไม่หยุดยั้ง ยุคอดีตกาลนั้น ลมปราณโบราณนั้น และแรงกดดันพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้น!
ลมปราณเทพมังกร… ไม่น่าแปลกใจที่มันเรียกว่าลมปราณเทพมังกร!
โม่เทียนเกอไม่สามารถคิดชื่อที่ดีกว่านี้เรียกมันได้เลยนอกจากลมปราณเทพมังกร
นางเงยหน้ามอง ตรงกึ่งกลางของพื้นที่ว่างมีแผ่นจารึกหินสูงมากแผ่นหนึ่งตั้งอยู่ ภาพที่ชัดเจนของเทพมังกรถูกวาดอยู่ตรงกลางแผ่นจารึกหินและคำหลายคำถูกจารึกไว้อย่างใกล้ชิดรอบๆ ภาพนั้น รอยจารึกนั้นยังคงเห็นได้อย่างชัดเจนแต่สีทึมๆ บนพื้นผิวที่มีรูปนั้นผ่านวันเวลามาแล้วชั่วนิรันดร์
นี่เป็นมรดกของสำนักเจิ้งฝ่ามาหลายพันปี อนุสาวรีย์เทพมังกร
โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้า นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากสัมผัสมัน
“ศิษย์น้องเยี่ย อย่า!”
ในเสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือของนางสัมผัสกับอนุสาวรีย์ ลมปราณเทพมังกรกระเพื่อมขึ้นลงและรวมเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นมันก็สะท้อนออกจากอนุสาวรีย์เข้ามาหานาง
“อ้า!” โม่เทียนเกอรู้สึกถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงฝ่ามือนาง และในชั่วพริบตา ทั่วทั้งร่างนางก็ถูกเหวี่ยงออกไป นางไม่มีแม้แต่ความสามารถจะต้านทานได้เลยสักนิด!
“ศิษย์น้องเยี่ย!” เจียงซั่งหังรีบวิ่งเข้ามาหาและช่วยนางลุกขึ้นทันที “ห้ามแตะอนุสาวรีย์เทพมังกร มันจะไม่ทำร้ายใครตราบใดที่มันไม่ถูกสัมผัส”
หลังจากโม่เทียนเกอฟื้นตัว นางก็มองที่ฝ่ามือตัวเอง ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บหรืออะไรก็ตามที่มองเห็นได้ แต่ความปวดแสบปวดร้อนที่นางรู้สึกเมื่อครู่นี้ยังคงหลงเหลืออยู่ โม่เทียนเกอแอบรู้สึกกลัว พลังของลมปราณเทพมังกรนั้นน่าเกรงกลัวอย่างแท้จริง มันทำให้นางสูญเสียความสามารถในการต้านทาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย