ตอนที่ 1,827 : ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย!
“ไม่ถึง 2 ปีจากผู้ฝึกตนเซียนขัดเกลาขั้นกลาง มาเป็นผู้ฝึกมารเซียนมนุษย์ขั้นต้น…จ้าวจี้ นี่เจ้าคงไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินหรอกนะ?”
ในใจต้วนหลิงเทียนมีประกายความคิดหนึ่งวูบขึ้น จึงมองเย้ยจ้าวจี้ค่อยกล่าวถามชิมลางออกไป
ได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียน ปราณมารที่กำลังลุกโชนดั่งเพลิงไฟทั่วร่างจ้าวจี้พลันหยุดกึก คนนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลิกคิดปิดบังอะไรสืบไป เพียงตอบอย่างตรงไปตรงมา “แล้วถ้าหากข้าบ่มเพาะมันเล่า เจ้าจะทำไม?”
“อะไร? เจ้ากลับฝึกมันจริงๆ!”
พอได้ยินวาจายอมรับของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ ต้องทราบด้วยว่าเขาเพียงกล่าวถามสุ่มๆไปเท่านั้น!
เพราะสุดท้ายแล้วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากว้างใหญ่สุดไพศาล ความอัศจรรย์มีร้อยแปดพันเก้า เป็นธรรมดาหากจ้าวจี้พบเจอวาสนาใดอื่น
ทว่าจ้าวจี้กล่าวยอมรับมาแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่แท้มันฝึกเคล็ดมารกลืนหยินจริงๆ!
“จะอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย ข้าบอกเจ้าไปก็มิเห็นจะเป็นอะไร! จ้าววังจูลู่ฉี กับฉีจิ้ง ล้วนถูกข้าคนนี้ปั่นหัว! สุดท้ายจ้าววังจูก็อดใจไม่ไหว ลักพาตัวฉีจิ้งเพื่อเคล็ดมารตามแผนของข้า…และไม่เพียงแต่จ้าววังจูจะได้เคล็ดมารสมใจ ข้าก็ได้ด้วย!!”
ในสายตาของจ้าวจี้ วันนี้ต้วนหลิงเทียนไม่มีโอกาสรอดชีวิตไปไหนได้
เช่นนั้นมันจึงกล้ากล่าวโพล่งออกมาอย่างไม่แยแส เพราะอย่างไรเสียคนตายก็ไม่อาจพูด…
“ที่แท้กลับมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ด้วย…”
พอต้วนหลิงเทียนได้ฟังคำจ้าวจี้ เขาก็ตระหนักถึงเรื่องราวสมคบคิดได้ไม่ยาก “ถ้างั้นเหตุวุ่นวายและอาชญากรรมทางพื้นที่ตะวันตก สตรีทั้งหลายที่ตกตายกลายเป็นซากแห้ง ก็ไม่ใช่ผลงานของจ้าววังจูคนเดียวงั้นสินะ…”
“ถูกแล้ว! สตรีโง่งมเหล่านั้นล้วนถูกข้าจ้าวจี้ผู้นี้ถล่มและดูดพลังจนแห้งตาย…อย่างไรก็ตามข้าจ้าวจี้ไม่ปัญญาอ่อนเหมือนจ้าววังจูที่ไม่คิดแตะต้องสตรีบริสุทธิ์ทั้งอ่อนวัย! ข้าจ้าวจี้ไม่ว่าจะเด็กน้อย สตรีมีครรภ์ กระทั่งหญิงชราไม่มีละเว้น! โดยเฉพาะพวกดรุณีน้อยไม่เดียงสาเหล่านั้น…ยามพวกนางร้องขอชีวิตตอนข้าถล่มช่างอภิรมย์นัก! สุดท้ายด้วยพลังหยินและแก่นแท้โลหิตของพวกนาง ข้าถึงได้ทะลวงผ่านมายังเซียนมนุษย์ได้ในเวลาอันสั้น!!”
กล่าวถึงจุดนี้จ้าวจี้ยังแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเผยยิ้มวิปริต แววตายังเผยความหิวกระหายคล้ายอยากก่อการอันใดอีก
“เดียรัจฉาน!!”
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความดุร้ายเอาเรื่องขึ้นมาทันใด “เจ้าฝึกมารกลืนหยินแบบนี้ ไม่กลัวเป็นศัตรูของสาธารณะชนหรือไร?”
“ฮ่าๆๆๆ! ศัตรูของผู้คนคือจูลู่ฉี! ส่วนข้า…ในสายตาคนอื่นๆก็แค่คนที่โชคดีได้รับสืบทอดมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ จากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์!!”
จ้าวจี้แย้มยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ!
“แล้วนี่เจ้าไม่กลัวข้ากระจายข่าวเรื่องนี้ออกไปรึไง?”
ประกายเย็นเยือกหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในลูกตาต้วนหลิงเทียน กล่าวถามออกไปเสียงเรียบ
“กระจายออกไป? ฮ่าๆๆ! คิดทำเช่นนั้น วันนี้เจ้าต้องรอดไปให้ได้ก่อน!”
จ้าวจี้หัวเราะเย้ยเยาะด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “หลิงเทียนหนอหลิงเทียน…ศักยภาพพรสวรรค์ของเจ้าน่ากลัวจริงๆ หากเจ้าสามารถเติบโตได้อย่างไร้เรื่องราว วันหน้าเจ้าไม่พ้นต้องกลายเป็นตัวตนทรงอำนาจ ที่สามารถย่ำเหยียบไปได้ทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า! น่าเสียดายที่เจ้าไม่รู้ว่าโลกนี้สิ่งที่ไม่ควรที่สุดคือเป็นศัตรูกับข้า จ้าวจี้…เป็นเจ้าทำลายตัวเองแท้ๆ!!”
จ้าวจี้จ้อคำออกมาน้ำไหลไฟดับ จากวาจาคล้ายมันฟันธงไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่ๆ
“อ่า อยากให้ข้าตายก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถพอรึเปล่า…”
เห็นจ้าวจี้กล่าวออกมาอย่างมาดมั่น ลูกตาต้วนหลิงเทียนเรืองสว่างขึ้นมาวูบหนึ่ง กล่าวท้าทายออกไปเสียงเย็น
“ไม่ต้องห่วงไป! แต่ข้าไม่รีบร้อนฆ่าเจ้านักหรอก…ข้าจะให้เจ้าค่อยๆตายอย่างช้าๆ!!”
น้ำเสียงจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งอำมหิตเย็นเยือก ปราณมารยังแผ่พุ่งออกมาจากร่างมากขึ้นทุกขณะ
ไม่ทันไรกลิ่นอายพลังของจ้าวจี้ก็แทบจะถมบรรยากาศ อาณาบริเวณคล้ายจะมืดดำลงทันใดเพราะปราณมารของมัน เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนปรากฏร่างแลดูเสมือนดั่งเทพปีศาจจุติลงมายังโลกหล้าอะไรทำนองนั้น
บึมมม!!
หนึ่งหมัดชกออก สภาวะประหนึ่งขุนเขาถล่มทลาย หมัดพลังโถมถันเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างเกรี้ยวกราด
แม้หมัดนี้ของจ้าวจี้จะคล้ายชกออกอย่างไร้เรื่องราว หากแต่กลับนำพาความกดดันอันใหญ่หลวงมาสู่ต้วนหลิงเทียน!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวนับไม่ถ้วนดังขึ้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ปรากฏกระบี่พลังมีสภาพสีทองนับร้อยพัน โคจรหมุนเวียนวนรอบกายความเร็วสูง ก่อเกิดม่านพลังดั่งระฆังอันเขื่องคลุมครอบ เป็นระฆังกระบี่คลุมกาย!
หากแต่คราวนี้ไม่คล้ายคลุมครอบคว่ำลง ทว่ากลับหันด้านแหลมของหัวระฆังไปทางหมัดจ้าวจี้ หัวระฆังดังกล่าวยังมีพลังกระบี่ขุมหนึ่งผนึกไว้แกร่งกล้า หมายทะลวงสู้หมัดพลังจ้าวจี้ให้รู้กันไป!
“เฮอะ! ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!!”
จ้าวจี้เห็นดังนั้นก็แค่นคำสบถดูแคลนออกคำหนึ่งค่อยเร่งเร้าปราณมารอีกระลอก สภาวะหมัดคล้ายปะทุพลังกล้าแกร่งอีกขั้น พุ่งชกทำลายปลายระฆังอันมีพลังกระบี่ร้ายกาจของต้วนหลิงเทียนไปได้อย่างง่ายดาย! อีกทั้งหมัดยังไม่สิ้นสภาวะ พุ่งจี้เข้ามาสืบต่อ หมายป่นร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลก!!
“ร้ายกาจจริง!”
ต้วนหลิงเทียนที่อาจหาญหยั่งวัดพลัง เมื่อได้สัมผัสเข้ากับพลังอำนาจของเซียนมนุษย์อย่างชัดแจ้งจึงรู้ซึ้งถึงใจ ทราบดีว่าพลังระดับนี้ไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาตอนนี้จะเอาชนะได้ง่ายๆ!
อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่อาจเอาชนะจ้าวจี้ได้หากไม่ใช่กระบี่นิลสวรรค์ หรือตราผนึกมาร!
ฟุ่บ!
ด้วยเหตุนี้หลังปะทะหยั่งเชิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกที่จะหลบหมัดของจ้าวจี้…
อนิจจาแม้ต้วนหลิงเทียนจะเร็วหากแต่หมัดของจ้าวจี้กลับเร็วกว่า!
ปงงง!!
ถึงกำปั้นจ้าวจี้จะไม่ได้ชกทำลายไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนโดยตรง แต่มันก็ปะทะเข้ากับระฆังกระบี่คลุมกายอย่างจัง!
ชั่วพริบตาระฆังกระบี่ก็ถูกบดขยี้จนแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจต้านทานรับไหว!
เมื่อระฆังกระบี่คลุมกายถูกทำลาย ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมได้รับผลกระทบจากพลังตีกลับและพลังหมัดปะทุ หากแต่คนเลือกปล่อยตัวให้พลังสะท้อนทั้งคลื่นกระแทกดังกล่าวซัดร่างปลิดปลิวกระเด็นออกไปโดยง่าย ไม่คิดแข็งขืนต้านทานดั่งกิ่งหลิวลู่ลม
ร่างต้วนหลิงเทียนปลิวละลิ่วไปดั่งว่าวสายป่านขาดกว่า 100 หมี่ค่อยหยุดลง ตอนนี้เรียกว่าเลือดลมในกายปั่นป่วนไปราวมีใต้ฝุ่นก่อเกิดภายใน หากแต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นกระอักโลหิตอะไรออกมา…
นั่นเพราะเขามีร่างกายอันแข็งแกร่ง หากเป็นผู้ฝึกตนเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดคนอื่น น่ากลัวว่าคงได้ตัวแตกระเบิดตายตกเพราะพลังสะท้อนจากหมัดจ้าวจี้ไปแล้ว…
“หือ!?”
จ้าวจี้เองก็ประหลาดใจไปไม่น้อยเมื่อเห็นว่า ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ต้องทราบด้วยว่าแม้หมัดมันจะไม่ได้ชกถูกร่างกายต้วนหลิงเทียนตรงๆ แต่พลังปะทุจากหมัดของมันที่ซัดกระแทกใส่ร่างต้วนหลิงเทียนไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย!
ต้วนหลิงเทียนสมควรตัวแตกตาย หรือไม่อย่างน้อยๆก็ต้องบาดเจ็บสาหัส!
ทว่าเท่าที่เห็น…หมัดของมันเพียงทำให้ต้วนหลิงเทียนบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น!
“เช่นนี้ก็ดี…ข้าจักได้มีเวลาละเล่นกับเจ้าให้นานๆ!!”
จ้าวจี้แสยะยิ้มออกมา แววตาสนุกสนานไม่น้อยเห็นได้ชัดว่ามันยังมั่นใจในชัยชนะของตัว
“หลิงเทียน เจ้ามีดีเพียงเท่านี้หรือ? ช่างน่าผิดหวังนัก!”
ขณะเดียวกันจ้าวจี้ก็ไม่ลืมเย้ยเยาะต้วนหลิงเทียนด้วยวาจา สายตาของมันเต็มไปด้วยความถือดีหยิ่งผยองนัก
“จ้าวจี้…”
เผชิญหน้ากับการเย้ยเยาะท้าทายของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนที่ลมหายใจยังสงบไม่เปลี่ยน กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าจริงใจเปิดเผยกล่าวบอกความจริงทั้งหมดให้ข้ารู้ ข้าเองก็คิดว่าสมควรจริงใจเปิดเผยเช่นกัน เพราะข้ามีเรื่องปิดบังเจ้าไว้มากมายเหลือเกิน…”
กล่าวจบคำ ภายใต้กสายตามองมาด้วยความฉงนของจ้าวจี้ ต้วนหลิงเทียนพลันสะบัดมือเรียกป้ายศิลาแผ่นหนึ่งมาถือเอาไว้
ป้ายศิลานี้แลดูเก่าแก่โบราณ แถมมีมุมหนึ่งแหว่งหายไป แถมบนตัวป้ายยังมีอักขระโบราณจารึกไว้มากมายราวแผ่นศิลาจารึกประวัติศาสตร์…
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอักขระเหล่านั้นมันมีความหมายอะไรกันแน่ เพราะแลดูยึกยือพิลึกพิลั่นไม่คล้ายตัวอักษรที่ใช้ในแดนดิน
และตอนนี้ป้ายศิลาดังกล่าวก็เริ่มสั่นไหวไปไม่หยุด คล้ายพยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือของต้วนหลิงเทียน
“นั่นมันอะไร…”
จ้าวจี้เองก็ไม่ทราบว่าทำไม แต่พอเห็นป้ายศิลาประหลาดที่ต้วนหลิงเทียนหยิบออกมา ในใจบังเกิดความรู้สึกสังหรณ์ประหลาด!
ความรู้สึกดังกล่าวทำให้มันอึดอัดนัก แต่มันก็พยายามสงวนท่าทีไม่เผยให้ต้วนหลิงเทียนเห็น
อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาความสนใจของจ้าวจี้ก็ถูกเรื่องอื่นดึงไป
เพราะมันเห็นใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มขยุกขยุย ก่อนที่จะค่อยๆแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นใบหน้าหล่อเหลาเอาเรื่อง!
ไฉนใบหน้านี้มันแลดูคุ้นๆนัก?
พอเห็นหน้าต้วนหลิงเทียน จ้าวจี้เองก็ไม่รู้ว่าทำไมมันรู้สึกแบบนั้น
คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก…
“แล้วก็…จริงๆแล้วหลิงเทียนเป็นแค่ชื่อของข้า…และข้าก็ไม่ได้แซ่หลิง แต่ข้าแซ่ต้วน”
จากนั้นคำพูดของหลิงเทียนก็ดังเข้าหูจ้าวจี้อีกครั้ง
หลิงเทียนเป็นเพียงแค่ชื่อ?
ไม่ได้แซ่หลิง? แต่ทว่าแซ่ต้วน?
“เจ้าจะบอกข้าว่า…”
จ้าวจี้อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว หากแต่ก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบคำ ก็คล้ายมันนึกอะไรได้ออก ลูกตาของมันหดเล็กลงทันใด ใบหน้ายังเผยความแตกตื่นออกมา “ต้วน…หลิงเทียน? ต้วนหลิงเทียน…นั่นมิใช่ผู้ที่ครอบครอง ตราผนึกมาร ในข่าวลือหรือไร?”
“ข้าจำได้แล้ว!!”
คราวนี้มองหน้าต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง จ้าวจี้ก็จดจำใบหน้านี้ได้ เพราะใบหน้าปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน เหมือนกับรูปวาดที่แพร่ออกมาก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน…และรูปวาดนั่นก็คือใบหน้าของผู้ครอบครองตราผนึกมาร ต้วนหลิงเทียน!
“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ!?”
สุดท้ายแววตาจ้าวจี้ยามมองต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต่างใดจากคนกำลังเห็นผี!
และก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำถามอะไร สายตามันก็เบนไปตกยังป้ายศิลาประหลาดมุมแหว่งในมือต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นในใจจ้าวจี้บังเกิดความคิดน่ากลัวประการหนึ่ง!
‘หากมันคือต้วนหลิงเทียนจริง…เช่นนั้นป้ายหินประหลาดนั่น ก็คือดาวข่มของผู้ฝึกมารทั่วหล้า…ตราผนึกมาร!!’
1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ตราผนึกมาร! ผู้ใดก็ตามที่ถือครองมัน สามารถสยบปราบผู้ฝึกมารที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่า 1 ขอบเขตได้อย่างง่ายดาย
“มันเป็นอริยะเซียนขั้นสูงสุด…เช่นนั้นหมายความว่าหากมันใช้ตราผนึกมารก็สามารถจัดการผู้ฝึกมารใต้เซียนปฐพีทั้งมวลได้ง่ายๆ!”
นึกถึงเรื่องนี้ ลูกตาจ้าวจี้ก็เผยความหวาดผวาเสียขวัญออกมาทันที ใจยังแทบกระดอนออกนอกอกด้วยความหวาดกลัว!
หากแต่มันยังอดคิดไปไม่ได้ว่ายามนี้ฟ้ากำลังเล่นตลกกับชีวิตมันอยู่!
มันฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินจนในที่สุดก็ทะลวงผ่านมาถึงเซียนมนุษย์ขั้นต้นได้สำเร็จ พลังฝึกปรือก้าวข้ามหลิงเทียนที่มันเคียดแค้นเข้ากระดูกดำ!
ทว่าตอนนี้มันกำลังจะล้างแค้นได้แล้วแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับหยิบควักยอดศาสตราเซียนในตำนานอย่างตราผนึกมารออกมาเสียอย่างนั้น!
“ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้…หรือหลิงเทียนผู้นี้ ถูกฟ้าส่งมาสะกดข่มข้าโดยเฉพาะ?”
ใจจ้าวจี้เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมทั้งน้อยใจ ความรู้สึกของมันดั่งคำ ‘ฟ้าส่งจิวยี่มาเกิด ไฉนส่งขงเบ้งมาเกิดด้วย’ ไม่มีผิด…
หลังจากเห็นสายตาของจ้าวจี้หันมามองตราผนึกมารในมือ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นหวาดผวา ต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าจ้าวจี้คงรู้แล้วว่าของในมือเขาคือ ตราผนึกมาร กล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านึกออกแล้ว?”
“ทำไมตอนนี้เจ้าเงียบไปแล้วล่ะ? ไม่ใช่เจ้าบอกไว้ก่อนหน้าหรือว่าจะค่อยๆทรมานข้าให้ตายอย่างช้าๆ…แล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะเชือดเนื้อเถือหนังข้าหมื่นชิ้นรึไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยเยาะถามไป
เมื่อต้วนหลิงเทียนเปิดเผยตัวตนพร้อมหยิบชักตราผนึกมารออกมา สถานการณ์เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปดั่งพลิกฟ้าคว่ำดินกันเลยทีเดียว!
จ้าวจี้ที่เคยได้เปรียบตอนนี้หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ!
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกชกจนบาดเจ็บเล็กน้อยเมื่อครู่ ตอนนี้เป็นคนคุมสถานการณ์ไว้หมดสิ้น