เมื่อหลิงหยุนลืมตาขึ้นมาลูกนัยน์ตาทั้งสองข้างของเขานั้นก็ได้กลายเป็นสีดำ และสีขาวอย่างละครึ่ง และปรากฏเป็นแสงสว่างสีดำกับขาวขึ้นมาวูบหนึ่ง ดูช่างประหลาดยิ่งนัก!
และมันก็คือเนตรหยิน–หยาง!
เวลานี้..พลังหยิน และหยางในร่างกายของหลิงหยุนนั้นอยู่ในระดับสูงสุด หลิงหยุนสามารถควบคุมให้พลังปราณของเขาไหลออกจากร่างกายได้ และกลายเป็นหมอกเบาบางครอบคลุมร่างของเขาไว้ ทำให้หลิงหยุนเวลานี้ดูเหมือนกับภาพที่อยู่ในความฝัน..
และนี่คือผลของการฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยางได้ก้าวหน้าจนเข้าสู่ขั้นที่สูงยิ่งขึ้น..
จากนั้น..เพียงแค่คิด พลังปราณที่กำลังห่อหุ้มร่างกายของหลิงหยุนอยู่นั้น ก็ได้อันตธานหายไปทันที หลิงหยุนไม่ต้องการให้ผู้ใดได้พบเห็ตความสามารถของตนเองมากนักในตอนนี้.. “ไม่เลวทีเดียว!ข้ากลั่นเสินหยวนได้ถึงสามหยดแล้ว ดูเหมือนระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่นั้น จะแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก!”
ด่านแรกของขั้นพลังชี่นั้นก็จะมีทั้งหมดสามขั้นคือ.. ขั้นปฐมชี่ (ขั้นพลังชี่-1) ขั้นเอ้อเชิงชี่ (ขั้นพลังชี่-2) และขั้นซานเชิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3)!
หลักการของขั้นพลังชี่นั้นก็คือ..การกลั่นปราณบ่มเพาะจิต! ดังนั้นการฝึกบ่มเพาะในขั้นนี้ก็คือการฝึกฝนเพื่อมุ่งกลั่นปราณในร่างกายให้เป็นหยดเสินหยวนนั่นเอง!
และตราบใดที่ผู้บ่มเพาะสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้คนผู้นั้นก็จะสามารถใช้หยดเสินหยวนสร้างพลังวิเศษ หรือพลังเหนือธรรมชาติได้!
และในด่านแรกของขั้นพลังชี่นั้นก็จะเป็นการฝึกฝนเพื่อให้สามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้รวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง!
ผู้ที่ฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ได้นั้นจะสามารถกลั่นหยดเสินหยวนได้สามหยดในหนึ่งวัน แต่เมื่อเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-2) นั้น ก็จะสามารถกลั่นเสินหยวนจำนวนสามหยดได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง และเมื่อเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ก็จะสามารถกลั่นเสินหยวนจำนวนสามหยดได้ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น..
การกลั่นเสินหยวนได้สามหยดภายในหนึ่งนาทีนั้นทำให้สามารถใช้พลังวิเศษ หรือพลังเหนือธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่อง จึงดูคล้ายกับการร่ายมนต์คาถานั่นเอง..
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดผู้บ่มเพาะตนที่ฝึกฝนจนผ่านด่านแรกของขั้นพลังชี่ไปได้นั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นซือเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) จึงสามารถใช้กระบี่เหินได้อย่างคล่องแคล่วต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ นั่นเพราะพวกเขามีเสินหยวนที่มากพอ..
และด้วยเหตุผลเดียวกันทำให้ผู้บ่มเพาะตนสามารถกลั่นโอสถ สร้างวัตถุวิเศษ ปลุกเสกยันต์ และสร้างค่ายกล หรืออื่นๆอีกมากมาย ด้วยการใช้หยดเสินหยวนที่กลั่นได้นี้ และการสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยหยดเสินหยวน ก็จะทำให้สิ่งต่างๆมีอานุภาพที่ดีกว่าการสร้างโดยไม่ใช้หยดเสินหยวนด้วย..
“เอาล่ะ..เพียงแค่นี้ก็คงไม่มีสิ่งชั่วร้ายกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ข้าอีกแล้ว!”
หลิงหยุนใช้เนตรหยิน–หยางกวาดมองไปรอบๆตัวและเวลานี้ดวงตาของเขานั้นก็สามารถมองทะลุทะลวงออกไปนอกห้องได้ และในที่สุดก็พึมพำออกมาเบาๆ
“วิญญาณชั่วร้ายเต็มไปหมด..”
หลิงหยุนรู้ว่าคืนนี้เป็นคืนวันที่14 กรกฏาคม และเป็นคืนที่จะมีพลังหยินรุนแรงที่สุดในรอบปี ตามตำนานเล่าว่า.. ในคืนนี้จะเป็นคืนที่ประตูนรกเปิดกว้าง และเหล่าภูติผีวิญญาณก็จะพากันออกมากันอย่างเนืองแน่น..
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม..เวลานี้ร่างกายของหลิงหยุนได้ผ่านการปรับร่างกายมาสำเร็จแล้ว ลมปราณและโลหิตในร่างกายของหลิงหยุน จึงมีพลังบริสุทธิ์ค่อนข้างรุนแรง ทำให้เหล่าภูติผีวิญญาณไม่กล้าที่จะเข้าใกล้.. หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับปิดเนตรหยิน–หยางไปแล้วจึงลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่า และแต่งตัวจนเรียบร้อย จึงได้เดินออกจากห้องนอนไป
“หลิงหยุน..เจ้าพร้อมแล้วรึ”
หลิงลี่นั้นได้มายืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของหลิงหยุนนานแล้วและสีหน้าของเขานั้นก็มีวี่แววของความวิตกกังวล และเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก ระหว่างนั้นสายตาของหลิงหยุนก็เหลือบไปเห็นบันทึกเล่มหนึ่งในมือของหลิงลี่ และเพียงแค่เหลือบมองเขาก็รู้ว่าด้านในนั้นคือลำดับวงศ์ตระกูลทั้งหมดของตระกูลหลิง..
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านปู่.. ข้าพร้อมแล้ว!”
“ดีมาก..ถ้าเช่นนั้นก็ตามปู่มา!”
หลิงลี่เอื้อมมือออกไปจับมือของหลิงหยุนไว้และพาเดินออกไปทันที ทั้งคู่เดินเคียงคู่กันไปยังสวนชั้นที่เก้า เพื่อไปยังห้องบรรพชนตระกูลหลิง.. ตระกูลหลิงนั้นถือเรื่องความกตัญญูรู้คุณเป็นสำคัญและในทุกๆปีของคืนก่อนวันเชงเม้ง ทายาททั้งสามรุ่นของตระกูลหลิงก็จะมารวมตัวกัน เพื่อทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วอย่างเป็นทางการเช่นนี้ทุกปี..
เพียงแต่ในปีนี้แตกต่างกว่าทุกปีเพราะปีนี้มีหลิงหยุนเพิ่มขึ้นมาในตระกูลอีกหนึ่งคน!
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าเวลานี้หลิงลี่กำลังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเพราะฝ่ามือของเขานั้นกำลังสั่นเทิ้ม
“ท่านปู่..”
หลิงหยุนจึงทาบฝ่ามืออีกข้างของตนเองลงบนหลังมือของหลิงลี่พร้อมกับเริ่มถ่ายเทปราณเสวียนหวงลงไปในร่างของหลิงลี่ เพื่อช่วยให้เขาคลายความตื่นเต้น และค่อยๆสงบลง
“ข้าไม่เป็นอะไร..รีบเดินเร็วแข้า! ท่านพ่อของเจ้า ท่านลุงสอง แล้วก็พี่น้องของเจ้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่ห้องบรรพชน!”
หลิงลี่หันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกด้วยน้ำเสียงที่ยังคงตื่นเต้น..
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าแทนคำตอบและจิตหยั่งรู้ของเขาเวลานี้ก็เปิดออกครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องบรรพชนตระกูลหลิงแล้ว
ภายในห้องบรรพชนตระกูลหลิงนั้น..หลิงหยุนพบป้ายวิญญาณของเหล่าบรรพบุรุษวางอยู่บนแท่นบูชามากมาย และด้านหน้าแทนบูชาก็มีการจุดธูปเทียนเพื่อทำการกราบไหว้ตามธรรมเนียม
ด้านข้างแท่นบูชานั้นมีหลิวเทวะที่สูงราวสามฟุตตั้งอยู่ข้างๆ ทำให้บรรยากาศภายในห้องบรรพชนดูเคร่งขรึมน่าเคารพมากยิ่งขึ้น..
นี่คือมรดกตกทอดของตระกูลหลิงหลิวเทวะ–วิญญาณซึ่งหลิงหยุนมอบให้กับโม่วู๋เตาไปศึกษานั้น เวลานี้ได้ถูกนำตั้งไว้ที่ข้างแท่นบูชาเพื่อเป็นการสักการะบรรพชนตระกูลหลิง
หน้าห้องบรรพชนตระกูลหลิงนั้นมีลูกชายของหลิงลี่ทั้งสามคนยืนอยู่ด้านหน้า ซึ่งได้แก่หลิงเจิ้น หลิงเย่ว และหลิงเสี่ยว ที่ยืนเรียงลำดับตามความอาวุโส ด้านหลังลูกชายทั้งสามของหลิงลี่ก็จะเป็นเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงทั้งหมด โดยที่ผู้ชายจะยืนอยู่ด้านหน้า และผู้หญิงจะยืนอยู่ด้านหลัง..
ตามธรรมเนียมโบราณที่เคร่งครัดนั้นผู้หญิงจะไม่สามารถเข้าร่วมพิธีไหว้บรรพชนนี้ได้ แต่ตระกูลหลิงไม่ได้ถือเคร่งครัดเช่นนั้น ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจึงมารวมกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนไปจับอยู่ที่ด้านหลังของหลิงเจิ้นซึ่งเวลานี้มีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งก็คือหลิงหย่ง และแน่นอนว่าอีกคนนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากหลานชายคนโตนของตระกูลหลิงที่ชื่อว่าหลิงห่าว!
หลิงหยุนเคยเห็นรูปของหลิงห่าวมาก่อนแล้วเขาจึงไม่จำเป็นต้องคาดเดาให้เสียเวลา และเขาเองก็จำหลิงห่าวได้อย่างแม่นยำ..
หลิงหยุนจับตามองหลิงห่าวอย่างพินิจพิจารณาใบหน้าของหลิงห่าวนั้นแม้จะหล่อเหลา แต่ก็ซีดเซียว ดวงตาหรี่เล็กนั้นค่อนข้างแดง และดูเหมือนว่ากำลังยืนเกร็ง สายตาของหลิงห่าวนั้นคอยมองไปรอบๆ ตัวอยู่เป็นครั้งเป็นคราว ดูคล้ายคนที่กำลังระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา..
หลิงหยุนรู้ดีว่าหลิงห่าวกำลังกังวลใจเรื่องอะไรอยู่รอยยิ้มหยันจึงปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเขา..
ในที่สุด..หลิงห่าวก็กลับบ้าน!
และในเมื่อหลิงห่าวกลับมาก็อย่าหวังว่าจะได้กลับออกไปอีกเลย หลิงหยุนคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ..
จากนั้นหลิงหยุนก็ละสายตาจากหลิงห่าวและคร้านที่จะมองเขาอีก หลิงหยุนเคลื่อนจิตหยั่งรู้ของตนเองไปจับจ้องอยู่ที่สาวน้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด.. นางก็คือหลิงซวี่นั่นเอง!
ใบหน้าเรียวเล็กของหลิงซวี่นั้นงดงามหมดจดยิ่งนัก!และเวลานี้นางก็ยืนอยู่ข้างต่งยั่วหลานแม่ของนาง และทั้งคู่ก็ยืนอยู่ด้านหลังของหลิงเสี่ยว..
หลิงซวี่นั้นแตกต่างจากหลิงห่าวที่ดูกระวนกระวายเพราะหลิงซวี่นั้นดูคล้ายหนักอกหนักใจ และกำลังกุมมือต่งยั่วหลานไว้คล้ายกำลังให้กำลังใจนาง..
เห็นได้ชัดว่าการกลับเข้าตระกูลหลิงของหลิงหยุนนั้นในคืนนี้ได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของหลิงซวี่ไม่น้อยเลยทีเดียว!
เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าการกลับมาของหลิงหยุนนั้นจะเป็นผลดี หรือว่าจะเป็นผลร้ายต่อนางและมารดาเช่นใด
หลิงลี่กับหลิงหยุนเดินมาถึงสวนชั้นที่เก้าและภายในก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก ซึ่งฝั่งตะวันออกนั้นเป็นบ้านของหลิงลี่ และฝั่งตะวันออกนั้นคือห้องบรรพชนตระกูลหลิง..
เมื่อเข้าใกล้ห้องบรรพชนแล้วหลิงลี่จึงบอกกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ด้านในคือห้องบรรพชนตระกูลหลิง ทุกคนต่างก็รอเจ้าอยู่นานแล้ว หลังจากไปถึงก็ทำการกราบไหว้บรรพชนให้เรียบร้อยเสียก่อน มีเรื่องอะไรก็เก็บไว้พูดจากันช่วงอาหารเย็นก็แล้วกัน..”
หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าหลิงลี่เองก็ยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับเดินผ่านประตูโค้งเข้าไปด้านใน และก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
“ท่านปู่กำลังมาแล้ว..มาพร้อมกับน้องสี่ด้วย!”
“พี่สี่..” novel-lucky
หลิงหย่งหลิงเฟิง หลิงเลี่วย และคนอื่นๆ ต่างก็พากันกระซิบกระซาบ ทุกคนต่างก็รู้กฏระเบียบกันเป็นอย่างดี จึงพูดด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ คล้ายเกรงว่าจะสร้างความหนวกหูรำคาญให้กับเหล่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว..
หลิงหยุนเดินตามหลิงลี่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งผ่านหน้าหลิงเสี่ยว เขาจึงหยุดนิ่งเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยทักทาย
“ท่านพ่อ..”
หลิงเสี่ยวยกมือขึ้นตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. เจ้าทำตามที่ท่านปู่บอก!”
หลิงลี่จับมือหลิงหยุนเดินผ่านสมาชิกตระกูลหลิงที่ตั้งแถวอยู่ด้านนอกเข้าไปภายในห้องบรรพชนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม.. “ผู้นำตระกูล..ลูกสอง.. ลูกสาม.. พวกเจ้านำคนในครอบครัวตามข้าเข้าไปกราบไหว้บรรพชน!”
จากนั้นหลิงลี่ก็นำหลิงหยุนเดินเข้าไปภายในห้องบรรพชนตระกูลหลิง..
ภายใต้การนำของหลิงเจิ้นหลิงเย่ว และหลิงเสี่ยว เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็เดินตามเข้าไปด้านในทันที
และภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีภายในห้องบรรพชนตระกูลหลิงก็แน่นไปด้วยผู้คน แต่ถึงกระนั้นภายในห้องก็มีแต่ความเงียบสงบ..
เมื่อทุกคนเข้ามาภายในห้องบรรพชนจนหมดแล้วหลิงลี่ก็ปล่อยมือหลิงหยุน และเริ่มจุดธูปสามดอกนำไปปักไว้ที่กระถางธูปที่วางอยู่หน้าป้ายวิญญาณทั้งหลาย..
หลังจากกราบไหว้บรรพชนเสร็จแล้วหลิงลี่ก็ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าสามก้าว แล้วจึงประกาศด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
“บรรพชนตระกูลหลิงทุกท่าน..คืนนี้ข้า –หลิงลี่ได้นำลูกหลานตระกูลหลิงทุกคนมากราบไหว้บรรพชนตามธรรมเนียม..”
จากนั้นหลิงลี่ก็คำนับป้ายวิญญาณของเหล่าบรรพชนและหันไปบอกกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. เข้ามาไหว้บรรพชน และบอกกล่าวพวกท่านเร็วเข้า!”
นี่เป็นครั้งแรกของหลิงหยุนที่ได้เข้าร่วมพิธีกราบไหว้บรรพชนตระกูลหลิงเขาจึงทำตามที่หลิงลี่บอกทุกอย่าง และเวลานี้หลิงหยุนก็กำลังโค้งคำนับอยู่ด้านหน้าป้ายวิญญาณของเหล่าบรรพชนตามที่หลิงลี่บอก..
สีหน้าท่าทางของหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง และให้ความเคารพต่อบรรพชนที่อยู่ตรงหน้าอย่างมาก
ในเวลาเดียวกันนั้นน้ำเสียงของหลิงลี่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หลิงลี่พร้อมด้วยลูกหลานตระกูลหลิงทั้งหมด ขอทำการกราบไหว้บรรพชนตระกูลหลิงทุกท่าน”
“หลิงเสี่ยวลูกชายของข้าเมื่อครั้งยังหนุ่มนั้น..ด้วยความไม่ประสีประสา จึงได้ทำผิดอย่างใหญ่หลวงเป็นเหตุให้ทายาทตระกูลหลิงต้องไปเร่ร่อนอยู่นานหลายปี เวลานี้.. หลิงหยุนซึ่งได้ไปอาศัยอยู่นอกตระกูลเป็นเวลานาน ได้กลับเข้าสู่อ้อมแขนของบรรพชนตระกูลหลิงแล้ว และได้ทำการกราบไหว้คาราวะเหล่าบรรพชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าจึงขอสลักชื่อของหลิงหยุนลงในบันทึกตระกูลหลิงเล่มนี้ต่อหน้าบรรพชน ขอดวงวิญญาณของบรรพชนตระกูลหลิงทุกท่านได้โปรดรับรู้ และคอยปกป้องคุ้มครองหลิงหยุนให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวดด้วยเถิด!”
และเวลานี้..การกราบไหว้บรรพบุรุษ การเข้าสู่ตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการ และการสลักชื่อลงในบันทึกตระกูลหลิง ก็เป็นอันเสร็จสิ้นในคราวเดียว..
จากนั้น..หลิงลี่ก็ใช้พู่กันเขียนชื่อของหลิงหยุนลงไปในบันทึกประจำตระกูล หลังจากนั้นเขาก็ปิดบันทึกเล่มนั้นลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะทำความเคารพป้ายวิญญาณอีกครั้ง..
“หลิงหยุน..เจ้าไปยืนอยู่ด้านหลังพ่อของเจ้า เพื่อทำการกราบไหว้บรรพชนพร้อมกันอีกครั้ง!” หลิงหยุนไม่พูดอะไรมากเขาพยักหน้าให้หลิงลี่ และเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของหลิงเสี่ยวทันที!”
หลิงลี่กระแอมเบาๆก่อนจะประกาศก้อง “ทายาทตระกูลหลิงทุกคน.. ทำการคาราวะบรรพชน!”
สิ้นเสียงประกาศของหลิงลี่..สมาชิกตระกูลหลิงที่ยืนหันหน้าให้กับแท่นวางป้ายวิญญาณ ต่างก็โน้มตัวลงทำความเคารพบรรพชนตระกูลหลิงทันที..
หลังจากนี้หลิงหยุนก็นับเป็นทายาทตระกูลหลิงอย่างถูกต้องกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ ล้วนเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ก็เคร่งขรึมจริงจัง..
แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้นสำหรับตระกูลหลิงแล้วยังเหลืออีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ..
หลิงลี่หันหลับกลับไปมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องสั่งว่า“หลิงหยุน.. เจ้านำหลิวเทวะมาให้ข้า!”
หลิงหยุนนำหลิวเทวะมาให้หลิงลี่พร้อมกับยืนอยู่ด้านข้างของเขาจากนั้นหลิงลี่จึงหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงพร้อมกับยกหลิวเทวะในมือขึ้น พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ทุกคน..ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“นี่คือมรดกของตระกูลหลิงเรา!ไม้สองท่อนนี้เคยแห้งเหี่ยวเป็นเพียงแค่ซากไม้ตายสีดำท่อนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา.. สายเลือดตระกูลหลิงต่างก็ได้ใช้เลือดของตนเองรดแทนน้ำ และเฝ้าถ่ายเทปราณเสวียนหวงให้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ท่อนไม้ทั้งสองเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลยแม้แต่น้อย..”
“แต่..หลังจากที่ได้พบตัวหลิงหยุนนั้น ข้าก็ได้ให้เหล่ากุ่ยน้ำมรดกตระกูลหลิงชิ้นนี้ไปทดสอบกับหลิงหยุน ด้วยการให้เขาหยดเลือดทดสอบ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาใช่ลูกชายของลูกสามจริงหรือไม่
“แต่หลังจากที่หลิงหยุนหยดเลือดของตนเองลงไปซากไม้ตายก็ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวชะอุ่ม และมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ไม่เพียงเท่านั้นหลิวเทวะนี้ยังสามารถเติบโต และแตกกิ่งใบได้อย่างน่าอัศจรรย์!”
“เวลานี้ทุกคนก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่า..ไม้ตายทั้งสองท่อนนั้นได้เติบโตกลายเป็นต้นไม้สองต้น!”
“แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าในวันข้างหน้าต้นไม้เล็กๆทั้งสองนี้จะนำพาประโยชน์อันใดมาให้ตระกูลหลิงบ้าง แต่อย่างน้อยข้าซึ่งอยู่ในระดับกลางขั้นเซียงเทียน-8 ก็สามารถรับรู้ได้ว่าพลังชีวิตที่กระจายออกมาจากหลิวเทวะทั้งสองต้นนี้ ช่างรุนแรง และมีชีวิตชีวายิ่งนัก!”
“นี่คือความประหลาดใจที่หลิงหยุนได้สร้างให้กับตระกูลหลิงและเปรียบเสมือนโชคดีที่หลิงหยุนนำกลับมาสู่ตระกูลหลิงเรา!”
“และก่อนที่หลิงหยุนจะกลับเข้าตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการนั้นเขาก็ได้ใช้ความสามารถของตนเองช่วยเหลือตระกูลหลิงของเราครั้งแล้วครั้งเล่า หลิงหยุนไม่เพียงช่วยลูกสองออกมาจากตระกูลเฉิน แต่ยังรีบกลับมาช่วยในวันที่ตระกูลหลิงมีภัยมหันต์ หนำซ้ำยังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับข้า และช่วยให้ข้าได้สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8 ได้ อีกทั้งคืนก่อนหน้านี้ที่หลิงหยุนเพิ่งจะกลับมาถึงปักกิ่ง เขาก็สามารถช่วยหลิงเสี่ยวกลับมาได้อีกด้วย..”
หลิงลี่บอกเล่าทุกอย่างในคราวเดียวจากนั้นจึงหยุดนิ่ง และจ้องมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อว่า
“ด้วยความเสียสละของหลิงหยุนและตามกฏของตระกูลหลิง.. ข้าจึงขอประกาศต่อหน้าทุกคน และต่อหน้าบรรพชนตระกูลหลิงว่า นับจากนี้ไปหลิงหยุนจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงรุ่นต่อไป! และมรดกตระกูลหลิงนั้น ข้าขอให้หลิงหยุนเป็นผู้เก็บรักษาไว้!”
หลิงลี่ประกาศต่อหน้าทุกคนพร้อมกับค่อยๆลดต้นหลิวเทวะในมือลง และจ้องมองลูกชายทั้งสามของตน
“ผู้นำ..ข้าเลือกลูกชายของเจ้าสามเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป เจ้าคิดเห็นเช่นใดบ้าง”
สีหน้าของหลิงเจิ้นเวลานี้ไร้อารมณ์ความรู้สึกเขาได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบา“ความสามารถ และการเสียสละของหลิงหยุนได้ปรากฏชัดต่อสายตาทุกคนชัดแล้ว ลูกเองไม่มีข้อโต้แย้ง!”
หลิงเย่วเองก็ตอบยิ้มๆเช่นกัน“ท่านพ่อ.. ข้าเห็นด้วยกับท่านทุกประการ ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงคนต่อไปนั้น ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับหลิงหยุนอีกแล้ว!”
คำพูดของหลิงเย่วนั้นไม่ต่างจากการประกาศสนับสนุนหลิงหยุนต่อหน้าทุกๆคนหลิงเจิ้นได้ฟังแล้วถึงกับเม้มริมฝีปากเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา..
หลิงเสี่ยวเองก็ตอบกลับไปว่า“เรื่องนี้ขอให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินใจ!”
ในเมื่อหลิงลี่ประกาศมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปให้กับลูกชายของตนเองเช่นนี้หลิงเสี่ยวยังจะต้องพูดอะไรอีกงั้นหรือ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี!”
หลิงลี่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับประกาศว่า “หากไม่มีผู้ใดโต้แย้ง ก็ตกลงตามนี้!”
“ถ้าเช่นนั้น..ก็ทำพิธีขั้นต่อไปได้แล้ว!”
พูดจบ..หลิงลี่ก็ยกนิ้วมือข้างซ้ายของตนเองขึ้นกัด และเริ่มทำการหยดเลือดลงไปบนกิ่งหลิวเทวะทันที พร้อมกับถ่ายเทปราณเสวียนหวงลงไปด้วย..
และครั้งนี้..สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาทุกคน!
เพราะครั้งนี้..เลือดจากนิ้วของหลิงลี่กลับไม่ถูกหลิวเทวะดื่มเข้าไปดังที่เคยเป็น แต่กลับไหลผ่านลำต้น และค่อยๆหยดลงบนพื้น แต่ปราณเสวียนหวงนั้นยังคงถูกหลิงเทวะดูดซับเข้าไปตามปกติ..
หลิงลี่ถึงกับอึ้งไปด้วยความตกใจเขาจ้องมองนิ้วของตนเองสลับกับจ้องมองหลิวเทวะด้วยความงุนงง..
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหตุใดจู่ๆ หลิวเทวะจึงไม่ดื่มเลือดของเข้า?”
จะตำหนิชายชราที่ตกใจก็ไม่ถูกนักเพราะนี่คือมรดกตระกูลหลิง แต่เวลานี้มันกลับไม่ยอมดื่มเลือดของเขา นี่ไม่เท่ากับว่าหลิวเทวะกำลังปฏิเสธเขาอย่างนั้นหรือ
อีกทั้งเวลานี้ก็อยู่ในห้องบรรพชน..แน่นอนว่าเหล่าวิญญาณของบรรพชนที่อยู่บนฟ้า ก็คงกำลังจ้องมองลงมาเช่นกัน!
หลิงลี่แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเขาคิดว่าเลือดที่บีบออกจากนิ้วตนเองนั้นอาจจะยังไม่มากพอ จึงกัดนิ้วอื่นจนเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด และรีบหยดมันลงไปบนต้นหลิวเทวะอีกครั้ง แต่เลือดทั้งหมดที่หยดลงไปบนผิวขรุขระนั้น กลับไม่ถูกหลิวเทวะดื่มเข้าไปเลยแม้แต่น้อย..