บทที่ 1101 พบปะพี่น้อง

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“พอล..”
  ก่อนที่หลิงหยุนจะออกจากคุกใต้ดินเขาได้เรียกพอลมากำชับว่า “รอให้ตกดึกเสียก่อน.. จากนั้นเจ้าค่อยบอกเพียร์ซให้จัดการกับซากศพพวกนั้นด้วย!”
  “ครับเจ้านายที่เคารพ..”
  “ส่วนที่เหลือทั้งห้าคน..เจ้าต้องจัดการเฝ้าไว้อย่างดี อย่าปล่อยให้พวกมันตายได้เด็ดขาด โดยเฉพาะเจ้าสองคนนั่น!”
  พอลพยักหน้ายิ้มๆพร้อมตอบกลับทันที “เจ้านายที่เคารพ.. ไว้ใจบริวารผู้ซื่อสัตย์ได้ จะมีเพียงท่านเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์สังหารพวกมันได้!”
  ทั้งพอลกับเจสเตอร์นั้นทำหน้าที่เฝ้านักโทษมาตั้งแต่ที่อยู่เมืองจิงฉูพวกมันจึงค่อนข้างรู้หน้าที่ และรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี..
  “หลายวันมานี้เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ..”
  หลิงหยุนมองหน้าพอลพร้อมกับเอ่ยถามต่อว่า“เจ้ามาอยู่ประเทศจีนหลายเดือนแล้ว รู้สึกคิดถึงบ้านเกิดของเจ้าบ้างหรือไม่”
  เมื่อพอลได้ฟัง..มันก็รีบตอบกลับหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที “เจ้านายที่เคารพ.. ข้ายินดีเป็นบริวารที่จงรักภักดีของท่าน ได้ทำงานให้ท่านข้าไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย!”
  หลังจากที่หยุดชะงักไปเล็กน้อยพอลก็พูดต่อว่า “ขอตอบเจ้านายตามตรง.. บางครั้งข้าเองก็รู้สึกคิดถึงบ้านอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยินดีติดตามรับใช้เจ้านาย หากข้าทำให้เจ้านายไม่พอใจ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาและรีบอธิบายให้พอลเข้าใจ “ไม่.. ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้า! ข้าเพียงต้องการจะบอกว่า.. อาจจะปีนี้ หรือไม่ก็ปีหน้า ข้าจะพาเจ้ากลับไปบ้านเกิดของตัวเอง!”
  เวลานี้..หลินเมิ่งหานได้เดินทางไปที่ประเทศแคนาดาแล้ว หลิงหยุนจึงตัดสินใจว่ารอให้เขาจัดการกับภารกิจสำคัญๆเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นเขาจะเดินทางไปแคนาดาเพื่อเยี่ยมเยียนหลินเมิ่งหาน และต้องการไปค้นหารังของเหล่าแวมไพร์อีกด้วย ไม่แน่ว่าเขาอาจได้ดาบวิเศษของเหล่าแวมไพร์มาเพิ่มอีก..
  “ขอบคุณเจ้านายที่เคารพ!”พอลตอบหลิงหยุนในขณะที่นัยน์ตาสีฟ้านั้นเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ..
  “เอาล่ะ..ข้าต้องไปก่อนแล้ว!”
  จากนั้น..ร่างของหลิงหยุนก็กระโดดหายออกไปจากคุกใต้ดิน และเมื่อหลิงหยุนออกมาข้างนอกก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว..
  หลิงหยุนเดินตรงไปที่ห้องพักของจินเหยียวอีกครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนดูอาการของนาง..
  “ท่านน้าจินเหยียว..ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
  “ได้สิ..เจ้าเข้ามาได้เลย!”
  น้ำเสียงนุ่มนวลของจินเหยียวดังออกมาจากห้องหลิงหยุนจึงผลักประตูเข้าไปทันที และพบว่าจินเหยียวยังคงอยู่ในเเสื้อผ้าชุดเดิม แต่ครั้งนี้ใบหน้าของนางกลับมีชีวิตชีวา และสดใสกว่าเดิมมาก!
  เวลานี้..เสื้อผ้าของนางนั้นแม้จะเก่า แต่ก็ถูกซักล้างอย่างสะอาดสะอ้าน และผมเผ้าก็ถูกหวีไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย..
  แต่สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ..เวลานี้จินเหยียวได้ถอดผ้าคลุมหน้าออก จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามของนาง หลิงหยุนถึงกับแอบถอนหายใจ และได้แต่คิดว่าหญิงสาวรอบตัวมารดาของเขานั้น ล้วนแล้วแต่หน้าตาหมดจดงดงามทั้งสิ้น..
  แน่นอนว่า..จินเหยียวที่หลิงหยุนพบเห็นในตอนนี้ ก็คือจินเหยียวที่ได้ใช้ยันต์บำบัดรักษาแผลเป็นทั่วใบหน้า และร่างกายเรียบร้อยแล้ว
  เพราะจินเหยียวก่อนหน้านั้นมีแผลเป็นทั่วทั้งใบหน้าและร่างกาย หนำซ้ำผิวหนังบางส่วนยังร่อนออกเห็นแต่เนื้อสีแดงสด ดูราวกับถูกสาดด้วยน้ำกรดก็ไม่ปาน สภาพใบหน้าของนางก่อนหน้านี้นั้นน่าสยดสยองยิ่งกว่าแผลเป็นบนใบหน้าของซือกงถูเสียอีก..
  และบาดแผลของจินเหยียวกับซือกงถูนั้นก็เกิดจากการที่จินเหยียวระเบิดปราณปีศาจในร่างกาย ส่งผลให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นแผลเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัว..
  แม้ว่าจินเหยียวจะกลายเป็นคนเสียสติแต่จิตใต้สำนึกของนางก็ยังคงทำงานได้ดีอยู่ ที่ผ่านมาเมื่อรู้ว่าตนเองมีใบหน้าที่อัปลักษณ์ นางจึงได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าตนเองไว้ตลอดเวลา..
  แต่ด้วยจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนทำให้เขาสามารถมองเห็นแผลเป็นที่น่าเกลียดของนางได้ตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่ได้พบกัน เพียงแต่หลิงหยุนไม่เคยเอ่ยออกมาเท่านั้นเอง..
  “ท่านน้าจินเหยียว..ท่านช่างงดงามยิ่งนัก!”
  หลิงหยุนจ้องมองใบหน้าที่งดงามของจินเหยียวด้วยความตกตะลึงพร้อมกับยิ้มออกด้วยความชื่นชม และภาคภูมิใจ..
  “เด็กน้อย..เจ้าช่างปากหวานเหมือนพ่อของเจ้าไม่มีผิด! พ่อของเจ้าก็ชอบพูดแบบนี้กับแม่ของเจ้าอยู่บ่อยๆ!”
  จินเหยียวตอบหลิงหยุนด้วยใบหน้าที่อบอวลไปด้วยความสุขจากนั้นจึงจูงมือหลิงหยุนไปนั่งพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างพินิจพิจารณา..
  หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอีกครั้งเพราะดูเหมือนจินเหยียวจะสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ดังเดิมแล้ว
  “ท่านน้าจินเหยียว..ไม่ทราบว่าท่านคุ้นเคยกับที่นี่บ้างหรือยัง”
  หลิงหยุนเอ่ยถามจินเหยียวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย..
  “เด็กน้อย..ข้าอาศัยอยู่ข้างนอกมานานถึงสิบแปดปี เวลานี้ได้อยู่ในห้องที่สะดวกสบาย และมีเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นนี้ ข้าก็ลืมไปแล้วว่าบางอย่างมันใช้งานอย่างไร”
  จินเหยียวอาศัยอยู่ตามป่าเขามานานถึงสิบแปดปีแม้อาการเสียสติจะหายแล้ว แต่เครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกบางอย่าง นางก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจใหม่เช่นกัน..
  หลิงหยุนถึงกับเจ็บปวดใจยิ่งนักเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าที่แสนซื่อของจินเหยียวเพราะมันทำให้เขารู้ว่าจินเหยียวต้องอยู่อย่างลำบากยากเย็นมานานมากเพียงใด เวลานี้เข้าต้องการที่จะตอบแทนจินเหยียวกลับไปให้ได้มากที่สุด.. ไอลีนโนเวล
  “ท่านน้า..ท่านไม่ต้องกังวลใจไป! รอให้พี่สาวของข้ามาถึง ข้าจะให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน เรื่องพวกนี้ค่อยๆ เรียนรู้ใหม่ได้!”
  พี่สาวของหลิงหยุนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงซิ่วและนางเองก็เป็นหญิงสาวที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี..
  “ได้เช่นนั้นก็ดีสิ..”จินเหยียวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
  ในเมื่อจินเหยียวหายดีแล้ว..เวลานี้ก็เหลือเพียงปัญหาสุดท้าย!
  “ท่านน้า..หนอนกู่ที่ท่านฝังไว้ในร่างของซือกงถูนั้น ท่านคิดอ่านเช่นไร”
  หนอนกู่ที่จินเหยียวฝังลงไปในร่างของซือกงถูนั้นไม่ใช่เพื่อต้องการจะได้อยู่ร่วมกันกับมัน แต่เพื่อจะได้ตายร่วมกันต่างหากเล่า!
  และหากจินเหยียวยังไม่นำหนอนกู่ออกจากร่างของซือกงถูหลิงหยุนก็ยังไม่สามารถสังหารซือกงถูได้!
  แต่จินเหยียวกลับยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เด็กน้อย.. เจ้าอย่าได้กังวลใจไป! ในเมื่อข้าสามารถฝังหนอนกู่เข้าไปในร่างของมันได้ ข้าก็ย่อมสามารถนำมันออกมาได้เช่นกัน เพียงแต่ข้าต้องพักฟื้นร่างกายอีกสักสองสามวันก่อน..”
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของจินเหยียวก็ถึงกับโล่งใจและดีใจอย่างมาก เขายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับตอบไปว่า
  “ถ้าเป็นเช่นนั้น..ข้าค่อยโล่งใจหน่อย!”
  จินเหยียวยกมือขึ้นลูบศรีษะของหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มให้เขา“เด็กดีของน้า..”
  ในเมื่อเป็นเช่นนี้..หลิงหยุนจึงไม่มีอะไรต้องกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของจินเหยียวอีก และรอคอยเพียงแค่จัดการกับหนอนกู่ในร่างของซือกงถูเท่านั้น..
  “ท่านน้าจินเหยียว..หากท่านต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือของใช้อื่นๆ ได้โปรดบอกกับข้าทันที ข้าจะพาท่านออกไปหาซื้อเอง..”   จินเหยียวยิ้มออกมาอย่างมีความสุข“เด็กโง่.. เรื่องนี้ไม่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว เมื่อเช้าพ่อของเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้ข้าหมดแล้ว กิจวัตรประจำวันของข้ากับแม่ของเจ้านั้น เขายังจดจำได้อย่างแม่นยำ!”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า“อ่อ.. ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ข้าก็คงไม่ต้องกังวลใจอีกแล้วเช่นกัน!”
  หลิงเสี่ยวนับเป็นชายที่ละเอียดอ่อนไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถจัดแจงเรื่องเหล่านี้ให้กับจินเหยียวได้ และแน่นอนว่าเขาย่อมเหมาะสมที่จะดูแลจินเหยียวมากกว่าหลิงหยุน..
  หลิงหยุนกับจินเหยียวนั่งสนทนากันต่ออีกสักพักจากนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องของจินเหยียวด้วยความรู้สึกที่เบาโหวงราวกับได้ยกภูเขาที่หนักอึ้งออกไปจากอก..
  ยังมีเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่หลิงหยุนจะต้องจัดการนั่นก็คือการช่วยให้หลิงเสี่ยวสามารถพัฒนาขั้นให้สูงขึ้นได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  การที่หลิงเสี่ยวถูกซือกงถูจับตัวไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นก็เพราะว่าฝีมือของเขาด้อยกว่าซือกงถูมาก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ในวันข้างหน้าหลิงเสี่ยวก็อาจถูกยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนคนอื่นๆ สังหารได้อย่างง่ายดายเช่นกัน..
  และนี่คืออันตรายที่ยิ่งใหญ่สำหรับหลิงหยุน!
  ศัตรูของหลิงหยุนไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้จึงได้หันมาเล่นงานหลิงเสี่ยวแทน เพื่อหวังใช้หลิงเสี่ยวมาเล่นงานเขากลับอีกที และนี่คือปัญหาใหญ่สำหรับหลิงหยุน!
  แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ได้ ต่อให้เขาร้อนใจมากเพียงใด ก็ต้องคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้เสียก่อน..
  ด้วยเหตุนี้..หลังจากเดินออกมาจากห้องพักของจินเหยียวแล้ว หลิงหยุนจึงออกไปเดินเล่นยังสวนชั้นที่ห้าของคฤหาสนต์ตระกูลหลิง
  คฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นแบ่งออกเป็นทั้งหมดเก้าชั้นซึ่งจะเรียกว่าสวนทั้งเก้า และสวนชั้นที่หนึ่งก็คือด้านหน้าสุด และสวนชั้นที่เก้าก็คือส่วนที่อยู่หลังสุดของคฤหาสน์  สวนชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สี่ซึ่งอยู่ส่วนหน้านั้นตกแต่งในแบบที่ทันสมัย และจากชั้นที่หกถึงชั้นที่เก้านั้น จะตกแต่งด้วยแนวโบราณ อย่างโต๊ะหินแปดเหลี่ยม เก้าอี้ไม้โยก เก๋งจีนกลางน้ำ และอื่นๆที่ดูโบราณอีกมากมาย
  มีแม้กระทั่งลานสำหรับฝึกวรยุทธ..
  สวนชั้นที่ห้านั้น..เป็นสวนขนาดใหญ่ อาจเรียกได้ว่าเป็นเส้นแบ่งพื้นที่ระหว่างสวนส่วนหน้า และสวนส่วนหลังก็ได้ ก็ได้ เพราะที่หน้าประตูจะมีคนคอยเฝ้าไว้ และหากไม่มีเหตุการณ์พิเศษ ผู้เฒ่าหลิงก็แทบไม่ต้องสั่ง หรือกำชับเป็นพิเศษ เพราะไม่ว่าใคร หรือแม้แต่ทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงก็ไม่มีใครกล้าเข้าหากไม่ได้รับอนุญาต..
  แต่ถึงกระนั้น..ก็มีเพียงหลิงหยุนซึ่งหลิงลี่หมายมั่นปั้นมือให้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปเท่านั้น ที่สามารถเดินผ่านเข้าออกได้อย่างสบาย
  “โซนหน้าตกแต่งในแบบสมัยใหม่ส่วนโซนหลังตกแต่งในแบบโบราณเรียบง่าย แม้จะดูขัดแย้ง แต่กลับกลมกลืน และเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ..”
  หลิงหยุนเดินชมคฤหาสน์ตระกูลหลิงไปเรื่อยๆพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ออกมาจนกระทั่งเมื่อมาถึงสวนชั้นที่ห้า หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงร้องตะโกน..
  “นายน้อยสาม..เข้าไปไม่ได้!”
  “นี่..น้องสี่อยู่ด้านใน เจ้าจะห้ามพวกเราทำไมกัน!”
  “นายผู้เฒ่าสั่งไว้ว่า..นายน้อยสี่เพิ่งจะกลับมา ไม่ให้ผู้ใดรบกวน ข้าน้อยทำตามคำสั่งเท่านั้น!”
  หลิงหยุนเพิ่งจะรู้ความจริงว่า..ที่เขาไม่พบเห็นผู้ใดเลยนั้น ก็เพราะว่าท่านปู่ของเขาสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนเข้ามานั่นเอง! novel-lucky
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูจึงพบว่าหลิงหย่ง หลิงเฟิง และหลิงเลี่วย ทั้งสามคนกำลังถูกห้ามไม่ให้เข้ามายังสวนชั้นที่หก
  “พวกเจ้าทำอะไรกันทั้งสามคนเป็นพี่น้องของข้า ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเร็วเข้า!”
  เมื่อเห็นหลิงหยุนเดินออกมาหลิงหย่งก็รีบเดินเข้าไปหาทันทีพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างดีอกดีใจ
  “ฮ่า..ฮ่า.. น้องสี่! ข้ารู้ว่าถ้าเจ้าได้ยินเสียงของพวกเข้า ก็ต้องออกมาแน่นอน!”
  หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยก็วิ่งตามเข้ามาเช่นกันและนอกจากหลิงห่าวแล้ว พี่ชาย และน้องชายร่วมสายเลือดของหลิงหยุนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่จนหมด
  การกลับเข้าตระกูลหลิงของหลิงหยุนในครั้งนี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปักกิ่ง และแม้แต่คนนอกยังรู้เรื่องที่หลิงหยุนกลับมาปักกิ่งแล้ว มีหรือที่เหล่าทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงจะไม่รู้..
  ทุกคนไม่เพียงรู้ว่าหลิงหยุนกลับมาแล้วแต่ยังรู้ว่าลุงสามที่หายตัวไปนั้น ก็ถูกหลิงหยุนช่วยกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้วเช่นกัน!
  และระหว่างที่หลิงหยุนรักษาอาการบาดเจ็บให้กับจินเหยียวนั้นทุกคนก็ได้ไปอยู่ที่บ้านของหลิงเสี่ยวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
  “เข้าไปคุยกันที่เก๋งริมน้ำดีกว่า..”
  ในเมื่อพี่น้องทั้งสี่คนได้พบหน้ากันอีกครั้งเช่นนี้หลิงหยุนจึงไม่รีรอ และรีบชักชวนทุกคนเข้าไปคุยกันที่เก๋งริมน้ำทันที
  ภายในสวนชั้นที่หกนั้นมีสวนไผ่ขนาดใหญ่อยู่ข้าวของเครื่องใช้ก็ล้วนแล้วแต่ทำจากไม้ไผ่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ หรือว่าศาลาริมน้ำ..
  พี่ชายน้องชายทั้งสี่ต่างก็เข้าไปนั่งคุยกันในเก๋งจีนที่มีทั้งป่าไผ่และน้ำล้อมรอบ บรรยากาศช่างสงบร่มรื่นเหมาะแก่การพูดคุยกันยิ่งนัก!
  “น้องสี่..เจ้านี่เก่งชะมัดเลย! หลายเดือนที่ผ่านมาพวกเราพากันหาท่านลุงสามแทบพลิกแผ่นดิน หาอย่างไรก็ไม่พบ! แต่เจ้ากลับมาปักกิ่งเพียงไม่กี่วันก็สามารถหาท่านลุงสามพบ หนำซ้ำยังช่วยกลับมาได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย ข้าชื่นชมและนับถือเจ้ามากจริงๆ!”
  ทันทีที่เข้าไปภายในเก๋งจีนได้หลิงหยุนยังไม่ทันได้นั่งลงด้วยซ้ำไป ทุกคนต่างก็พากันยกนิ้วโป้งให้กับหลิงหยุนด้วยความชื่นชม แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไร..
  สำหรับหลิงหยุนแล้ว..การที่ครั้งนี้เขาสามารถหาหลิงเสี่ยวพบนั้น ต้องยกความดีความชอบให้กับโม่วู๋เตาแต่เพียงผู้เดียว เพราะหากเขาออกค้นหาหลิงเสี่ยวด้วยตัวเอง ก็คงไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร และคงยากที่จะพบเจอได้รวดเร็วเช่นนี้..
  “น้องสี่..ข้าได้ยินจากลุงสามว่าคนที่จับตัวท่านลุงไปก็คือยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นเซียงเทีน-9 ของพรรคมาร! ใช่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ที่ผู้คนต่างพากันเล่าขานว่าเป็นเพียงแค่ตำนานใช่หรือไม่”
  หลิงหย่งเอ่ยถามเรื่องยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9ที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมาอย่างสนอกสนใจ และอยากรู้อยากเห็น..
  หลิงหยุนจึงได้เล่าให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด..
  “ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9นับว่าแข็งแกร่งและมีพลังอย่างน่าอัศจรรย์! ยอดฝีมือในขั้นนี้สามารถใช้พลังปราณของตนเองสร้างเงาลวงตาต่างๆขึ้นมาได้มากมาย อีกทั้งยังสามารถใช้พลังจิตเสกสิ่งต่างๆขั้นมาเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูของพวกเขาได้ ยอดฝีมือในขั้นนี้สามารถสังหารศัตรูได้โดยไม่ต้องประชิดตัวคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำไป..”
  “และสิ่งเหล่านั้นทุกคนต่างก็รู้จักกันในนามของพลังจิตหรือว่าพลังเหนือธรรมชาตินั่นเอง!”
  พี่ชายน้องชายทั้งสามของหลิงหยุนได้แต่นิ่งฟังกันด้วยความตกตะลึงสีหน้าและแววตาของทุกคนนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกอัศจรรย์ใจ และเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น..
  ทุกคนต่างก็มีสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ แววตาของทุกคนเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น..
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“และเรื่องที่พวกเจ้าได้ยินได้ฟังมา ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เพียงแค่ตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น เพียงแต่คนธรรมดานั้นยากที่จะเชื่อ จึงได้บอกว่ามันคือเรื่องเล่าปรัมปราที่เล่าขานกันต่อๆมา..”   พูดจบ..หลิงหยุนก็เดินออกจากเก๋งจีน และใช้วิชาคลื่นคงคาสร้างกระแสน้ำรอบเก๋งจีนให้กลายเป็นกระบี่นทีพุ่งขึ้นจากกลางน้ำพร้อมกับร้องตะโกนสั่ง
  “ตัดให้ขาด!”
  ท่ามกลางสายตาของพี่น้องที่กำลังตกตะลึงหลิงหยุนก็ใช้สองนิ้วของตนเองควบคุมกระบี่นทีให้พุ่งเข้าไปตัดต้นไผ่ที่อยู่ห่างไกลออกไปทันที!
  และเมื่อสิ้นเสียงดังชัวะ!ต้นไผ่ที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็ถูกกระบี่นทีของหลิงหยุนตัดจนขาดครึ่ง และล้มครืนลงมา!
  แล้วหลังจากนั้นกระบี่นทีก็ลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าของหลิงหยุน..
  ภายในเก๋งจีนเวลานี้ตกอยู่ในความเงียบสงัดพี่น้องทั้งสามคนของหลิงหยุนต่างก็กำลังอยู่ในอาการตกตะลึง หลังจากที่รู้สึกตัว.. ทุกคนต่างก็พากันปรบมือให้หลิงหยุน และต่างกฝ่ายต่างก็ร้องชื่นชมหลิงหยุนออกมาด้วยใจจริง!
  “ยอดเยี่ยม!ยอดเยี่ยมมากจริงๆ! สนุกกว่าในดูทีวีอีก!”
  ที่ผ่านมานั้น..เด็กหนุ่มเหล่านี้ต่างก็คิดว่ากระบี่เหินเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่า หรือนิยายปรัมปราเท่านั้น แต่เวลานี้หลิงหยุนกลับทำให้พวกเขาได้เห็นกับตาว่าทุกอย่างนั้นคือเรื่องจริง!
  “พี่สี่..ท่านสามารถใช้พลังจิตได้เช่นนี้ นี่หมายความว่าท่านเองก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน-9 แล้วงั้นรึ”
  และคำถามนี้ก็ดังมาจากปากของหลิงเลี่วยหลานชายคนที่ห้าแห่งตระกูลหลิงนั่นเอง และยังเป็นน้องชายคนเล็กสุดของตระกูลอีกด้วย
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับควบคุมกระบี่นทีให้กลับไปที่สระน้ำดังเดิมแล้วจึงตอบกลับไปว่า
  “ข้าเองก็อยู่ในขั้นที่สามารถใช้พลังจิตได้และสามารถที่จะเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ได้ แต่ข้าไม่ได้อยู่ในขั้นนั้น เพราะข้าคือผู้บ่มเพาะที่แท้จริง และเวลานี้ข้าก็อยู่ในขั้นพลังชี่!”   “วันนี้ข้าจะบอกเล่าทุกอย่างให้พวกเจ้าได้รู้จะได้ไม่ต้องพากันคาดเดากันไปต่างๆนานา ข้าคือผู้บ่มเพาะตนเพื่อความเป็นเซียน!”
  เวลานี้หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่แล้วเขามั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของตนเองในตอนนี้ เขาจะสามารถปกป้องตัวเองได้ และในเมื่อกลับเข้าตระกูลหลิงอย่างเปิดเผยแล้ว หลิงหยุนจึงไม่ต้องการปกปิดเรื่องที่ตนเองคือผู้บ่มเพาะตนเพื่อความเป็นเซียนอีกต่อไป..
  “ผู้บ่มเพาะตนเพื่อความเป็นเซียนงั้นรึ!”
  หลิงเฟิงถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ“น้องสี่.. นี่เจ้าหมายความว่าเจ้าเป็นเหมือนกับเทพบนเขาซูซานงั้นรึ”
  หลิงเฟิงได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนและได้เห็นกระบี่นทีของเขา ก็นึกไปถึงละครจีนกำลังภายในโบราณเรื่องศึกเทพยุทธเขาซูซานขึ้นมาทันที!
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะร่วนและตอบกลับไปว่า “ก็ทำนองนั้นล่ะ..”   หลิงหย่งหลิงเฟิง และหลิงเลี่วยถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง จากนั้นทั้งหมดจึงหันไปจ้องมองหลิงหยุนกันเป็นตาเดียว และหลิงหย่งก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง..
  “ข้าอยากเรียน!เจ้าช่วยสอนให้ข้าด้วยจะได้หรือไม่”
  หลิงหยุนจึงตอบกลับไปยิ้มๆ“หากข้าไม่ต้องการจะสอนให้กับพวกเจ้า แล้วข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดูทำไมกันเล่า ในเมื่อพวกเจ้ามุ่งมั่นอยากจะเรียนเช่นนี้ ข้าก็จะสอนให้!”
  ทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นสายเลือดตระกูลหลิงทั้งสิ้นและในวันข้างหน้าก็จะต้องเป็นกระดูกสันหลังของตระกูลหลิงต่อไป หลิงหยุนย่อมต้องสอนวิชาให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน!
  สำหรับตระกูลใหญ่นั้น..หากคนในตระกูลไม่แข็งแกร่งมากพอ ทายาทรุ่นต่อไปก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องสร้างทายาทตระกูลหลิงให้แข็งแกร่ง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลหลิงในวันข้างหน้า!