ตอนที่ 55 - 4 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ฝูงขุนนางต่างมีสีหน้าประหลาดใจ พวกเขารู้แน่ว่าจิ่งเหิงปัวไม่ได้หันหน้ามา ไม่ได้หันหน้ามาแล้วจะรู้ได้อย่างไร สิ่งของคือสิ่งที่มหาปราชญ์ฉวยโอกาสคว้ามา มหาปราชญ์คงไม่สมรู้ร่วมคิดกับราชินีเป็นแน่ สำหรับคุณธรรมของเจ้าผู้ชรานี้ทั้งราชสำนักล้วนเชื่อถือได้ 

 

 

ราชินีองค์ใหม่มีสิ่งมหัศจรรย์มากมายโดยแท้ เกือบจะเทียบเคียงปีศาจ! 

 

 

กงอิ้นดื่มชาอึกหนึ่งเชื่องช้า 

 

 

เมื่อครู่ในฝ่ามือนางคือสิ่งใด 

 

 

นางยังมีของดีที่ตนเองซุกซ่อนไว้อย่างเงียบเชียบมากเพียงใดกันแน่ 

 

 

… 

 

 

“เมื่อครู่ผู้คนส่วนมากต่างกำลังเงยหน้า” เฟยหลัวแบะปาก ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “หรือว่ามีผู้หันกายแอบมองอย่างรวดเร็วก็ไม่รู้สินะ” 

 

 

“มาสิ ปิดตาข้าไว้” จิ่งเหิงปัวกล่าวทันทีว่า “จากนั้นเจ้าเปลื้องผ้าร่ายระบำหลังกายข้า ข้ารับรองว่าสามารถเอ่ยออกมาได้ว่าบนร่างกายเจ้ามีตำหนิที่ใดมีรอยแตกลายที่ใดมีรอยทำแท้งที่ใด” 

 

 

เฟยหลัวขมวดคิ้วเรียวยาว เอ่ยว่า “รอยแตกลายอะไร…” จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมาเลือนราง ตะคอกว่า “เจ้ากล้าเหยียดหยามข้า!” 

 

 

“หากเจ้าไม่มีข้าจะขอโทษเจ้า” นักเลงหญิงจิ่งเหิงปัวมองดูนางอย่างยิ้มแย้มปรีดา กล่าวต่อไปว่า “ทว่าต้องพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนนะ เป็นอย่างไร สักหน่อยหรือไม่” 

 

 

ใบหน้าของเฟยหลัวแดงซ่าน สะบัดแขนเสื้อจากไป…ปะทะคารมกับอันธพาล นับว่าโง่เขลายิ่งนัก 

 

 

“ไม่เชื่อหรือ” จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา กล่าวว่า “เช่นนั้นให้คนเป็นมาทดสอบ หันหลังทำท่าทางใส่ข้าอยู่ข้างหลัง ดูว่าข้ารู้หรือไม่” 

 

 

“กระหม่อมเอง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มยกมือขึ้นโดยพลัน เอ่ยว่า “องค์ราชินี กระหม่อมอยากทำท่าทางหนึ่งให้พระองค์มาเนิ่นนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“เพียะ” เสียงหนึ่ง กงอิ้นที่นั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อนวางถ้วยลงโดยพลัน ลุกขึ้นเชื่องช้า เอ่ยว่า “กระหม่อมเอง” 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มนั่งลงไปอีกครั้ง ในสายตายังมีความหยอกล้อหลายส่วน 

 

 

สำหรับจิ่งเหิงปัวแล้วใครจะมาก็ไม่เป็นไร ยิ้มแย้มกวักมือให้กงอิ้น 

 

 

กงอิ้นถลกแขนเสื้อขึ้นเวทีมา เดินไปยังที่ซึ่งห่างจากข้างหลังนางหนึ่งจั้ง ยืนหันหลังให้นาง 

 

 

เขาหันหน้าหาด้านในของเวทีหลากสี เบื้องหน้าคือฉากหลังม่านผืนใหญ่สีแดงผืนหนึ่ง เขาคล้ายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยกมือขึ้นมาทอดลงบนม่านผืนใหญ่ 

 

 

นิ้วมือยกขึ้นลงไม่กี่ครั้ง ม่านผืนใหญ่ฉีกขาดโดยไร้เสียง 

 

 

จิ่งเหิงปัวหงายมือไว้ การ์ดกล้องถ่ายรูปในมือดังแชะเสียงหนึ่งปล่อยภาพถ่ายออกมา จิ่งเหิงปัวยกแขนเสื้อขึ้นมามองท้องฟ้ากล่าวว่า “ดวงอาทิตย์ใหญ่จัง…” อาศัยการบดบังของแขนเสื้อกว้างใหญ่ มองดูภาพถ่ายในฝ่ามือ 

 

 

บนภาพถ่ายกงอิ้นหันหลังให้นาง มือทอดลงบนม่านผืนใหญ่ 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองจนงงงวย เดิมทีนางนึกว่ากงอิ้นจะทำท่าทางที่ค่อนข้างจำแนกได้โดยง่ายจำพวกท่าตวัดดาบ ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาทำแบบนี้ ไม่มีท่วงท่าอะไรสักนิดชัดๆ เลย 

 

 

สายตาของนางทอดลงบนม่านผืนใหญ่นั้นกะทันหัน เดี๋ยวก่อนนะ บนม่านผืนใหญ่เหมือนจะมีรอยขาดเหรอ 

 

 

แนวขวาง โค้งๆ งอๆ ขึ้นๆ ลงๆ เป็นรอยรอยหนึ่ง 

 

 

พิธีเฉลิมฉลองแบบนี้คงจะไม่นำสิ่งของผุผังมาประดับตกแต่ง รอยขาดนี้คงเป็นเพราะเขาทำลงไปแน่นอน 

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ นำภาพถ่ายสอดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ กล่าวเสียงดังว่า “ราชครูฝ่ายขวากำลังฉีกผ้าม่าน!” 

 

 

ผู้คนเบื้องล่างยังคงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวด้านบนได้ชัดเจน ต่างร้อง “ว้าว” เสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใช่เลย! ใช่เลย!” 

 

 

เหล่าราษฎรดีอกดีใจคล้ายคลุ้มคลั่ง พุ่งกายขึ้นมาปานคลื่นธาร ตบไม้กระดานตรงขอบเวทีสูงพลางร้องเสียงดังว่า “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! พระองค์คือเทพธิดาฟ้าประทานแห่งต้าฮวงเรา ในโลกหล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

สิ่งที่พี่ทำไม่เป็นเยอะแยะไป! พี่เพียงแค่โกหกคนอื่นเป็นแค่นั้นเอง! 

 

 

จิ่งเหิงปัวสบถประโยคหนึ่ง ยิ้มแย้มดุจมวลผกาจับมือกับผู้ชมหน้าเวทีพลางกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยน่ะ เรื่องเล็กน้อยเอง ขอบคุณที่สนับสนุน รักพวกเจ้านะ!” 

 

 

… 

 

 

“ฝ่าบาทกระหม่อมรักพระองค์! ไฮๆ ฮัลโหลกระหม่อมรักพระองค์!” อีชีกับเหล่าพี่น้องสายฮาของเขาร้องเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงจากที่ห่างไกล 

 

 

จิ่งเหิงปัวโบกมือให้ทางนั้นอยู่ห่างไกล กงอิ้นที่ลงจากเวทีแล้วหันข้างมองดูทิศทางนั้นอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง 

 

 

นับว่าพวกเขาอ่านสถานการณ์ออก มิกล้าประชิดใกล้ 

 

 

มิฉะนั้นนึกว่าตี้เกอมิกล้าแตะต้องเจ็ดสังหารเชียวหรือ 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังเสียงร้องดังโหวกเหวกโวยวายทางนั้น กำลังยุ่งอยู่กับการจับมือยิ้มแย้มรับช่อดอกไม้เสพสุขการปฏิบัติแบบซูเปอร์สตาร์ หยุดชะงักทันที 

 

 

อะไร… 

 

 

ปัว… 

 

 

เส้นโค้งงอนั้นที่กงอิ้นวาดเมื่อครู่… 

 

 

ปัวลั่ง ปัว 

 

 

จิตใจนางว้าวุ่นขึ้นมาทันที หลงลืมว่าตนเองกำลังทำอะไร นั่งยองตรงขอบเวทีแล้วเริ่มตะลึงงัน ถูกพวกบ้ากามตั้งหลายคนแอบจับมือยังไม่รับรู้ 

 

 

จนกระทั่งใบหูเจ็บปวดขึ้นมา นางฟื้นคืนสติยื่นมือลูบคลำ บนพื้นมีกลีบเลี้ยงดอกไม้ร่วงลงมา พอมองดูอีกครั้ง มหาเทพกำลังมองนางอย่างเฉื่อยเนือยแน่ะ ในมือถือดอกไม้ที่ไม่มีกลีบเลี้ยงดอกหนึ่งอย่างไม่ปิดบัง 

 

 

ความคิดกว้างไกลและงดงามเมื่อครู่ของจิ่งเหิงปัว ถูกมหาเทพผู้ชอบทำลายบรรยากาศเป็นที่สุดดับสูญดังสวบ 

 

 

คิดมากเกินไปแล้ว! 

 

 

ปัวไม่ปัวอะไรเล่า! 

 

 

เขาแค่ทำท่าทางตามใจชอบบนเวทีแค่นั้นเอง จะเกี่ยวข้องกับนางได้อย่างไร ในสมองของเขานอกจากก้อนหินแล้วก็คือต้าฮวง มีพื้นที่มากมายขนาดนั้นให้จิ่งเหิงปัวคนนี้เหรอ 

 

 

นึกว่านี่คือนิยายโรแมนติกน้ำเน่าเหรอ 

 

 

ฮึ! 

 

 

ท่ามกลางเหล่าราษฎรผู้ตกอยู่ในความตื่นเต้น ผู้คนเบียดเสียดหนาแน่นพิงอยู่หน้าเวที ยื่นมือไปยืดยาวด้วยปรารถนาจะได้สัมผัสปลายนิ้วราชินีผู้ทรงอัศจรรย์สักเพียงน้อย 

 

 

ทว่าราชินีถูกราชองครักษ์สองนายลากกลับไปอย่างรวดเร็ว ราชองครักษ์เชิญราชินีประทับยืนด้านหลังอย่างมีมารยาท หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ราษฎรเบียดเสียดมาเบื้องหน้าเหยียบย่ำกันจนถึงชีวิต 

 

 

ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจิ่งเหิงปัวโศกเศร้ามากด้วยไม่อาจเสพสุขการปฏิบัติแบบซูเปอร์สตาร์ต่อไป แต่ยังคงร่นถอยกลับไปกลางเวทีอย่างว่านอนสอนง่าย สบสายตาทั้งโศกเศร้าทั้งเฝ้ารอคอยของทุกคน อาการชอบโอ้อวดของนางกำเริบอีกครั้งแล้ว ตัดสินใจว่าแสดง “ความสามารถพิเศษ” เพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างย่อมได้ หากจะสั่นสะเทือนก็ต้องสั่นสะเทือนรุนแรงให้ราษฎรต้าฮวงได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำแบบลึกซึ้งที่สุดไปเลย จะได้กรุยทางพื้นฐานมวลชนของตนเองให้ดี 

 

 

“ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ลืมเอ่ยไป ข้ายังวาดภาพได้ด้วย” นางยิ้มแย้มอย่างเชื่องช้า 

 

 

ความตื่นเต้นของทุกคนลดลงเล็กน้อย การวาดภาพได้ไม่นับว่าเป็นความสามารถพิเศษอะไร สำหรับสตรีในตระกูลใหญ่นี่คือความสามารถพิเศษที่จำเป็นต้องตระเตรียม ต่อให้ฉวยโอกาสลากคนธรรมดาผู้หนึ่งริมทางมาอาจจะยังสามารถวาดได้สักเล็กน้อย 

 

 

“ภาพวาดของข้า” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ กล่าวว่า “แตกต่างจากที่พวกเจ้าจินตนาการ ภาพวาดของข้าเรียกว่า…” นางหรี่ตาขึ้นมาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวว่า “เรียกว่าภาพจารึกประวัติศาสตร์นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถทำได้เหมือนกันเป๊ะไร้ซึ่งความผิดพลาดซูเปอร์สปีดขนาดมินิ!” 

 

 

อะไรนะ 

 

 

บนใบหน้าของทุกผู้คนผุดเผยสีหน้างงงวย 

 

 

“วาจาแรกไม่ต้องอธิบายแล้ว นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถทำได้น่ะ ส่วนวาจาหลัง” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีอธิบายว่า “เหมือนกันเป๊ะพวกเจ้าคงเข้าใจกระมัง คือว่าคล้ายกันโดยสิ้นเชิงน่ะ ซูเปอร์สปีดคือเอ่ยว่าเร็ว เร็วกว่าพวกเจ้าวาดภาพมาก ขนาดมินิคือเอ่ยว่าเล็ก อืม ขนาดประมาณฝ่ามือ” นางชูฝ่ามือให้เห็น 

 

 

เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาที่อยู่ห่างไกลตะโกนโดยพลันว่า “ฝ่าบาทพระหัตถ์ของพระองค์ขาวจังเลย!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแย้มยิ้มดุจมวลผกา เอ่ยว่า “ขอบใจ!” 

 

 

สองมหาราชครูผู้หนึ่งส่งสายตาวูบไหวมองไปทางนั้น ผู้หนึ่งใช้นิ้วมือกดฝาถ้วยไว้ ไตร่ตรองว่าจะใช้สอยกองทัพสังหารพวกมันหรือไม่ 

 

 

“ขอชมภาพวาดฝีพระหัตถ์เทพของฝ่าบาท!” เหล่าราษฎรสับสนอลหม่านขึ้นมาอีกครั้ง ฝูงขุนนางกลับมิเอ่ยวาจาแล้ว ยามราชินีองค์ใหม่องค์นี้แสดงความสามารถระลอกแล้วระลอกเล่า ฝ่ามือสะบัดลงมาดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน ยามนี้ผู้ใดต่างไม่กล้าใช้น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความยั่วยุตามใจชอบ 

 

 

“จัดเตรียมของสักสิ่งให้ข้าวาดเถิด” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มให้ฝูงขุนนาง 

 

 

ไม่มีผู้เอ่ยวาจา ยามนี้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าในเมื่อราชินีกล้าเอ่ยย่อมกระทำได้เป็นแน่ ผู้ใดต่างไม่ยินยอมไปยกเกี้ยวนี้ให้นาง 

 

 

กงอิ้นมองมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางปราดหนึ่ง วางถ้วยลงไตร่ตรองสักพัก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ทว่าประคองถ้วยขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เมื่อครู่เขาออกหน้าไปเสียแล้ว ยามนี้ไม่เหมาะสมหากต้องแสดงตนมากเกินไป อย่างไรเสียมวลชนจ้องมอง ยังมีผู้มีเจตนาแอบแฝงค่อนข้างมาก 

 

 

นิ้วมือของเหยียลี่ว์ฉีเคาะบนผิวโต๊ะ สายตาระยิบระยับกำลังจะปริปาก มหาปราชญ์พลันยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำขอที่ไร้เหตุผลพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เชิญเอ่ย” จิ่งเหิงปัวรักษาความเคารพพื้นฐานต่อคนที่มีคุณธรรมมีความรู้ไว้ได้ตลอดมา 

 

 

“กระหม่อมหวังมาโดยตลอดว่าจะมีภาพเหมือนสักภาพหนึ่ง” มหาปราชญ์ฉังฟังหรี่ดวงเนตรชรายิ้มแย้มเอ่ยว่า “แลเคยเชิญจิตรกรเอกในตี้เกอมาวาดภาพกระหม่อม แม้ว่าวาดออกมาได้ดียิ่งนัก ทว่าเหล่าจิตรกรเอกคงจะด้วยเพราะเคารพรักใคร่กระหม่อมเหลือเกิน มักจะวาดกระหม่อมจนอ่อนวัยไปไม่น้อย แลดูผิวชุ่มชื้นเรียบเนียน แม้ว่ามองดูแล้วถูกใจนัก ในความเคลิบเคลิ้มนั้นแลคล้ายไม่รู้สึกว่ากาลเวลาผันผ่านวัยเฒ่าชราไปมากเพียงใด ทว่าชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หากตนเองที่แท้จริงยังมองไม่เห็น จักเอ่ยถึงเรื่องมองผู้อื่นให้ชัดเจนได้อย่างไร ฉะนั้น กระหม่อมอยากมองผิวเ**่ยวย่นผมขาวโพลนของตนเองให้ชัดเจนยิ่งนัก ขอฝ่าบาททรงประทานให้สมปรารถนาพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยสิ้นแล้วโค้งกายเล็กน้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังอย่างคล้ายเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ เข้าใจส่วนใหญ่ว่าเจ้าผู้ชราต้องการจะมองความแก่เฒ่าของตนเองให้ชัดเจน ในใจยังมีเคารพเลื่อมใสหลายส่วน…นึกถึงยุคนั้นของเราในตอนนั้นไม่ยอมแก่ลงสุดชีวิตเลยล่ะ ทุ่มเททั้งหมดที่มีไปศัลกรรม พอล้างหน้าแก่เหมือนแม่เรา พอมีลูกไม่เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่แต่เหมือนคางคกน่ะ! 

 

 

ใครนั่นไม่ใช่เคยกล่าวไว้เหรอ กล้าที่จะเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก ตอนนี้คนที่กล้าที่จะเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากนับเป็นชายชาตรีทั้งนั้น! 

 

 

ไม่ต้องกล่าวแล้ว สนับสนุน! 

 

 

“ท่านวางใจ!” นางยิ้มจนตาหยีเช่นกัน กล่าวว่า “ต้องวาดภาพท่านที่สมบูรณ์พูนพร้อมไม่ขาดแม้แต่เส้นเดียวภาพหนึ่งเป็นแน่ ทว่ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ท่านกับข้าวาดภาพในห้องลับ ระหว่างการวาดภาพนั้น ท่านสาบานว่าจะไม่บอกกล่าวผู้ใดก็ตาม” 

 

 

“แน่นอน” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชำเลืองตามองตาเฒ่า ใจคิดว่าโพลารอยด์ชิ้นเดียวของพี่ก็สามารถท่องไปทั่วต้าฮวงของเจ้าได้แล้ว แต่อีกเดี๋ยวจะใช้วิธีอะไรที่ทั้งไม่ให้เจ้าผู้ชรามองเห็นกล้องถ่ายรูป ทั้งสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างชัดเจนจนกำราบตาเฒ่าตำแหน่งสูงส่งคนนี้ได้นะ 

 

 

แล้วจากนั้นจะใช้วิธีอะไรที่ทำให้เหล่าเจ้าขุนมูลนายที่ใจดำซับซ้อน คิดถึงเพียงแต่ประโยชน์ส่วนตนฝูงหนึ่งนี้ตื่นตะลึงได้นะ