ราชองครักษ์บนเวทีกางผ้าม่านผืนหนึ่งตรงนั้นภายใต้การจัดการของจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวกับฉังฟังเข้าไปหลังผ้าม่าน ส่วนทุกคนที่รอคอยอยู่เบื้องล่างต่างรู้ว่าการวาดภาพเสียเวลาเป็นที่สุด จึงมีผู้เดินออกไปซื้ออาหาร มีผู้นั่งลงดื่มน้ำ มีผู้เริ่มเปิดวางเดิมพันว่าราชินีจะใช้เวลานานเพียงใดในการวาดภาพหนึ่งภาพ

 

 

“จ่ายแล้วยกมือนะจ่ายแล้วยกมือ!” อีชีคือเจ้ามือที่กระโดดขึ้นกระโดดลงอย่างคึกคักที่สุดในนั้น

 

 

“ข้าพนันหนึ่งชั่วยาม!”

 

 

“ข้าพนันครึ่งชั่วยาม!”

 

 

“ข้าพนัน…” อีชีกำลังตระเตรียมจะลงครึ่งชั่วยามเช่นกัน หันหน้าโดยพลัน

 

 

ผู้ที่กินอาหารแหงนหน้าขึ้น หลงลืมเคี้ยวอาหารที่อยู่เต็มปาก ส่วนผู้ดื่มน้ำก้มหน้าอย่างรุนแรง เกือบจะสำลักน้ำสิ้นชีพ

 

 

ผ้าม่านเบื้องบนสะบัดออกโดยพลัน

 

 

ฉังฟังเดินโซซัดโซเซพุ่งออกมา สองมือสั่นเทิ้ม พุ่งออกมาไม่กี่ก้าวแล้วเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากสั่นสะท้านคล้ายตื่นเต้นจนยากจะควบคุมตนเอง

 

 

ทุกคนตื่นตะลึงจนยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียง ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องชั่วร้ายใดขึ้นมาอีก มีผู้เอ่ยพึมพำว่า “วาดได้อัปลักษณ์เหลือเกินจนทำให้มหาปราชญ์ตกตะลึงเสียแล้วหรือ”

 

 

มีเพียงนัยน์ตาของอีชีที่กลอกไปมา ดวงตากะพริบวูบ ใช้มือตบลงครั้งหนึ่งโดยพลันพลางเอ่ยว่า “ข้าพนันชั่วพริบตา! ยามนี้วาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว!”

 

 

“เหลวไหล!” ทุกคนพ่นลมออกจมูก

 

 

หากวาดรวดเร็วเพียงหนึ่งเค่ออาจจะเป็นไปได้ ทว่าหากเอ่ยว่ายามนี้วาดเสร็จแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร กระดาษวาดภาพยังไม่ทันได้กางออกมาเลยด้วยซ้ำ

 

 

สายตาของเซวียนหยวนจิ้งผุดเผยรอยยิ้มสายหนึ่ง สืบเท้าก้าวไปประคองฉังฟัง เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสฉัง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าวาดได้ชุ่ยเกินไป ผู้อาวุโสฉังมีรูปโฉมสูงวัยสูงส่ง จะถูกพู่กันธรรมดาบนโลกมนุษย์แต่งแต้มมั่วซั่วได้อย่างไร พวกเราจะต้อง…”

 

 

วาจาน้ำไหลไฟดับของเขาถูกเสียงร้องปลื้มปีติยิ่งนักเสียงหนึ่งของฉังฟังขัดจังหวะ

 

 

“สวรรค์มีตา!” ฉังฟังกางมือทั้งสองข้างออก เงยหน้าร้องเสียงดังว่า “ในที่สุดได้จุติเทพธิดา พระราชทานแก่ต้าฮวงเรา!”

 

 

มือที่ยื่นออกไปของเซวียนหยวนจิ้งหยุดค้างกลางอากาศ กล้ามเนื้อบนใบหน้าชักเกร็งเป็นระลอก

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเบื้องล่างเขวี้ยงอาหารขว้างน้ำดื่ม ผู้ที่อยากนอนลงรีบเร่งพลิกกายลุกขึ้นมา

 

 

อีชีเป็นผู้หนึ่งซึ่งรู้สึกตัวรวดเร็วที่สุดจริงแท้ นัยน์ตากลอกเพียงครั้งเก็บเงินวางเดิมพันด้วยท่าทางยินดีแทบบ้าคลั่ง ร้องว่า “ข้าชนะแล้ว! จ่ายเงินจ่ายเงิน!”

 

 

“มหาปราชญ์…” เสียงของเซวียนหยวนจิ้งแหบแห้งเล็กน้อย

 

 

ร่างกายจิตใจของตาเฒ่าฉังดั่งมีกำลังวังชามากมายขึ้นมาโดยพลัน เดินหลบหลีกเขาอย่างว่องไว เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผู้ชราสามารถพิสูจน์ได้ ฝ่าบาททรงวาดภาพเสร็จแล้ว อีกทั้งดั่งวาจาที่พระนางตรัสไว้ว่ารวดเร็ว! เสมือนจริง! ไม่ขาดหายแม้เพียงเส้นเดียว!”

 

 

ทุกคนฮือฮา ต่างรู้ว่าฉังฟังเป็นผู้ซื่อตรงราวแผ่นไม้จนแทบจะเคร่งขรึมเข้มงวด อุปนิสัยชอบหาเรื่องติถึงขนาดควานกระดูกออกมาจากไข่ไก่ได้ วาจาเช่นนี้เอ่ยออกมาจากปากเขา อำนาจบารมีดุจดังผ้าเช็ดหน้าพิสูจน์พรหมจรรย์ในคืนเข้าหอผืนนั้น

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” มีผู้เอ่ยว่า “ขอจงเผยให้เหล่าข้าได้เชยชมด้วยความเคารพศรัทธา”

 

 

“ไม่ต้อง” เจ้าผู้ชราขยับสาบเสื้อให้แน่น เอ่ยว่า “ภาพยอดเยี่ยมนี้มีร่องรอยแห่งเซียน ราชินีได้ตรัสว่าหากผู้คนมากมายเชยชมจะไปกำจัดจิตวิญญาณของมัน ผู้ชรารับปากราชินีว่าจะไม่ให้ผู้คนมากมายเกินไปได้เห็น”

 

 

“คงต้องให้พิสูจน์สักหน่อยกระมัง” เซวียนหยวนจิ้งมองเขาด้วยหางตา เอ่ยว่า “มหาปราชญ์ไม่ให้ดู หรือว่ามีสิ่งอื่นสิ่งใดซ่อนอยู่”

 

 

“ผู้ชราเห็นพวกเจ้าต่อต้านราชินีทุกแห่งหน เช่นนี้ถึงเรียกว่ามีมารร้ายในใจ!” ฉังฟังไม่ไว้หน้าเขาสักเพียงน้อย สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งจนใบหน้าชราของเซวียนหยวนจิ้งเขียวคล้ำ

 

 

ผ้าม่านสะบัดเพียงครั้ง จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มออกมา ก้าวฝีเท้าเปี่ยมเสน่ห์ล้นเหลือเช่นแมว กล่าวว่า “ภาพวาดของข้านี้น่ะมีสิ่งมหัศจรรย์จริงแท้ ไม่เพียงแต่คนมองมากแล้วจะสูญเสียจิตวิญญาณ อีกทั้ง…” นางยิ้มแย้มชำเลืองมองเซวียนหยวนจิ้ง ซังต้ง เฟยหลัวกลุ่มหนึ่งนั้น กล่าวว่า “ผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ต่อให้วาดเสร็จแล้วย่อมจะเลือนรางอย่างรวดเร็วยิ่งนัก”

 

 

“เอ่ยวาจาเหลวไหลอะไร!” เซวียนหยวนจิ้งแค่นเสียงเย็นชา

 

 

“มหาปราชญ์ เช่นนั้นให้ขุนนางร่วมสำนักที่ท่านคิดว่ามีคุณสมบัติน่าเชื่อถือได้เห็นสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม

 

 

ฉังฟังสอดภาพไว้ในแขนเสื้อเฉกเช่นของล้ำค่า เดินไปยังข้างกายขุนนางกองพิธีการกลุ่มนั้น ล้วงภาพถ่ายใบหนึ่งออกมา…อย่างระมัดระวัง

 

 

แน่นอนว่าเขาคิดว่านั่นคือภาพวาด

 

 

เมื่อครู่ในผ้าม่าน ราชินีให้เขาเบนหน้าเพียงน้อยจับจ้องมองที่ห่างไกล ตนเองเดินไปยังด้านข้างของเขา ให้เขาได้ยินเสียงใดไม่ต้องตื่นเต้น แลไม่ต้องแบ่งความสนใจเบนสายตาไป นั่นคือช่วงเวลาที่เทพประทานความฉลาดหลักแหลม ไม่อาจเคลื่อนไหวรบกวน

 

 

เขากระทำตามทุกสิ่ง หันกายนั่งตัวตรงตั้งใจจับจ้องเมฆขาวกลุ่มหนึ่งริมขอบฟ้า กำลังกังวลว่ากระดูกผู้ชราปูนนี้นั่งท่วงท่านี้นานไปจะเกิดปัญหาหรือไม่ พลันได้ยินเสียงแชะเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นราชินีจึงตรัสว่าเรียบร้อยแล้ว

 

 

เฒ่าฉังฟังตื่นตะลึงพรึงเพริ้ด

 

 

จากนั้นยามเขามองเห็น “ภาพจารึกประวัติศาสตร์นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถทำได้เหมือนกันเป๊ะไร้ซึ่งความผิดพลาดซูเปอร์สปีดขนาดมินิ” นั้น พลันตื่นตกใจมากยิ่งขึ้น

 

 

ยามนี้เขาล้วงสิ่งของออกมาอย่างยินดีปรีดา ตระเตรียมทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจ

 

 

หลายคนนั้นตื่นตัวขึ้นมาดังคาดการณ์ ใบหน้าเปี่ยมด้วยความโกรธแค้นถลึงตาใส่ราชินี เหล่าขุนนางกองพิธีการที่ในใจด่านางว่าหลอกลวงโลกหล้า ขัดขืนฝืนใจยื่นหน้าออกมา ดวงตาเบิกกว้างแล้วโดยพลัน

 

 

นี่ๆ นี่ๆ…นี่คือภาพหรือ

 

 

บนโลกนี้มีภาพวาดเช่นนี้หรือ

 

 

บน “ภาพในภาพวาด” ฉังฟังหันกายนั่งตัวตรงมองไปไกลขอบฟ้า แสงเงาเหลืองอ่อนยามบ่ายประทับบนคิ้วสีดอกเลาของเขาจนดูลายพร้อยแลทั้งลึกซึ้ง สายตาลึกล้ำเงียบสงัด บรรยายการแปรเปลี่ยนโดยไร้วาจากับการสั่งสมพ้นผ่านกาลเวลา

 

 

สิ่งที่ทำให้คนยิ่งอุทานอย่างตื่นตะลึงคือรูปร่างหน้าตา สีผิว กระทั่งริ้วรอยทุกเส้นบนใบหน้านั้นต่างชัดเจนจนคล้ายดั่งฉังฟังนั่งอยู่ตรงเบื้องหน้า แม้แต่ไฝเม็ดเล็กเม็ดน้อยเม็ดหนึ่งใต้ลำคอยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

“ภาพในภาพวาด” เผยให้เห็นอายุและลักษณะหน้าตาที่เป็นของฉังฟังทั้งสิ้น ทว่าแสงเงาที่สมบูรณ์แบบนั้นได้บดบังความชรานั้นไว้ ทำให้คนไม่รู้สึกว่าผู้ชราในภาพอ่อนแอแก่หง่อมอย่างไร รู้สึกเพียงว่าความฉลาดเฉียบแหลมลึกล้ำซึ่งเป็นของผู้อาวุโสกับผู้มีปัญญา รวมถึงบุคลิกสงบเยือกเย็นได้ผุดเผยออกมาจากใบหน้า

 

 

อัสดงงดงามไร้สุดสิ้น ไม่ยอมยินหวาดหวั่นสายัณห์เลือน

 

 

ต่างเป็นผู้มีสายตาแหลมคม การลงเส้นอย่างสมบูรณ์แบบและแสงเงาของ “ภาพ” นี้ก่อให้เกิดเสียงชื่นชมเซ็งแซ่ของทุกผู้คนโดยพลัน สิ่งน่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือภาพเล็กไปหน่อย

 

 

ทุกผู้คนล้วนมองออกว่าเฒ่าฉังฟังชื่นชอบ “ภาพ” นี้จนถึงกระดูก เพิ่งยื่นภาพออกไปเพียงชั่วครู่ เขาก็เริ่มเร่งเร้า เอ่ยว่า “ทุกท่าน เบามือหน่อย! ระวังหน่อย! อ๊ะ! อย่าหายใจแรง! อย่าได้อุทานอย่างตื่นตะลึง! ดูเสร็จหรือยัง ผู้ชราจะเก็บแล้วนะ!”

 

 

ทุกคนอดจะสะอึกสะอื้นไม่ได้ แม้แต่เสนาพิธีการที่จู้จี้ที่สุด ยามคืนภาพกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ยังอดจะไม่ได้ที่จะถอนใจเอ่ยว่า “จิตรกรที่โดดเด่นที่สุดในตี้เกอยังมิอาจวาดได้ถึงขนาดนี้! ลายเส้นแห่งเทพสวรรค์โดยแท้ พลังมนุษย์มิอาจกระทำได้!”

 

 

ฉังฟังผู้เอาจริงเอาจังยามนี้ยิ้มแย้มเบิกบาน รับคืนมาอย่างเร่งรีบด้วยกลัวว่านิ้วมือของผู้คนจะทำให้สิ่งล้ำค่าของเขาสกปรก พอเห็นท่าทางที่เขาเปิดผ้าลายปักสามชั้นออกอย่างระมัดระวัง ห่อ “ภาพ” นี้อย่างดีทีละชั้นละชั้น ของสิ่งนี้คงจะเป็นของล้ำค่าที่สืบทอดต่อไปของตระกูลฉังแล้วนับแต่นี้

 

 

เหล่าฝูงขุนนางมองดูด้วยเสียงชื่นชมเซ็งแซ่ อิจฉาตาร้อน ต่างรู้สึกว่า “ภาพ” เช่นนี้หาได้ยากยิ่งบนโลกมนุษย์ หากตนเองได้มีสักภาพคงจะดี จะได้เป็นสิ่งให้ลูกหลานรุ่นหลังระลึกถึงตน สิ่งของเช่นนี้สามารถสืบทอดต่อไปได้หลายชั่วคน มิอาจสูญสิ้นตลอดกาลอย่างแท้จริง

 

 

มนุษย์มักมีความหวาดกลัวยากจะเอ่ยต่อเรื่องหลังความตายแล้ว สิ่งที่หวาดกลัวบางครามิใช่ความตาย ทว่าคือการสูญสลายหายไปจนสิ้นของมนุษย์เช่นตนเองนี้ ร่องรอยที่เคยมาโลกมนุษย์ถูกกำจัดไปจนสิ้นนับแต่นั้น สำหรับทุกคนแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ยากจะอดกลั้นยิ่งนัก โลกในภายหลังถึงมีการบันทึกภาพทุกชนิด ปลอบโยนจิตใจหวาดกลัวต่อการสูญสิ้นหลังความตายของผู้คน ฉะนั้นยามนี้ “ภาพเหมือน” ชัดเจนอย่างยิ่งเช่นนี้ มีแรงดึงดูดใจทุกคนมากมายกว่าของหรูหราทั่วไปนัก

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองสีหน้าของทุกคนแล้วหัวเราะเริงร่า คำนวณว่าอนาคตอันใกล้คงจะมีเงินทองก้อนใหญ่ไหลมาเทมาแล้ว

 

 

แต่ว่าตอนนี้ วิธีใช้กล้องโพลารอยด์ตัวนี้ยังเผยออกมาไม่หมดเลยนะ

 

 

นางมองเฟยหลัวแวบหนึ่ง ตอนนี้เฟยหลัวกำลังหันหน้าคุยกับคนข้างกาย จากนั้นขยับเดินไปอีกหลายก้าว หันข้างให้จิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวรีบฉวยโอกาสปล่อยแขนเสื้อลง หันข้างทำท่าเช็ดเหงื่อ กล่าวว่า “ร้อนจัง…” พลางรีบเร่งกดแชะถ่ายรูปใบหนึ่ง

 

 

เฟยหลัวคล้ายรู้สึกได้จึงหันหน้ากลับมาโดยพลัน จิ่งเหิงปัวปล่อยแขนเสื้อลงแล้ว รอคอยสักครู่ให้ภาพถ่ายออกมา นางอาศัยจังหวะยกแขนเสื้อขึ้นลอบมองดูครั้งหนึ่ง ยิ้มออกมา

 

 

ตอนนี้เบื้องล่างเวทีมีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งกำลังสอบถามนางว่า “มิรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงยินยอมแสดงลายเส้นมหัศจรรย์แก่ฝ่ายกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

“ใต้เท้าท่านนี้” จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “นี่มันเรื่องเล็กน้อย ทว่าข้าอยากเตือนเจ้าวาจาหนึ่ง การวาดภาพต่อหน้าสาธารณชนต้องระมัดระวังนะ ภาพวาดของข้าน่ะคือศาสตร์เทพประทานเชียวนะ มิใช่สิ่งที่ตัวข้าเองสามารถควบคุมได้ ศาสตร์เทพประทานย่อมนำพาความสามารถในการจำแนกคุณธรรมมาด้วย คุณธรรมยิ่งสูงส่งยิ่งชัดเจน ภาพเหมือนของมหาปราชญ์แจ่มชัดเสมือนจริง ทั้งนี้ด้วยเพราะผู้สูงอายุเช่นเขามีคุณธรรมสูงส่ง แลด้วยเพราะการอบรมบ่มเพาะจิตใจของตัวผู้สูงอายุเช่นเขาเอง หากคุณธรรมของผู้ใดไม่ผ่านด่าน วาดออกมาลางเรือนพร่ามัว พอถึงยามนั้นคงไม่อาจโทษข้าได้”

 

 

ขุนนางนั้นร้อง “เหอะ” เสียงหนึ่ง ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก เฟยหลัวกลับหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “วาจาเหลวไหลทั้งเพ! ลายเส้นนี้ขึ้นอยู่กับฝีพระหัตถ์ขององค์ฝ่าบาท ทรงอยากวาดให้ชัดเจนย่อมทรงวาดชัดเจน ทรงอยากวาดให้เลือนราง เบื้องล่างพระหัตถ์จงใจสั่นไหวเพียงน้อยย่อมเละเทะแล้ว ตรัสศาสตร์เทพประทานใดไร้สาระ! ราชินีต้าฮวงของเราทรงเสแสร้งแกล้งกระทำคิดจะปิดบังทุกคนเช่นนี้ตั้งแต่ยามใด! ทรงนึกว่าทั่วทั้งราชสำนักแห่งนี้ไร้ซึ่งผู้มีสายตาเฉียบแหลมแล้วจริงหรือเพคะ”

 

 

ขุนนางใหญ่ส่วนหนึ่งมีสีหน้าเห็นด้วย รู้สึกว่าวาจานี้ของราชินีจะเอ่ยได้ตามใจชอบเกินไปเสียแล้ว ความสามารถนี้มิอาจยอมรับได้โดยง่าย มิเช่นนั้นภายหลังนางเห็นผู้ใดขัดหูขัดตา จงใจวาดผู้นั้นให้เละเทะ คนผู้นั้นย่อมแบกรับชื่อเสียง “คนต่ำทราม” อย่างไม่เป็นธรรมไปชั่วชีวิตหรือ จะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!

 

 

“เสนาหญิงจะเอ่ยเช่นนี้มิได้” หนวดเคราของฉังฟังสั่นเทิ้มโดยพลัน เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่เคยลองจะรู้ได้อย่างไรว่าเหลวไหล อีกทั้งเมื่อครู่ฝ่าบาทวาดภาพให้กระหม่อม มิใช่สิ่งที่วาดได้บนโลกมนุษย์โดยแท้ เจ้าเอ่ยว่าสิ่งนี้มิใช่ศาสตร์เทพประทานได้หรือ”

 

 

“วาดได้ลึกซึ้งลี้ลับหน่อยเพียงนั้นเอง” เฟยหลัวไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยว่า “อีกทั้งต่อให้การวาดภาพของนางมีศาสตร์เทพประทาน จะเอ่ยว่าวาดได้เละเทะด้วยเพราะเทพประทานเช่นกัน ข้าคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ”

 

 

“เสนาหญิงเฟยหลัวคัดค้านดุเดือดเช่นนี้ทำอะไร” จิ่งเหิงปัวตอบกลับทันที กะพริบตา กล่าวว่า “เจ้าเปี่ยมคุณธรรมดีงามเช่นนั้น ถึงอย่างไรย่อมวาดได้ไม่เลือนรางแน่ หรือว่าในใจเจ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองไร้ซึ่งคุณธรรมอันดีงาม กลัวว่าจะถูกข้าวาดจนเลือนราง ฉะนั้นจึงคัดค้านอย่างดุเดือด”

 

 

“คุณลักษณะของข้ามิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถวาดออกมาได้” เฟยหลัวหัวเราะอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “เจ้ายั่วยุไปก็ไร้ประโยชน์”

 

 

จิ่งเหิงปัวแบะปาก ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “คุณลักษณะของเจ้าวาดออกมามิได้โดยแท้ เจ้างดงามอัศจรรย์ ทำให้ผู้คนลุ่มหลง อย่างไรเสียความอัศจรรย์ของผู้ที่สมรสตั้งแต่อายุสิบสอง สมรสสามสามีสิ้นชีพสามสามีตายคนหนึ่งปีนก้าวหนึ่งตายอีกคนหนึ่งปีนอีกก้าวหนึ่งสามีที่ตายแล้วของผู้อื่นยิ่งอยู่ยิ่งดวงซวยสามีที่ตายแล้วของเจ้ายิ่งอยู่ยิ่งปวกเปียก คนธรรมดาคงวาดออกมามิได้จริงด้วย”

 

 

“จิ่งเหิงปัว!” เฟยหลัวลุกขึ้นฉับพลัน ยกมือสะบัดเพียงครั้ง ร้องว่า “ทหาร…”

 

 

พวกกงอิ้นเพิ่งจะลุกขึ้น

 

 

จิ่งเหิงปัวยกมือเช่นกัน มือยกสูงเสียยิ่งกว่าเฟยหลัว สะบัด “ภาพเหมือน” ใบหนึ่งลงบนพื้นดังเพียะเสียงหนึ่ง

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร หา เจ้าคิดจะลอบปลงพระชนม์หรือ เจ้าคิดจะสังหารราชินีของพวกเขาต่อหน้าผู้คนนับหมื่นคนนี้หรือ หรือว่าคิดจะสังหารเจ้านายองค์ใหม่ที่พวกเขาคิดว่านำพาความหวังมาให้ต้าฮวงต่อหน้าเหล่าขุนนางที่หวังให้ราษฎรต้าฮวงอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขเป็นอย่างยิ่งพวกนี้หรือ” นางชี้ไปยังจมูกตนเอง กล่าวว่า “อยากหรือ อยากทำก็เข้ามาสิ มาเลย!”

 

 

ฝีก้าวที่ยกขึ้นมาของเฟยหลัวหยุดชะงัก ใบหน้าสีชมพูซีดแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว ความรู้สึกที่ถูกคนนับพันนับหมื่นจับจ้องย่ำแย่ยิ่งนัก ขาของนางค้างอยู่กลางอากาศ รู้สึกเพียงดั่งถูกน้ำหนักนับหมื่นจวิน[1]ทับบนขา ไม่กล้าไม่อาจยกขาขึ้นมา ไม่พร้อมไม่ยอมวางลงขาไป

 

 

ทว่าจิ่งเหิงปัวไม่คิดจะปล่อยนางไปสักนิดเดียว

 

 

 

 

 

[1] จวิน หน่วยวัดปริมาตรและปริมาณ 30 ชั่งเท่ากับ 1 จวิน หรือประมาณ 7.5 กิโลกรัม