ตอนที่ 1,826 : เจ้ามีปัญญา?
“อริยะเซียนขั้นสูงสุด?”
ลูกตาจ้าวจี้หดเล็กลงทันใดหลังได้ยินคำของศิษย์สกุลจ้าว แม้จะตกใจไปไม่น้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโลงใจ ‘โชคดีนักที่ข้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์แล้ว…ไม่งั้นวันนี้คงยากจะฆ่าหลิงเทียนได้!’
ซัวว!
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของศิษย์สกุลจ้าว ร่างจ้าวจี้พลันอันตรธานหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตา!
แน่นอนว่ามันไม่ได้หายตัวไปจริงๆ เพียงแค่ความเร็วของมันสูงเกินกว่าสายตาทั้งหมดจะมองทัน เลยเสมือนหายวับไปในอากาศว่างเปล่า…
“ความเร็วของศิษย์น้องเล็ก…”
จังหวะนี้ศิษย์สกุลจ้าวได้แต่หันหน้ามองกันด้วยความตื่นตระหนก ต่างแลเห็นถึงความเหลือเชื่อในสายตากันและกัน
ถึงแม้พวกมันจะโชคดีรอดมาได้เพราะเชื่องช้า แต่อย่างไรก็เป็นถึงอริยะเซียนขั้นกลาง!
แต่แม้จะเป็นแค่อริยะเซียนขั้นกลาง ทว่าต่อให้อริยะเซียนขั้นสูงสุดใช้ความเร็วเต็มที่ พวกมันก็ยังพอมองเห็น…ไม่มีทางหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตาพวกมันได้แบบนี้!
มีเพียงตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไปเท่านั้น ที่จะหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกมันราวภูตผี!
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง…ยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูง!
ในบรรดายันต์เต๋าเทพเคลื่อน ขอเพียงมีระดับสูงหน่อยก็สามารถบรรลุความเร็วระดับนี้ได้ คิดวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาอริยะเซียนขั้นกลางก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ข้ารู้มานานแล้วว่ารองจ้าวตำหนักจ้าวเติงกับผู้พิทักษ์ประคบประหงมเอาใจศิษย์น้องเล็กนัก มาวันนี้ข้าได้เห็นกับตาถึงได้เข้าใจว่ามากมายเพียงใด! นั่นสมควรเป็นยันต์เต๋าเทพเคลื่อนระดับสูงที่ผู้พิทักษ์มอบให้ศิษย์น้องเล็กติดตัวไว้เป็นแน่! เฮ่อ…ศิษย์น้องกลับเอามาใช้เล่นเช่นนี้…”
“ใช้ยันต์เต๋าระดับสูงเล่นอย่างไม่เสียดายแบบนี้ ช่างร่ำรวยยิ่ง!”
“เปรียบเทียบไปก็อิจฉาตายเปล่าๆ บางคนเกิดมาก็คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีทุกสิ่งให้หยิบสอยใช้งาน…ส่วนพวกเราก็ลำบากลำบนเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้อันใดสักอย่าง…เฮ่อ ไถ่ถามโลกหล้าใช่ข้าไร้วาสนาหรือฟ้าล้ำเอียง?”
…
เหล่าศิษย์สกุลจ้าว ไม่มีใครคิดสักคนว่าจ้าวจี้จะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์…
นั่นเพราะศิษย์สกุลจ้าวทุกคนล้วนรู้ ก้นบึ้ง ของจ้าวจี้ดี…
ถึงแม้พรสวรรค์ของจ้าวจี้จะดี แต่ตอนนี้เต็มที่ก็เป็นได้แค่เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น…นับประสาอะไรกับเซียนมนุษย์! เอาแค่อริยะเซียนพวกมันยังไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ!!
เพราะจากสามัญสำนึกของพวกมัน เรื่องพวกนั้นเป็นไปไม่ได้เลย!
หากจ้าวจี้ไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน เรื่องราวก็คงเป็นไปตามสามัญสำนึกของศิษย์สกุลจ้าวว่าไว้…
น่าเสียดายที่จ้าวจี้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน หลังจากสังเวยสตรีไปมากมาย ดูดกลืนพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตมาเต็มคราบ พลังฝึกปรือของมันจึงบรรลุถึงเซียนมนุษย์แล้ว…
ไกลออกไปเบื้องหน้า ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเร่งรุดเดินทางด้วยความเร็วสูง
คราวนี้เขาไม่คิดระงับปราณสุริยันแรกกำเนิดอะไร ใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุดทันที
ด้วยความเร็วที่ทัดเทียมกับยอดฝีมือขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุด ทำให้ร่างต้วนหลิงเทียนไม่ต่างใดจากกระสุนปืนใหญ่ คนพุ่งทะลวงแหวกฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ หมู่เมฆถึงกับปั่นป่วน สายลมอ่อนโยนกลายเป็นดุร้าย กวาดซัดออกไปทุกแห่งหนอย่างเกรี้ยวกราด!
มองจากเบื้องล่าง ด้านบนยังคล้ายมีถนนขาวเส้นหนึ่ง ตัดผ่านท้องฟ้าดิ่งลงใต้
ตำหนักเมฆาครามอยู่ทางทิศใต้…
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ข้าเกิดความสงสารจนละเว้นคนที่คิดฆ่าข้าแบบนี้?’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะรอให้ศิษย์สกุลจ้าวที่มีด่านพลังอริยะเซียนขั้นกลางเข้ามาใกล้ๆก่อน ค่อยลงมือฆ่าทีเดียว
อย่างไรก็ตามพอเห็นศิษย์สกุลจ้าวเหล่านั้นล้าหลังมาไม่ทัน และอริยะเซียนขั้นเชี่ยวชาญก็ทิ้งห่างมากแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดในใจบังเกิดความสงสารคนล้าหลังขึ้นมาวูบหนึ่ง เลือกที่จะฆ่าเพียงผู้ที่บุกเข้ามาใกล้มือทั้งหมดอย่างเดียว…
ส่วนศิษย์สกุลจ้าวที่บรรลุอริยะเซียนขั้นกลางเหล่านั้น เขาเพียงมองปรามด้วยสายตา และไม่ได้ลงมือฆ่าพวกมัน
หากเป็นก่อนหน้าใครคิดร้ายกับเขา คงฆ่าไม่มีละเว้นไปแล้ว
‘สงสัยเพราะข้ากำลังอารมณ์ดีที่จะได้เจอหน้าท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง เลยเกิดสงสารพวกมันขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…’
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็หาเหตุผลมาอธิบายได้
ซุ่มม!
ทันใดนั้นเสียงแหวกฝ่าสายลมด้วยความเร็วสูงหนึ่ง พลันแว่วดังขึ้นจากด้านหลังต้วนหลิงเทียน ทั้งยังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ…แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะเขาทะลวงเปิดจุดชีพจรฟ้าที่หูจนครบคงยากจะได้ยิน!
“เร็วจริงๆ!”
ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ปราณสุริยันเต็มกำลังเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดถึงกับขมวดคิ้วทันที เมื่อได้ยินเสียงแหวกฟ้าใกล้เข้ามาทุกขณะ
ต้องทราบด้วยว่าอาศัยความเร็วที่เขาใช้ออกตอนนี้ เกรงว่าอริยะเซียนขั้นสูงสุดทั้งหลายก็คงยากจะตามติดได้ทัน…ทว่าอีกฝ่ายกลับไล่ตามกระชั้นเข้ามาได้นั้น…นั่นหมายความว่ามันมีความเร็วเหนือกว่าเขา!
‘ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์งั้นเหรอ?’
ต้วนหลิงเทียนเดาได้ทันที มีเพียงตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีความเร็วดังกล่าว
‘ไม่ใช่พี่กู่จัดการวางกำลังสกัดพวกที่บรรลุเซียนมนุษย์ขึ้นไปแล้วหรือไง…ไฉนถึงมีปลาเล็ดรอดร่างแหมาได้?’
ต้วนหลิงเทียนแม้ชักสีหน้าขึงขังแต่ไม่ได้หวาดกลัวแตกตื่นอะไร
เพราะเขาพบว่าแม้ความเร็วของผู้ไล่ตามจะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็ไม่ได้เหนือล้ำเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้
‘จากเสียงแหวกอากาศ หากข้าเดาไม่ผิด…คนที่ตามมาน่าจะพึ่งทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นเท่านั้น…’
พอคิดถึงจุดนี้ ความสงบก็หวนคืนสู่ใบหน้าเขาอีกครั้ง
หากไม่มี ‘กระบี่นิลสวรรค์’ เขาอาจจะกริ่งเกรงเซียนมนุษย์ขั้นต้นอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม หากเขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ล่ะก็ คิดฆ่าเซียนมนุษย์ขั้นต้นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้น!
แน่นอนว่าเพราะความต่างชั้นระหว่างขอบเขตอริยะเซียนกับเซียนมนุษย์ก็ทวีความห่างชั้นไปอีกขีดขั้น ทำให้เขาจำต้องจ่ายออกด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดถึง 5 ส่วน จึงจะสามารถสังหารเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้…
‘แม้ฟังจากเสียงแล้วมันจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากที่ตามมาเป็นเซียนมนุษย์ขั้นต้น 3 คน คงเป็นปัญหาแน่…หืม? นี่มัน ปราณมาร?’
คนที่ไล่ตามยิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่ต้วนหลิงเทียนยิ่งสัมผัสพลังที่ไล่หลังเขามาได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เองตราผนึกมารในแหวนพื้นที่เขาก็สั่นไหวขึ้นมา กอปรกับกลิ่นอายพลังที่เขาสัมผัสได้ก็ทำให้เขารู้บางอย่างชัดเจน…
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ที่ไล่หลังเขามา…เป็นผู้ฝึกมาร!
พอยืนยันได้ว่าผู้ที่ไล่ตามเขาเป็นผู้ฝึกมาร มุมปากต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นอย่างสนุกสนาน…
หากอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกมาร เขาจำต้องจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงกระบี่นิลสวรรค์ถึง 5 ส่วน เพื่อให้กระบี่สำแดงพลังสังหาร!
ทว่าพอยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกมาร เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์แล้ว…
ด้วยปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่างเขาตอนนี้ มันมีพลังอำนาจททัดเทียมกับปราณแรกกำเนิดของอริยะเซียนขั้นสูงสุด นั่นหมายความว่าหากเขาใช้ตราผนึกมาร ก็สามารถฆ่าผู้ฝึกมารที่ขอบเขตพลังต่ำกว่าเซียนปฐพีได้ทุกคน!
‘ไหนให้ข้าดูทีเถอะ ว่าผู้ฝึกมารดวงกุดคนนี้เป็นใคร…’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ไหว ถึงกับต้องหยุดร่างลงกลางหาวก่อนที่จะหันกลับมามองย้อนกลับไป ตั้งหน้าตั้งตารอคนที่กำลังไล่ตามเขามา…
ห่างออกไปไกลสุดสายตา ปรากฏร่างหนึ่งอันมีปราณมารห่อหุ้มกำลังพุ่งตัดฟ้ามาด้วยความเร็วสูงปานดาวตก
ความเร็วดังกล่าวกระทั่งต้วนหลิงเทียนยังมองเห็นเป็นภาพเลือนราง
ม่านตาพิสดาร!
หลังจากที่ดวงเนตรสำแดงอานุภาพ ร่างผู้คนที่เหินตามหลังเขามาก็กลายเป็นชัดเจนมากขึ้น!
ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งค้างไปทันใด
“ฮ่าๆๆๆ! หลิงเทียน! ดูเหมือนเจ้ารู้ตัวแล้วสินะว่ามิอาจหนีข้าได้พ้น!!”
เสียงหัวเราะกล่าวด้วยไร้แยแสหนึ่งดังข้ามฟ้ามาแต่ไกล สุดท้ายก็มาหยุดร่างลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน!
“ที่แท้เป็นเจ้า!”
เหตุผลที่ร่างต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งค้างไปนั้น ไม่ใช่อะไรอื่น แต่ยอดฝีมือเซียนมนุษย์ขั้นต้นผู้นี้ที่แท้กลับเป็น ‘คนกันเอง’
ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าคนที่ไล่เขามาจะเป็นคนๆนี้ไปได้!
จ้าวจี้!!
หลานชายจ้าวจิน 1 ใน 2 อาวุโสผู้พิทักษ์ บุตรชายคนเดียวของจ้าวเติง รองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ!
ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จ้าวจี้คนนี้สมควรยังเป็นเพียงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น…
ทว่าหลังจากนั้นไม่ทันครบ 2 ปีดี อีกฝ่ายกลับทะลวงด่านพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางมาจนถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้น! ความก้าวหน้าช่างอัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนี้!!
ความเร็วในการก้าวหน้าของมัน กระทั่งเขาเองก็ไม่ทราบว่ามันไปฝึกฝนบ่มเพาะมาอีกท่าไหน นับว่าทำให้ตกใจไม่น้อยแล้วจริงๆ!
“ฮ่าๆๆๆ! หลิงเทียน…เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าจะเป็นข้า!?”
เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆของต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้ก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรตกตะลึงพรึงเพริด ใจมันเต็มไปด้วยความสุขความยินดีนัก!
‘ยังไม่ทันถึง 2 ปี แท้ๆ แต่พลังฝึกปรือของมันกลับทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นกลางถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้…ดูเหมือนมันจะบังเอิญไปพบวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมางั้นสินะ?’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออก สีหน้าอึ้งๆด้วยความประหลาดใจเริ่มหายไป กลายเป็นความสงบเฉยเมย
“หลิงเทียนหนอหลิงเทียน…ข้าจ้าวจี้เฝ้ารอวันนี้มานานแล้ว! ทุกอย่างที่เจ้าทำกับข้าไว้ วันนี้ข้าจ้าวจี้จะให้เจ้าชดใช้ทั้งต้นทั้งดอก!!”
ลูกตาจ้าวจี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน วาจาท้ายประโยคยังอำมหิตดุร้ายคล้ายเจียนคุ้มคลั่ง!
วันยังจดจำได้ไม่มีวันลืม วันนั้นที่ยอดเขาวังนภา ต้วนหลิงเทียนตบหน้ามันซ้ายทีขวาทีต่อหน้าผู้คนมากมาย ให้มันอับอายขายหน้าอย่างที่เกิดมาไม่เคยเจอมาก่อน
และมันยังจดจำได้ดี ว่าโดนอีกฝ่ายฆ่าอย่างไรในแดนลับเซียน…มันยังใช้เวลาไปไม่ถึง 3 วันด้วยซ้ำกลับต้องถูกขับออกมาเป็นคนแรก! ยังกลายเป็นทุบทำลายสถิติครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์…เพียงแค่เป็นสถิติแสนอุบาทว์ที่ไม่อยากจดจำ!
ตอนนี้ความเคียดแค้นโกรธเกี้ยวชิงชัง คล้ายจะปะทุขึ้นมาจุกอยู่ในอกของจ้าวจี้ เสมือนภูเขาไฟเจียนระเบิดปะทุเต็มที!
“อ้อ ทบต้นทบดอกเลยหรือ?”
เผชิญหน้ากับจ้าวจี้ที่กลายเป็นดุร้ายอำมหิต ต้วนหลิงเทียนยังนิ่งไม่เปลี่ยน “ว่าแต่เจ้าจะให้ข้าชดใช้ยังไง?”
“ชดใช้ที่ว่าย่อมให้เจ้าตายเป็นธรรมดา! อย่างไรเสียเจ้าสามารถมั่นใจได้เลยว่าข้าจักมิปล่อยให้เจ้าตกตายโดยง่าย! ข้าจะค่อยๆทรมานเจ้าอย่างช้าๆ เชือดเนื้อเถือหนังเจ้าทีละชิ้นๆให้ครบหมื่นชิ้น! เฝ้ามองเลือดของเจ้าไหลออกไปจนหมดหยดสุดท้าย แล้วค่อยปล่อยให้เจ้าตาย!!”
ลูกตาจ้าวจี้แดงฉาน เปี่ยมลนไปด้วยความดุร้ายบ้าคลั่ง
“อ้อ จะให้ข้าตายนี่เอง…แต่เจ้าอย่าพึ่งหาว่าข้าดูถูกหรืออะไรเลยนะ เจ้ามีปัญญาทำแบบนั้นด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มเย้ยออกมา สายตายังมองถามแบบเหยียดๆ
เขาไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่ทำกับจ้าวจี้แบบนั้น หากจ้าวจี้มันไม่โอหังวางท่าหาเรื่องสหายของเขาก่อนแล้วเขาจะลดตัวไปยุ่งกับมันแต่แรกทำไม?
มีคนในตำหนักฟ้าลี้ลับมากมาย หากต้วนหลิงเทียนอยากทุบตีทำร้ายผู้คนเล่นอย่างไร้เหตุผลจริงๆ ไฉนต้องจำเพาะเจาะจงกับจ้าวจี้?
เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยเสียใจสักครั้งกับเรื่องผ่านมา
“หลิงเทียน…เจ้ายังปากดีเหมือนเช่นเคย! ปัญญาข้าย่อมมีเพราะยามนี้ข้าทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว! มิผิดเซียนมนุษย์ขั้นต้น! คราวนี้เจ้าคิดว่าหากข้าคิดจะฆ่าอริยะเซียนขั้นสูงสุดเช่นเจ้าสักคน…ข้ายังมีปัญญาหรือไม่เล่า?”
จ้าวจี้กล่าวเย้ยหยันออกมาเสียงเหี้ยม ขณะเดียวกันทั่วร่างของมันก็ปรากฏปราณมารพวยพุ่งออกมาดั่งเพลิงไฟสีรัตติกาล ลุกโชนท่วมร่างเร่าๆในอากาศ ยิ่งมาไอพลังยังยิ่งหนาแน่นมากขึ้น!