บทที่ 109 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 109 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (1)

             อี้เป่ยซีล้างหน้าล้างตา ยังคงเอื่อยเฉื่อยอย่างเห็นได้ชัด เดินหาวลงมาชั้นล่าง เห็นท่าทางสองคนที่สบตากัน รู้สึก เอ่อ เข้ากันดี

            “พวก พวกนาย เซี่ยเช่อ…” เธอแสดงอาการประมาณว่า ‘ฉันรู้หมดทุกอย่าง’ ออกมาแล้วพยักหน้า “แบบนี้ก็ไม่เลวนะ” อาศัยจังหวะก่อนที่ใบหน้าของลั่วจื่อหานจะบูดเบี้ยววิ่งกลับไปยังโซฟาทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้อธิบายเลย

            “ฉัน…” ทันใดนั้นเองเซี่ยเช่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร มุขนี้เล่นซะชวนประหลาดใจทีเดียว

            ลั่วจื่อหานกวาดตามองไปข้างหนอก เริ่มทำงานในมือ “ไม่เป็นไร วันนี้เขาอารมณ์ดี”

            “อือๆ ไม่เลวๆ ดีมากๆ” หัวเราะเจื่อนสองสามที ออกมาจากห้องครัวโดยไม่รู้ตัวแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก เงยหน้าขึ้นสบตาของอี้เป่ยซีที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

            ‘ใช่ ท่าทางอารมณ์ดีมาก’ เซี่ยเช่อนั่งลงข้างๆ และไม่ได้ไปสนใจ หรี่ตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าผ่อนคลายลงมาบ้าง

            ทั้งสามคนกินอาหารเช้าอย่างมีความสุขมาก

            โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่น อี้เป่ยซีมองดูสายเรียกเข้าใต้โต๊ะ กวาดตามองคนรอบข้างด้วยความละอาย ย่องออกไปข้างนอก

            “ฮัลโหล”

            “เป่ยซี ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” ถามด้วยความขึงขังระคนความโมโห

            คนรอบตัวเธอล้วนเป็นคนของพี่ชาย เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าเธออยู่ที่บ้านของลั่วจื่อหาน แต่ว่าเขาควรใช้น้ำเสียงตั้งคำถามแบบนี้จริงๆ เหรอ

            เธอไม่เคยถามเขาเรื่องฉินรั่วเข่อแบบนี้ ไม่เคยเลย

            “พี่…” เธอเหลือบมองข้างหลัง แล้วเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ตอนนี้ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว แยกแยะเรื่องของตัวเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”

            “แยกแยะได้ แยกแยะได้ก็คือการไปกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก แยกแยะได้ก็คือการไปค้างคืนที่บ้านเขา?” เสียงที่ข่มไว้สุดความสามารถราวกับว่าจะคำรามออกมาในวินาทีถัดไป จู่ๆ อี้เป่ยซีรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย

            “พี่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด ลั่วจื่อหานเป็นเพื่อนของฉัน”

            “เธอมีเพื่อนเยอะแล้ว”

            อี้เป่ยซีกำมือถือแน่นเม้มปากไม่ได้พูดอะไร ผู้ชายทางนั้นจึงสงบสติลง “เสี่ยวซี อารมณ์ไม่ดีก็กลับบ้าน พี่จะอยู่ข้างเธอเสมอ”

            “อือ ฉันรู้แล้ว ขอบคุณพี่นะ” ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง เตะถนนเป็นครั้งคราว ฝุ่นละอองเล็กๆ ปลิวขึ้นมาเบาๆ

            “พี่จะไปรับเธอ”

            “ไม่ต้องหรอก ฉันยังมีเรียน เดี๋ยวก็ไปมหา’ลัยแล้ว”

            “เสี่ยวซี หรือว่าเธอไม่อยากกลับมา?”

            อี้เป่ยซีกระตุกยิ้ม “พี่ ที่บ้านยังมีที่ให้ฉันอยู่อีกเหรอ” ความเงียบโจมตีทั้งสองคน เธอสูดหายใจลึก

            “ฉันไปกินข้าวก่อนนะ” วางสายทันทีโดยไม่รอคำตอบ หันกลับไปก็เห็นเงาของลั่วจื่อหาน

            “รู้อยู่แล้วว่านายต้องออกมา” ลั่วจื่อหานยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินคำพูดของเธอก็ยิ้ม

            “อืม เข้ามาเถอะ”

            เข้ามาเถอะ เหมือนว่ามีสถานที่ให้เธอได้พึ่งพาและพักพิงได้แล้ว เหมือนว่าไม่ต้องมีความรู้สึกระหกระเหินอีก ไม่ต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือกังวลอีกแล้ว

            เธอก้มหน้าเดินตามไป ลั่วจื่อหานจูงเธอเดินเข้าไปในบ้านอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว บ้านที่เดิมทีมีกลิ่นไอของเขานั้นเหมือนมีอย่างอื่นปะปนอยู่ด้วย ทั้งอบอุ่นและน่าพึงพอใจ

            “จุดเทียนหอมน่ะ เธอชอบนี่”

            อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างแรง “อืม ชอบมาก ชอบมาก”

            อี้เป่ยซีใช้ชีวิตโดยมีลั่วจื่อหานเทียวรับเทียวส่งหลายวัน ความสัมพันธ์ทั้งสองสองคนต่างถูกเก็บเงียบ แต่ก็มีผลดีที่ยากจะอธิบาย ตอนนี้เป็นเดือนสอบ แม้ว่าตอนนี้อี้เป่ยซีจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการตั้งใจเรียนแล้ว แต่ว่าเกิดเรื่องมากมายแบบนั้น โดดเรียนเยอะขนาดนี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก

            “ฉู่ซ่ง นายไม่ต้องทบทวนหรือไง?” อี้เป่ยซีมองฉู่ซ่งที่นั่งเล่นโทรศัพท์ในห้องอ่านหนังสือ คว้ามันมา น้ำเสียงเคร่งขรึม

            ฉู่ซ่งพิงเก้าอี้ ท่าทางภูมิใจมาก “โจทย์พวกนั้นหลับตาก็ทำได้ มีสุภาษิตนึงกล่าวไว้ว่า ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่จำเป็นต้องท่องหนังสือแทบเป็นแทบตายเหมือนเธอเพื่อคะแนนต่ำๆ หรอก”

            “ฉันก็ไม่อยากหรอกนะ” เธอวางคางบนหนังสือ ได้กลิ่นของปากกาเน้นข้อความ “แต่ว่าฉันไม่เข้าใจนี่นา”

            “เฮ้อ…” ฉู่ซ่งลูบหัวของเธอปลอบโยน “เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ขนาดผมยังร่วงไปเยอะเลย เธอน่ะไม่มีสมองตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะพยายามอีกแค่ไหนในสาขาวิชาของพวกเธอก็เปล่าประโยชน์”

            อี้เป่ยซีค้อนเขา ไม่ได้พูดอะไร มองตรงไปข้างหน้าด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย

            “เธอเคยคิดจะเปลี่ยนไปเป็นวิชาที่เธอชอบที่เธอถนัดจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่เสียเวลาเปล่าเหมือนตอนนี้”

            “เสียเวลาเปล่าอะไร ฉันกำลังตั้งใจเรียนมากนะ”

            ฉู่ซ่งดึงผมของเธอ ทำให้อี้เป่ยซีต้องลุกขึ้นมาจากโต๊ะ มองเขา “ฉู่เซี่ยเอ๊ย ตอนนี้เธอน่ะ ไม่สิ ฉันว่า จะพูดยังไงดี…เฮ้อ ถ้าฉันพูดไม่ดีเธอก็อย่าโกรธละกัน ถึงยังไงฉันก็อยากพูดความจริงซะหน่อย”

            “พูดเลย พูดเลย ฉันจะดูสถานการณ์อีกทีว่าจะโกรธหรือเปล่า”

            “ตอนนี้เธอกับอี้เป่ยเฉิน…เอ่อ ฉันไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอก็น่าจะรู้ว่าเหตุผลของการเรียนเศรษฐศาสตร์ของเธอมันไม่ใช่อยู่แล้ว ทำไมถึงยังฝืนอยู่อีกล่ะ หรือว่าเธอยังคิดถึง…”

            “เปล่า” อี้เป่ยซีพลิกหนังสือ โน้ตในหนังสือเป็นระเบียบเรียบร้อย “เขาเป็นพี่ชายของฉัน ฉันก็ต้องช่วยสิ” หมุนปากกาในมืออย่างใจลอย

            “งั้นฉันก็ช่วยไม่ได้แล้ว” ฉู่ซ่งดึงหนังสือในมือเธอมา พลิกดูนิดหน่อย ส่ายหน้า “ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอก อ่านของพวกนี้เหมือนอ่านหนังสือแห่งสรวงสวรรค์เลย”

            “ทำไมตอนที่นายเขียนโค้ดไม่เห็นพูดแบบนี้”

            “มันไม่เหมือนกัน เพราะฉันชอบนี่นา รู้สึกเหมือนว่าทุกตัวอักษรกำลังเต้นรำ สวยงามมาก ส่วนของเธอน่ะ ช่างเถอะๆ ไม่โจมตีเธอละ”

            อี้เป่ยซีดึงหนังสือกลับมา ถอนหายใจ ใช้ปากกาวงๆ ขีดๆ ต่อ แม้จะอ่านเนื้อหาจบแล้ว โจทย์ท้ายบทยังมีหลายจุดที่ยังไม่เข้าใจ รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกอยากฉีกหนังสือทิ้ง

            ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นมาจากเกมส์ก็เห็นท่าทางที่แทบคลั่งของอี้เป่ยซี รีบหยิบลูกอมกำหนึ่งออกจากกระเป๋าวางไว้ตรงหน้าเธอ แต่ถูกเธอปัดไปอีกทาง

            “ฉู่เซี่ย คือว่า เธอไม่เคยคิดจะใช้ทรัพยากรรอบข้างให้เป็นประโยชน์เหรอ เธอดูหลานฉือเซวียน เธอดูลั่วจื่อหานสิ พวกเขาน่าจะแก้โจทย์พวกนี้ได้สบายเลยนี่นา”

            “ตอนนี้หลานฉือเซวียนงานยุ่งมาก ลั่วจื่อหาน…” ทำไมไม่ไปหาลั่วจื่อหาน บางทีเธอเองก็ไม่เข้าใจ เป็นเพราะว่าไม่อยากให้เขาดูถูกเธอ? หรือเพราะไม่อยากรบกวนเขา? “เรื่องเรียนน่ะพึ่งตัวเองดีกว่า”

            “อ่อ งั้นแล้วแต่เธอนะ พี่ใหญ่จื่อหานโทรมาหาฉันบอกให้เธอกลับไป ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว”

        อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง พยักหน้า เก็บข้าวของอย่างไร้ชีวิตชีวา เดินลากเท้าออกไปจากห้องอ่านหนังสือ

————