เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะสอนวิชาให้กับตนเองและทุกคน หลิงหย่งกับน้องๆ อีกสองคนก็ถึงกับดีอกดีใจอย่างมาก แววตาของทุกคนต่างก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าตนเองกำลังใช้กระบี่เหินสังหารศัตรูอยู่..
“แต่..”
หลังจากที่พูดให้ทุกคนดีใจแล้วหลิงหยุนตามด้วยการขู่ “หากพวกเจ้าต้องการที่จะฝึกวิชากระบี่เหินริงๆ พวกเจ้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ไม่ใช่พูดแต่ปาก..”
“ถึงแม้วิชาในคัมภีร์เสวียนหวงของตระกูลหลิงจะแข็งแกร่งไม่น้อยแต่นั่นก็คือวิชาฝึกฝนกำลังภายในให้แข็งแกร่งเท่านั้น ยังไม่ใช่วรยุทธที่สำหรับใช้ในการต่อสู้!”
หลิงหยุนกล่าวได้ถูกต้องการฝึกวิชาตามคัมภีร์เสวียนหวงนั้นเป็นการฝึกกำลังภายในเพื่อพัฒนาระดับขั้น แต่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว หรือกลวิธีการต่อสู้ใดๆเลย แต่ตระกูลหลิงกลับต้องเผชิญหน้ากับเหล่ายอดฝีมือที่มีวรยุทธสูงส่ง หรือไม่ก็มีเพลงกระบี่ที่ล้ำเลิศ..
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมั่นใจพร้อมกับย้ำว่า“แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป มีข้าหลิงหยุนอยู่ทั้งคน พวกเจ้าย่อมต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน!”
หลิงหยุนสอนวิชาบ่มเพาะให้กับคนรอบตัวมากมายเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูจึงแทบไม่ต้องพูดถึงพี่น้องตระกูลหลิงซึ่งล้วนแล้วแต่มีสายเลือดเดียวกันกับเขา..
“เอาล่ะ..อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย! ข้ามีของขวัญจะมอบให้กับพวกเจ้าด้วย..”
พูดจบ..หลิงหยุนก็จัดการเซ็นต์เช็คสามใบ และยื่นให้กับทุกๆคน พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ามอบเงินให้กับพวกเจ้าคนละหนึ่งร้อยล้าน หากไม่พอก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ!”
“โอ้โห!!”
เสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจดังออกมาจากปากพี่ชายน้องชายทั้งสามคน และสายตาของพวกเขาต่างก็จับจ้องอยู่ที่เช็คในมือซึ่งมีเลขศูนย์อยู่เต็มไปหมด..
เวลานี้หลิงหยุนได้กลับเข้าตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการแล้วและตัวเขาก็นับเป็นคนของตระกูลหลิงเช่นกัน เขาจึงต้องเอาชนะใจพี่น้องทุกคน และต้องการชดเชยให้กับสิบแปดปีที่คลาดจากกัน..
“โอ้โหน้องสี่..เจ้านี่ช่างใจกว้างเป็นแม่น้ำ ให้เงินมากมายขนาดนี้ ข้าไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรจริงๆ! ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหย่งกำเช็คในมือแน่นและกำลังตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ถูก..
ส่วนหลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยนั้นต่างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจไม่หยุดเช่นกัน..
สามพี่น้องต่างก็ถือเช็คไว้ในมือด้วยความตื่นเต้นและจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่แตกต่างกันไป..
เงินสามารถเปลี่ยนคนเป็นพระเจ้าและสามารถผลักคนให้กลายเป็นปีศาจ นี่คือเรื่องธรรมดาทั่วไปที่เกิดขึ้นไม่ว่าอยู่แห่งหนใด..
หลังจากที่หายจากอาการตื่นเต้นดีใจแล้วหลิงหย่งก็ยิ้มออกมาอย่างสมเพชพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ว่าที่ผู้นำของเรารู้ทั้งรู้ว่าน้องสี่กลับมาแล้วแต่กลับไม่ยอมมาหาน้องสี่กับพวกเราทั้งๆที่ข้าก็เอ่ยชวนแล้ว แต่เขากลับปฏิเสธและบอกว่าไม่ใช่ธุระ..”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงหย่งก็ได้แต่คิดใจว่าว่าที่ผู้นำซึ่งหลิงหย่งกำลังพูดถึงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลิงห่าว..
แต่ฟังจากน้ำเสียงของหลิงหย่งแล้วดูเหมือนเขาจะไม่ได้เคารพ และสนิทสนมกับพี่ชายแท้ๆ ของตนเองนัก!
หลิงหย่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบกับการฝึกฝนวิชาแม้ว่าเขากับหลิงห่าวจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่เขากลับสนิทสนมกับลูกชายของหลิงเยว่ซึ่งก็คือหลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยมากกว่า..
และเมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหย่งหลิงเฟิงก็พูดขึ้นว่า “เฮ้อ.. เขาโชคดีที่เกิดมาเป็นหลานชายคนโต และท่านปู่ก็ตามอกตามใจ ตัวเองจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลิงในวันข้างหน้า แต่กลับไม่สนใจฝึกฝนวิชา เอาแต่เที่ยวเล่นข้างนอก สนใจแต่เรื่องผู้หญิง..”
หลิงเลี่วยพยักหน้าเห็นด้วยและพูดเสริมขึ้นทันที “นั่นสิ.. ก่อนหน้านี้เขาช็อตเงิน ก็มาบีบบังคับเอาเงินที่ข้าอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบจากการทำงานหนักทุกเดือนไป สมน้ำหน้า.. อดได้เงินหนึ่งร้อยล้านจากพี่สี่เลย!”
และคำพูดของสามพี่น้องเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถบ่งบอกถึงอุปนิสัยใจคอของหลิงห่าวได้อย่างชัดเจน..
หลิงหยุนนั้นรู้อยู่แล้วว่าหลิงห่าวไม่ค่อยยอมกลับบ้านและทำตัวเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ก็เพราะไม่ต้องการพบเจอเขา และที่หลิงห่าวขาดแคลนเงินก่อนหน้านี้ ก็เพราะว่าตนเองนำเงินจำนวนมากมายไปให้กับองค์กรนักฆ่า เพื่อจ้างคนมาลอบสังหารเขานั่นเอง..
หลิงหยุนได้แต่นึกหยันอยู่ในใจอย่าว่าแต่หลิงห่าวจะไม่มาเลย ต่อให้เขามา หลิงหยุนก็ไม่มีทางมอบเงินของตนเองให้กับหลิงห่าวอย่างแน่นอน!
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำพร่ำบ่นของสามพี่น้องหลิงหยุนจึงได้รู้ทันทีว่าทั้งสามพี่น้องนั้นน่าจะมีสัมพันธภาพที่ไม่ดีกับหลิงห่าวมาตั้งแต่เด็ก..
“ช่างเถอะ..ข้ายังมีของบางอย่างจะมอบให้กับพวกเจ้าอีก!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็วางมือลงบนโต๊ะหินตรงหน้าตัวเอง และจัดการเรียกอาวุธมากมายออกมากองไว้บนโต๊ะหิน..
และมันก็คืออาวุธที่เหล่ามือสังหารขององค์กรนักฆ่าใช้เป็นอาวุธประจำตัวนั่นเอง!
และทันทีที่หลิงหยุนเรียกอาวุธเหล่านั้นออกมากลิ่นอายแห่งความดุร้ายรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาจากกองอาวุธเหล่านั้นทันที และดูเหมือนบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นด้วยเช่นกัน.. บนโต๊ะหินตรงหน้าหลิงหยุนนั้นนอกจากดาบเล่มยาวที่ทำจากทองคำดำแล้วก็มีกระบี่ที่ทำจากโลหะเนื้อดีมากมาย นอกจากนั้นก็มีกริด ทวนสั้น และอื่นๆอีกมากมาย
อาวุธที่หลิงหยุนคัดมานั้นล้วนแล้วแต่แตกต่างจากอาวุธธรรมดาทั่วไป เพราะนี่คืออาวุธประจำตัวของเหล่ามือสังหาร นอกจากจะทำจากโลหะชั้นดีแล้ว ไม่รู้ว่าได้ดื่มเลือดผู้คนมากี่มากน้อยแล้ว จึงได้มีกลิ่นอายสังหารพวยพุ่งออกมารุนแรงถึงเพียงนี้..
อาวุธเหล่านี้ในสายตาของเหล่ายอดฝีมือนั้นอาจเรียกว่าอาวุธในฝันกันเลยทีเดียว!แต่สำหรับหลิงหยุน.. มันก็แค่อาวุธรรมดาๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น
และที่หลิงหยุนนำอาวุธเหล่านี้กลับมาก็เพื่อให้คนรอบตัวเขาใช้แทนอาวุธเหล่านี้ไปพรางๆก่อน ในระหว่างที่รอให้หลิงหยุนสร้างอาวุธที่ล้ำค่ากว่านี้ให้!
ทันทีที่หลิงหยุนกองอาวุธทั้งหมดลงบนโต๊ะหินสายตาของพี่น้องทั้งสามก็เป็นประกายตื่นเต้นขึ้นมาทันที!
อาวุธที่ล้ำเลิศเช่นนี้..สำหรับตระกูลหลิงก่อนหน้านี้แม้แต่หนึ่งชิ้นยังไม่มีโอกาสได้ครอบครองเลย แต่เวลานี้กลับมีนับสิบกองให้พวกเขาเลือกตามใจชอบ!
เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจของพี่น้องทั้งสามหลิงหยุนจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าหยิบไปเลย เลือกหยิบอาวุธทีตนเองถนัดมือ!”
“ข้าอยากได้ดาบที่ทำจากทองคำดำ!”
หลิงหย่งเป็นฝ่ายร้องตะโกนบอกพร้อมกับรีบเอื้อมมือออกไปหยิบดาบยาวกว่าสามฟุตที่ทำจากทองคำดำหลิงหย่งกำไว้ในมือแน่นราวกับเกรงว่าจะถูกผู้อื่นแย่งชิงไป..
“ข้าต้องการกระบี่เล่มนั้น!”
หลิงเฟิงเลือกกระบี่เล่มยาวที่ทำจากโลหะเนื้อดีเขาชื่นชอบกระบี่เป็นชีวิตจิตใจ และไม่เคยเหลียวแลอาวุธอื่นใดเลย
“พี่สี่..ข้าอยากได้ทวนคู่สั้น!”
หลิงเลี่วยเลือกทวนคู่สั้นที่ทำจากโลหะเนื้อดีเช่นกันและมีความยาวเท่าหนึ่งแขนของผู้ใหญ่เท่านั้น ตัวกระบี่เป็นสีดำดูน่าขนลุก และไอสังหารก็พวยพุ่งออกมาเช่นกัน
การเลือกอาวุธนั้น..สามารถบ่งบอกบุคลิกของพี่น้องทั้งสามคนได้อย่างชัดเจน
หลิงหย่งเป็นเด็กหนุ่มใจกล้าห้าวหาญเขาจึงเลือกดาบที่ทำจากทองคำสีดำ ในขณะที่หลิงเฟิงนั้นเป็นคนเถรตรงดังเช่นกระบี่ ส่วนหลิงเลี่วยนั้นเป็นเด็กที่มีความคิดประหลาด ต้องการชนะด้วยทักษะความสามารถ จึงได้เลือกทวนสั้นคู่..
หลิงหยุนถามย้ำอีกครั้ง“นี่พวกเจ้ามั่นใจว่าจะไม่เปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่”
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกันและกำอาวุธในมือของตนเองไว้แน่น แต่ดวงตาก็จ้องมองอาวุธที่เหลือบนโต๊ะด้วยความเสียดาย หลิงหยุนเห็นท่าทางลังเลใจของทุกคนก็ถึงกับหัวเราะออกมา และพูดขึ้นว่า..
“เอาล่ะ..อาวุธเหล่านี้แม้จะดี แต่ก็เป็นเพียงแค่อาวุธธรรมดาทั่วไป พวกเจ้าใช้ไปพรางๆก่อน ข้าจะมีอาวุธที่ล้ำค่ากว่านี้ให้ทุกคนในวันข้างหน้า!”
หลิงหยุนร้องบอกทุกคนพร้อมกับเรียกอาวุธบนโต๊ะที่เหลือกลับเข้าไปแหวนพื้นที่ และทันทีที่หลิงหยุนบอกว่าในวันข้างหน้าจะมีอาวุธที่ล้ำคว่ากว่านี้มอบให้ แววตาเสียดายในดวงตาของทั้งสามจึงได้จางหายไป จากนั้นหลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืน และบอกกับทุกคนว่า novel-lucky
“เอาล่ะ..ข้ายังมีธุระต้องไปทำ วันนี้พบกันเท่านี้ก่อน!”
พูดจบหลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปทันที หลิงหย่งรีบลุกขึ้นตามพร้อมกับร้องตะโกนถามออกไปว่า
“น้องสี่..จะได้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว เจ้าไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนรึ”
หลิงหยุนยกมือขึ้นโบกพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่ล่ะ.. ข้ากินจนอิ่มแล้ว!”
หลิงหย่งจึงรีบถามต่อ“น้องสี่.. แล้วเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ เจ้าต้องการให้พวกเราพี่น้องช่วยอะไรเจ้าบ้าง?” หลิงหยุนที่เดินออกไปแล้วจึงหันกลับมายิ้มให้พร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปเช่นกัน“ข้ากำลังจะไปฝึกวิชา! พวกเจ้าจะช่วยข้าได้อย่างไรกัน”
หลิงหยุนผ่านขั้นปรับร่างกายมาแล้วและเวลานี้วิชาที่เขาต้องเร่งฝึกฝนให้ก้าวหน้าโดยเร็วที่สุดก็คือวิชาดาราคุ้มกาย..
การเข้าสู่ขั้นพลังชี่นั้นก็คือขั้นที่เรียกว่ากลั่นปราณบ่มเพาะจิตเวลานี้จิตของหลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าจะเดิน นั่ง หรือนอน ก็ล้วนแลัวแต่คือการฝึกฝนทั้งสิ้น และตราบใดที่ไม่เข้าสู่นาทีวิกฤตจริงๆ หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องจงใจทำสมาธิเพื่อเดินลมปราณฝึกฝนเหมือนเช่นเคย..
หลิงหยุนรู้ว่าพี่น้องทั้งสามของเขานั้นหลังจากได้รับของขวัญไปแล้ว ก็พยายามที่จะตอบแทนน้ำใจ และแสดงความซาบซึ้งใจต่อตนเอง ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงบอกไปว่าเขากำลังจะไปฝึกวิชา เพื่อเป็นการปฏิเสธน้ำใจของหลิงหย่งอย่างไม่ให้สะเทือนใจ.. “นี่น้องสี่ยังจะไปฝึกวิชาต่ออีกงั้นรึ”
หลิงหย่งหันไปมองหน้าพี่น้องอีกสองคนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมหลิงหยุนพวกเขาต่างก็ขยันฝึกฝนวิชากันมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับหลิงหยุน พวกเขาทั้งสามกลับดูเกียจคร้านขึ้นมาทันที
“ข้าไปก่อนแล้ว!”หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับโบกมือร่ำลาทุกคน
“สวรรค์ช่างตอบแทนอย่างตรงไปตรงมายิ่งนักพวกเรายังฝึกไม่หนักพอหากเทียบกับหลิงหยุน!”
หลิงหย่งมองตามแผ่นหลังของหลิงหยุนไปพร้อมกับรำพึงรำพันออกมา..
หลิงเฟิงเองก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า“น้องสี่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พวกเราไม่มีทางเทียบเขาได้เลยจริงๆ!”
หลิงเลี่วยได้ฟังจึงพูดสวนขึ้นมาทันที“นี่.. นับว่าโชคดีที่พี่สี่เป็นคนตระกูลหลิง พวกเราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับพี่สี่เลย เพียงแค่ตั้งใจฝึกฝนตนเองให้มากก็พอแล้ว..”
แม้ว่าหลิงเลี่วยจะเป็นน้องเล็กสุดแต่คำพูดคำจาของเขานั้นก็มีผลกับจิตใจของพี่ชายทั้งสองคน..
หลิงหย่งพยักหน้าเห็นด้วย“น้องเล็กพูดถูก.. หลิงหยุนเป็นคนตระกูลหลิง และเขาจะต้องทำให้ตระกูลหลิงของเรากลับมาผงาดขึ้นได้อีกครั้ง!”
จากนั้นทั้งสามพี่ต้องต่างก็ทดลองอาวุธของตนเองที่เพิ่งได้มาและเมื่อพบว่ามันสามารถตัดของแข็งอย่างโต๊ะหินได้อย่างง่ายดาย ก็ถึงกับตกอกตกใจ!
โต๊ะหินอ่อนที่หนากว่าครึ่งฟุตถูกดาบที่ทำจากทองคำดำตัดออกได้อย่างง่ายดายราวกัตัดแผ่นเต้าหู้
หลิงเลี่วยเองก็หยิบทวนคู่ของตนเองออกมาลองฟันที่โต๊ะหินอ่อนเช่นกันและมันก็ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย..
“นี่..พวกเจ้าทำเช่นนี้ หากท่านปู่มาพบเข้าคงต้องถูกดุแน่!”
หลิงเฟิงเห็นพี่ชายกับน้องชายทดสอบอาวุธของตนเองเช่นนั้นในใจก็นึกอยากทดสอบกระบี่ในมือของตนเองด้วย แต่ก็ยังไม่กล้าพอ จึงได้แต่พูดข่มขู่ทั้งสองคนแทน..
หลิงหย่งกับหลิงเลี่วยมองหน้ากันพร้อมกับร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน“รีบหนีกันดีกว่า!”
และเพียงแค่พริบตาทั้งสองคนก็วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้หลิงเฟิงยืนถือกระบี่บ่นพึมพำอยู่เพียงลำพัง
“นี่พวกเจ้า!ข้าไม่ต้องทดสอบก็ได้ ถึงอย่างไรกระบี่ของข้าก็สามารถตัดเหล็กได้อยู่ดี!”
……
หลิงหยุนมาถึงสวนชั้นที่สี่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิง..
แม้กายของหลิงหยุนจะอยู่ที่นี่แต่จิตใจของเขานั้นกำลังล่องลอยออกไปยังโลกอื่น..
หลิงหยุนกำลังคิดถึงเมื่อครั้งที่ตนเองอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..หลิงหยุนจำได้วาเขาเคยเสาะหาถ้ำที่มีพลังชีวิตมากมาย เมื่อพบแล้วเขาก็จะเข้าไปอยู่ในถ้ำ และจัดการหาหินใหญ่มาปิดปากถ้ำไว้ แล้วเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ด้านในนั้น..
แต่เวลานี้..เขาอยู่ในโลกที่ขาดแคลนพลังชีวิต การจะหาถ้ำเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
เวลานี้..แม้หลิงหยุนจะไม่ได้ทำท่าเหมือนคนฝึกฝนวิชา แต่หลิงหยุนก็กำลังฝึกวิชาอยู่ เขาไม่จำเป็นต้องจงใจนั่งหลับตาเดินลมปราณ เพราะร่างกายของเขานั้นอยู่ในขั้นที่เรียกว่าสามารถทำการฝึกที่ไร้รูปแบบได้..
การฝึกฝนของหลิงหยุนนั้นทำได้ด้วยการฝึกผ่านจิตใจและเวลานี้หลิงหยุนเองอยู่โลกที่เจริญรุ่งเรืองทางเทคโนโลยี และมีเรื่องราวที่วุ่นวายคอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา หากเขาไม่สามารถฝึกได้เช่นนี้ จะสามารถกลั่นปราณบ่มเพาะจิตได้อย่างไรกันเล่า
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าหลิงหยุนจะอยู่ที่ใด หรือทำอะไร เขาก็สามารถฝึกฝนวิชาได้ตลอดเวลา.. และหลิงหย่งกับหลิงเฟิงเองก็พูดไม่ผิด เพราะไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเทียบหลิงหยุนได้อีกแล้ว! หลิงเสี่ยวนั้นอาศัยอยู่ในสวนชั้นที่สี่และจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ตรวจพบว่าหลิงเสี่ยวกำลังนั่งเดินลมปราณอยู่บนเตียงเงียบๆ
ในคืนที่หลิงหยุนไปช่วยหลิงเสี่ยวและได้ทำการถ่ายเทลมปราณเพื่อซ่อมแซมจุดตันเถียน และเส้นลมปราณให้กับเขานั้น เวลานี้ยังมีลมปราณหมุนเวียนอยู่ในร่างกายของหลิงเสี่ยวอีกมากมาย เขาจึงต้องการที่จะรีบฝึกฝนเพื่อให้ตนเองสามารถฟื้นคืนขั้นได้โดยเร็วทีุ่สุด!
เมื่อสิบแปดปีก่อนหลิงเสี่ยวเคยอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3เขาจึงต้องการที่จะกลับไปสู่ขั้นเดิมให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้หลิงหยุนไม่ต้องคอยกังวลเรื่องของตัวเอง..
ระหว่างนั้น..เสียงของหลิงหยุนก็ดังขึ้นที่ข้างหูของหลิงเสี่ยว
–ท่านพ่อ..ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องฝึกฝนวิชานัก! เวลานี้ท่านต้องพักผ่อนให้พลังปราณฟื้นกลับมาเสียก่อน และพรุ่งนี้บ่าย ข้าจะมาช่วยท่านฟื้นคืนขั้นเอง!-
ทันทีที่เสียงของลูกชายดังขึ้นร่างของหลิงเสี่ยวก็ถึงกับสั่นสะท้าน และรีบกระโดดลุกขึ้นจากเตียงทันที..
–ท่านพ่อ..ข้าจะไม่เข้าไปพบท่านในตอนนี้ แต่จะกลับมาพบท่านอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย!-
หลิงหยุนบอกหลิงเสี่ยวผ่านกระแสจิตแล้วจึงใช้วิชาเงาลวงตาพาร่างตนเองไปยังสวนชั้นที่สองทันที
สวนชั้นที่หนึ่งนั้นเป็นส่วนของทายาทรุ่นเล็กสวนชั้นที่สองเป็นบ้านของหลิงเยว่ และสวนชั้นที่สามเป็นบ้านของหลิงเจิ้น และชั้นที่สี่เป็นบ้านของหลิงเสี่ยว..
วันนี้หลิงหยุนกลับเข้าตระกูลจึงนับเป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลหลิง ทุกคนในตระกูลหลิงจึงต่างพากันกลับมาบ้านกันตั้งแต่เช้า รวมทั้งหลิงเจิ้นกับหลิงเย่วด้วย
หลิงหยุนหลีกเลี่ยงที่จะพบหลิงเจิ้นและแอบไปพบลุงสองของเขาหลิงเย่วแทน..
หลิงเย่วต้อนรับหลิงหยุนอย่างอบอุ่นเขาจัดการรินน้ำชาให้กับหลิงหยุน พร้อมกับถามไถ่สารถทุกข์สุกดิบด้วยความห่วงใย
หลังจากพูดคุยกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมงหลิงหยุนจึงขอตัวกลับ หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงไปพบหลิงลี่ที่สวนด้านในสุด และพูดคุยกับหลิงลี่ต่ออีกครู่หนึ่ง จึงกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนของตนเอง และเริ่มฝึกฝนวิชา หลิงหยุนเริ่มกลั่นปราณเป็นหยดเสินหยวน!
หลิงหยุนนั่งฝึกฝนวิชาอย่างต่อเนื่องและเพียงแค่พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึงตอนเย็นของวันถัดไป..
และวันนี้ก็คือคืนวันที่สิบสี่ซึ่งเป็นวันที่มีพลังหยินรุนแรงที่สุดในรอบปี!