บทที่ 751 แผนรับมือชั่วคราว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 751 แผนรับมือชั่วคราว

ในตำหนักเฟิ่งซีเฟิ่งไป่ซูมองไปตรงหน้าประตูอย่างตกอยู่ในภวังค์: “ข้ากลับหวังให้นางเป็นลูกสาว ท่านดูสิว่านางเก่งมากใช่หรือไม่”

“นางเป็นลูกสาวของเจ้าแน่นอน ซูซูอย่าได้กล่าวเช่นนั้นหากว่านางได้ยินแล้วจะเสียใจ เช่นไรนางก็กำเนิดจากเจ้าและข้า คำพูดของแม่ทัพฉีอาจเชื่อได้หรือไม่ได้ เรื่องราวบางอย่างก็ได้ผ่านไปแล้วนะ”

“ท่านก็เป็นเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยมนัก ข้าว่าชื่อของท่านนั้นไม่ได้ตั้งเสียเปล่าเลย ช่างไร้หัวใจจริงๆ เกรงว่าใจของท่านจะหายไปเสียแล้ว?”

“ก็หายไปอยู่แล้ว หายไปอยู่ที่ตัวซูซูแล้ว”

……

เอ๋าชิงยืนอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่งแล้วก็ลงไปด้านล่าง

ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปยังตำหนักด้านข้างทางนั้นก็จะพักผ่อนแล้วเช่นกัน เนื่องจากนางยังไม่ได้พักผ่อนเลย

ฉีเฟยอวิ๋นไปอาบน้ำและกลับมาพักผ่อนเสียก่อน

แม่ทัพฉีอยู่ในห้องนอนอีกห้องหนึ่งอย่างตกอยู่ในภวังค์

ล้มตัวลงนอนลงแล้วฉีเฟยอวิ๋นลองพยายามติดต่อกับเจ้าของร่างเดิม แต่ว่าเช่นไรเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมา ความรู้สึกก่อนหน้านั้นเหล่านั้นก็หายไปด้วยฉีเฟยอวิ๋นจึงได้รู้สึกแปลกใจ

“เหตุใด นอนไม่หลับหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นพลิกร่างอยู่สองครั้งหนานกงเย่จึงรู้ทันทีว่านางนอนไม่หลับจึงได้พลิกตัวและกอดนางไว้

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวในสิ่งที่ใจคิด

“เจ้าหมายถึงว่าเจ้าของร่างเดิมไม่ออกมาสักทีและตอนนี้ก็ไม่รู้สึกถึงตัวนาง?” หนานกงเย่ผลักฉีเฟยอวิ๋นออกและมองไปดูฉีเฟยอวิ๋นผ่านแสงสว่างอันริบหรี่

“ใช่” เพื่อให้แน่ใจฉีเฟยอวิ๋นได้หลับตาลงแล้วสัมผัสดูอีกครั้งแต่ก็ไม่พบเจ้าของร่างเดิม

ลืมตาขึ้นแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย: “เป็นไปได้ไหมว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในขณะที่พวกเรานั้นไม่ได้สังเกต?”

“ไม่หรอก เกิดเรื่องก็ยิ่งดีสิ” หนานกงเย่เกลียดชังเจ้าของร่างเดิมผู้นั้นมาตั้งนานแล้วควรจะจากไปตั้งแต่แรกแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าหมองลง: “จิตใจของท่านอ๋องไร้ความเมตตาจริงๆ ร่างกายของข้านั้นเป็นของนาง หากว่าไม่มีนางจะมีข้าได้เช่นไร แล้วยังพวกเจ้าห้าอีก แต่ท่านอ๋องกลับหวังให้นางเกิดเรื่อง”

สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนไปหนานกงเย่ก็อ่อนลงทันที

“ข้าเพียงแค่พลั้งปากเท่านั้นเอง”

“ท่านอ๋องพลั้งปากก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจ ความโหดเหี้ยมโหดร้ายของท่านอ๋องก็อยู่ในใจด้วยเช่นกัน เมื่อวานคนของซูมู่หรงนั้นตามจริงแล้วสามารถสังหารสักสองคนเพื่อขู่ให้ตกใจแล้วเขาจากไปก็พอ แต่ท่านอ๋องเกือบจะสังหารจนสิ้นซาก เขา ท่านอ๋องกล้ากล่าวหรือว่าไม่ได้ต้องการกำจัดให้สิ้นซาก?”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกโกรธขึ้นมาและไม่เห็นแกหน้าใครทั้งนั้นแล้วจึงได้ลุกขึ้นนั่ง

หนานกงเย่ไม่โต้เถียงกับนางเป็นธรรมดา เช่นไรในตอนนั้นก็ต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ

ในเวลานี้หนานกงเย่รู้สึกเสียใจยิ่งนัก ปล่อยเสือกลับคืนสู่ภูเขาซะแล้ว

หากว่าในตอนนั้นสังหารแล้วก็คือสังหารไปแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดจึงผลักเขาทีหนึ่ง แต่หนานกงเย่นั้นไม่ขยับเขยื้อนเพียงแค่มองดูนางเท่านั้น

“ท่านอ๋องต้องการเอาชีวิตของซูมู่หรงหรือ?”

“เขาไล่ตามมาไกลเช่นนั้นข้ากับเขาคงจะต้องสู้รบกันอย่างดุเดือดสนามหนึ่ง เมืองต้าเหลียงนั้นข้นแค้น แม้ว่าข้าจะสู้กับเขาด้วยกำลังทั้งหมดของบ้านเมืองก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา หรือว่าต้องรอให้ทหารม้าเหล็กของเขาทะลุทะลวงบ้านเมืองแล้วค่อยประลองกัน ถึงเวลานั้นเกรงว่าร้องไห้ก็สายเกินไปซะแล้ว”

หนานกงเย่ถอดเสื้อผ้าออก ส่วนฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชาว่า:”เขาเป็นครูฝึกของข้า”

“ครูฝึกใดกัน ไม่มีอาจารย์ผู้ใดชื่นชอบลูกศิษย์ ที่พวกเรานี่นั้นต้องตาย ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขาเป็นเสด็จพี่ของเจ้าเขายังไม่ยอมตายใจแล้วข้าจะปล่อยเขาไว้ได้เช่นไร?”

หนานกงเย่ถอดเสื้อด้านในออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจเลยว่าหนานกงเย่กำลังจะจ่ายเสบียงอีกแล้ว

ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันแล้วเขาจะจ่ายจ่ายเสบียงให้ได้เช่นไร

ชายผู้นี้ยิ่งอยู่ยิ่งไร้ยางอายขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านอย่าได้แตะต้องข้า ที่นี่คือแคว้นเฟิ่งและตอนนี้ข้าก็เป็นองค์รัชทายาท อย่างมากท่านก็เป็นแค่ราชบุตรเขยยังไม่ถึงเวลาที่ท่าน……”

“ความหมายของอวิ๋นอวิ๋นคือเนื่องจากที่นี่คือแคว้นเฟิ่งข้าจึงต่ำต้อย?”

“ข้า……”

“เช่นนั้นกลับไปข้าจะต้องขังอวิ๋นอวิ๋นเอาไว้ใช่หรือไม่?”

“ท่านกล้าหรือ?”

“เจ้าคิดว่าข้ากล้าหรือไม่?”

หนานกงเย่เอื้อมมือไปคว้าฉีเฟยอวิ๋น นางต้องการวิ่งแต่สุดท้ายหนานกงเย่ก็คว้านางเอาไว้ได้พอดี

ฉีเฟยอวิ๋นเสียเปรียบโดยไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่าอยู่แล้ว จากนั้นพลิกตัวขึ้นทับหนานกงเย่เอาไว้ด้านล่าง หนานกงเย่นอนอยู่ด้านล่างและทับขาของฉีเฟยอวิ๋นด้วยมือทั้งสองเอาไว้และพยายามจะลุกขึ้น

อย่างไรนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ทับหนาแน่นนัก หนานกงเย่จึงได้ล้มเลิกแผนการที่จะลุกขึ้นแล้วกอดฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้แล้ววางลงทับนางลงไป

หลังจากออกแรงฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยแล้วจากนั้นสองคนจึงได้พักผ่อน

วันรุ่งขึ้นฉีเฟยอวิ่นลุกขึ้นก็มีคนส่งชุดราชสำนักของแคว้นเฟิ่งมาให้แล้วเรื่องที่จะเข้าราชสำนักในอีกสามวันก็เลื่อนขึ้นมาสองวัน

ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ตามหนานกงเย่ไปยังตำหนักเฟิ่งเซียวของพระราชวังเฟิ่ง

นางเข้ามาจากตำหนักด้านหน้าและรออยู่ เฟิ่งไป่ซูเรียกตัวนางให้เข้าไปในราชสำนักจากด้านนอกตำหนัก

ในราชสำนักมีคนจำนวนหนึ่งคุกเข่าอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ตั้งใจมองดูพวกเขาและเดินไปยังด้านหน้าของท้องพระโรงตลอดทางจากนั้นคุกเข่าคำนับถวายความเคารพ

“นี่ก็คือลูกสาวของข้าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฟิ่งและตอนนี้นางยังเป็นองค์หญิงแห่งปีกใต้ด้วย บ้านเมืองของปีกใต้จะเป็นของนางในภายภาคหน้าพวกท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดมากมาย ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะแก้ไขบรรยากาศย่ำแย่ให้ดีขึ้นใหม่ หากขุนนางผู้ใดไม่พอใจก็ให้ถวายฎีกาขึ้นมา ข้าจะดูซิว่าศีรษะของผู้ใดไม่รู้ความและอยากจะลองดีกับวิธีการอันเฉียบขาดของข้า”

“กระหม่อมมิกล้า ถวายบังคมองค์รัชทายาทพะย่ะค่ะ”

ผู้คนในราชสำนักตกใจไม่น้อย เช่นไรผู้แทนพระองค์แห่งปีใต้นั้นไม่ธรรมดา

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ ให้พระสวามีของเจ้าเข้ามาสิ”

เฟิ่งไป่ซูมองออกไปนอกตำหนักแล้วหนานกงเย่จึงได้เข้ามา แต่ว่าเขาสวมชุดขุนนางของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งเมืองต้าเหลียงซึ่งก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจ

“ถวายบังคมจักรพรรดินีพะย่ะค่ะ” หนานกงเย่ไม่ได้คุกเข่าลง เขาผู้เป็นท่านอ๋องแห่งเมืองต้าเหลียงจะไม่คุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิของบ้านเมืองอื่นเป็นแน่

เฟิ่งไป่ซูก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ: “เจ้าควรจะเรียกข้าว่าเสด็จแม่ถึงจะถูก”

หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋นข้างๆเขาแล้วกล่าวว่า: “ในราชสำนักไม่สามารถล้อเล่นได้ โดยส่วนตัวแล้วควรเรียกว่าเสด็จแม่พะย่ะค่ะ”

“ไม่ว่าจะเป็นการส่วนตัวหรือไม่ตอนนี้เจ้าก็เป็นราชบุตรเขยของแคว้นเฟิ่งและก็ต้องเรียกข้าว่าเสด็จแม่แล้วก็ท่านชายด้วย พระองค์ประสงค์ให้เจ้าช่วยเหลือองค์รัชทายาท”

กล่าวถึงหัวข้อหลักแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าไม่เป็นเรื่องดีแน่

“แม้ว่าอวิ๋นอวิ๋นจะเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฟิ่งแต่ก็ยังเป็นพระชายาของข้าและยังเป็นพระชายาเย่ของเมืองต้าเหลียงอีกด้วย ข้าจะไม่แยกกับนางและก็จะไม่อยู่ในแคว้นเฟิ่ง เกี่ยวกับในภายภาคหน้าจักรพรรดินียังทรงพระเยาว์และองค์จักรพรรดิก็ทรงแข็งแรงจะต้องทรงมีพระโอรสและพระราชธิดาอีก แคว้นเฟิ่งก็จะดำรงอยู่หลายหมื่นปีดังเดิม สำหรับพวกเราสามีภรรยาเพียงแค่แคว้นเฟิ่งไม่รุกรานเมืองต้าเหลียงเรา เมืองต้าเหลียงเราก็จะไม่ใช้ทหารม้าเหล็กทะลุทะลวงบ้านเมืองอยู่แล้วพะย่ะค่ะ

เฟิงไป่ซูตกตะลึงครู่หนึ่งและข้าราชบริพารด้านล่างทั้งหลายก็ตะลึงเช่นเดียวกัน

นี่ก็ช่างมองข้ามความหวังดีของผู้อื่นยิ่งนัก

นี่ไม่ได้หมายความว่าหากเจ้าไม่ทำข้าข้าก็จะไม่ทำเจ้า หากเจ้ากระทำข้าก็จะตัดหญ้าโคนหรือ?

แม้ว่าจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่งจะยังเยาว์วัยแต่ว่าหลายปีมานี้ก็ไม่มีบุตรเลย ตอนนี้มีองค์รัชทายาทแล้วกลับต้องไปยังเมืองต้าเหลียง

เมืองต้าเหลียงเป็นสถานที่เช่นไร ไม่เพียงแต่ยากจนแม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้น

เฟิ่งไป่ซูมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “อวิ๋นอวิ๋นความหมายของเจ้าหล่ะ?”

“ข้ายินดีจะก้าวไปด้านหน้าและถอยหลังพร้อมกับสวามี ส่วนเสด็จแม่และเสด็จพ่อนั้นลูกไม่กล้าละเลย หากว่าหลังจากนี้อีกยี่สิบปีเสด็จแม่และเสด็จพ่อเสด็จไปเมืองต้าเหลียงของเรา ลูกจะต้องดูแลปรนนิบัติด้วยใจจริงและไม่กล้าละเลยเพคะ”

เฟิ่งไป่ซูมองไปยังซูอู๋ซิน ซูอู๋ซินจับมือเฟิ่งไป่ซูเพื่อให้นางวางใจ จากนั้นสายตาอันอ่อนโยนมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นซึ่งอยู่เบื้องล่าง: “อวิ๋นอวิ๋น เสด็จพ่อถามเจ้าหน่อยว่าหากว่าข้าและเสด็จแม่ของเจ้าไม่สามารถมีบุตรได้อีกเจ้าจะรับบ้านเมืองของแคว้นเฟิ่งหรือไม่?

“หม่อมฉันรับเพคะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก แต่นางเชื่อว่าเฟิ่งไป่ซูจะมีลูกได้อีก