องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 748 ระเบิดทำลายพระตำหนักไท่จื่อของเจ้า
ออกมาจากพระตำหนักเฟิ่งฉีฉีเฟยอวิ๋นก็เหลือบมองหนานกงเย่ พร้อมกล่าวขึ้นว่า“ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันสามารถรับมือได้หรือไม่เพคะ?”
“ยังไม่มา ค่อยว่ากันเถิด อยู่กับข้า”
วันนี้หนานกงเย่ก็รู้สึกสับสน ยิ่งออกมายิ่งสับสนวุ่นวาย
ฉีเฟยอวิ๋นอดที่จะยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า“ท่านอ๋อง เสียใจภายหลังแล้วหรือเพคะ?”
“เสียใจภายหลังตั้งนานแล้ว ไม่ออกมาข้าก็เสียใจภายหลัง เมื่อก่อนกลัวว่าจะทำให้ลูกๆเข้าไป คิดไม่ถึงว่าจะเอาภรรยาเข้าไปเสียแล้ว
เมื่ออดีตข้าแต่งกับคุณหนูบุตรสาวแม่ทัพ วันนี้กลายเป็นองค์หญิง จะให้ข้ารับได้อย่างไร?”หนานกงเย่รู้สึกห่อเหี่ยวใจ
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า“ท่านอ๋องเสียใจภายหลังหรือเพคะ”
“แต่งงานกับอวิ๋นอวินนะหรือ?”
สองสามีภรรยาสบตากัน ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“หม่อมฉัน!”
“ไม่เสียใจภายหลัง ชาตินี้ไม่เสียใจเลย”
หนานกงเย่มองหน้าฉีเฟยอวิ๋น กอมกุมมือของเธอ มองจากด้านบนลงมาด้านล่าง ทหารองครักษ์ล้อมรอบคุ้มกันพระราชวังเฟิ่งไว้ แต่ว่ามีบางส่วนนี้ที่ยังไม่ได้ใช้
ตรงประตูพระราชวังมีคนเดินมา ฉีเฟยอวิ๋นเห็นคนถึงได้ปล่อยมือออก กล่าวว่า“พวกเราควรที่จะไปผลัดเปลี่ยนชุดแล้วหรือไม่?”
“มิต้องแล้ว หากพวกเขารู้จัก ไม่เปลี่ยนชุดเขาก็รู้จัก หากไม่รู้จัก เปลี่ยนชุดไปก็ไร้ความหมาย”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางคนที่เข้ามา คนที่เข้ามาสิบกว่าคนล้วนสวมใส่ชุดราชสำนักแคว้นเฟิ่ง มีชายสองคน ส่วนคนอื่นล้วนเป็นหญิง
คนเข้ามาในพระราชวัง คนที่อยู่ด้านหลังรีบคุกเข่าลง จนกระทั่งไม่กล้ามองหน้า
ขันทีที่อยู่ด้านั้นรีบเดินมา กราบทูลรายงานข้างหูหนานกงเย่
“ออกไปเถิด”
ขันทีมองหนานกงเย่ด้วยความกังวลใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าได้หรือไม่
ขันทีออกไปอีกด้าน หนานกงเย่เดินเอามือไขว้หลังไป ฉีเฟยอวิ๋นมองบริเวณโดยรอบ หน้าที่ของเธอคือรับมือกับทางด้านปีกใต้ ส่วนที่นี่เธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจมาก เพียงแค่ไม่ทำร้ายหนานกงเย่ก็สามารถไม่สนใจได้
“เจ้าสองคนคือผู้ใดกัน?”หญิงที่เป็นหัวหน้าอายุราวห้าสิบกว่าปีสวมใส่ชุดพิธีการสีดำกับเหลืองกล่าวถาม บนชุดมีรูปนกกระสา ฉีเฟยอวิ๋นมองพิจารณาอย่างละเอียด เวลานี้ในมือของหญิงผู้นี้อุ้มประคองแผ่นหยกแตกต่างกับเสนาบดีเฉินไม่มาก เช่นนั้นนางก็คือเสนาบดี
“นี่คือบุตรสาวขององค์จักรพรรดิณีฉีเฟยอวิ๋น ข้าคือพระสวามีของนาง”หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ
เอ๋ากวงเหลียนยิ้มอย่างราบเรียบ กล่าวว่า“กล้าหาญนัก กล้าที่จะแกล้งหลอกว่าเป็นลูกหลานของกษัตริย์แคว้นเฟิ่งของข้า ควรถูกลงโทษอย่างถึงที่สุด ทหาร จับไว้”
ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังโผเข้าหา ในมือกุมปืนยาวอยู่แล้วล้อมรอบหนานกงเย่ไว้
“ข้าจะดูว่าผู้ใดมันกล้า ข้ามีป้ายคำสั่งจักรพรรดิณีอยู่ที่มือ พวกเจ้าไม่ต้องมาพาลอย่างไร้เหตุผล”หนานกงเย่หยิบป้ายคำสั่งออกมา เอ๋ากวงเหลียนชะงักงัน แต่ไม่ได้สนใจ
“พวกเจ้าอย่าไปเชื่อพวกเขา แผ่นป้ายคำสั่งในมือของเขาเป็นของปลอม ท่านชายเอ๋าชิงไม่อยู่จะต้องถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแน่ พวกเจ้ารีบจับสองคนนี้ไว้ ข้าจะได้ตบรางวัลอย่างงาม”
ทหารองครักษ์กระโจมเข้ามา เตรียมที่จะจับหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋น
หนานกงเย่โบกมือ ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังกระโจนเข้าไป
ทั้งสองฝ่ายเกิดการสู้รบกัน เอ๋ากวงเหลียนบอกผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังไปจัดการฉีเฟยอวิ๋น หูของหนานกงเย่กระดิก เอื้อมมือไปหยิบเข็มเงินบนตัวของฉีเฟยอวิ๋นสองเล่ม เล่มหนึ่งทะลวงใส่เอ๋ากวงเหลียน ตัวของเอ๋ากวงเหลียนสั่นเทา ล้มลงบนพื้น คนบริเวณโดยรอบกระจายออกชั่วพริบตาเดียว
หลังจากนั้นมีคนเข้ามาตรวจดู เอ๋ากวงเหลียนสลบไปเสียแล้ว
“เจ้าทำอะไรกัน?”คนด้านล่างกล่าวถามด้วยความเดือดดาล
“นี่คือพิษกู่ พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยิน ข้าคือบุตรเขยของผู้สำเร็จราชการแทนปีกใต้ซูอู๋ซิน หากพวกเจ้าถอยออกไปก็แล้วไป หากไม่ยินยอม ข้าทำได้เพียงใช้พิษกู่แล้ว”
“เจ้า……”พอได้ยินว่าเป็นพิษกู่ ทุกคนต่างหวาดกลัว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าองค์จักรพรรดิณีได้ถูกพิษกู่ทรมานกดขี่ แคว้นเฟิ่งเลยหวาดกลัวพิษกู่
จักรพรรดิณีถูกกษัตริย์ปีกใต้ข่มเหงมาหลายปี แคว้นเฟิ่งไม่มีผู้ใดยกทัพโจมตี มันไม่ใช่ว่าภายในเมืองปีกใต้แข็งแกร่งก้าวไกลอย่างง่ายดายแบบนั้นหรอก มันยังมีพิษกู่ของปีกใต้ที่แคว้นเฟิ่งหวาดกลัวด้วย
หนานกงเย่มองคนด้านล่าง กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า“ยังมีใครหรือ?”
“สรุปว่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน?”ชายที่อยู่ด้านล่างกล่าวถาม
ฉีเฟยอวิ๋นมองชุดฝ่ายตรงข้ามที่สวมใส่ เป็นลุงแล้ว บนตัวของพวกเขามีภาพมังกรและหงษ์
หนานกงเย่ออกคำสั่งว่า“เอาเก้าอี้ย้ายมาให้ข้า”
“ได้”
“เอาเก้าอี้บัลลังก์มังกรนั้นย้ายมา ข้าชอบมาก รอกลับไปจะเอาไปด้วย”
ขันทีเหลือบมองหนานกงเย่ ไม่กล้าต่อต้าน กลับไปย้ายเก้าอี้บันลังก์มังกรกลับมา
หนานกงเย่จับชุดขึ้นแล้วนั่งลง ไม่ได้เอียงตัวอิงเก้าอี้ เอามือรองไว้ ดวงตาเรียบเฉยกล่าวว่า“ข้ารอพวกเจ้า ผู้ใดจะมาก่อน”
“…..”
คนด้านล่างต่างเงียบไม่มีเสียงตอบรับ และไม่มีคนขึ้นมาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นยอมใจ มิน่าเล่าถึงไม่สามารถทำอะไรจักรพรรดิณีได้ ร่างกายจักรพรรดิณีมีพิษ และมีหนอนพิษกู่ จนถึงวันนี้พวกเขาก็ไม่ได้ยื้อแย่งตำแหน่งจักรพรรดิ สามารถมีชีวิตได้ถึงวันนี้นับว่ามหัศจรรย์
หนานกงเย่นั่งอยู่อย่างนั้น จนพวกเขาตะลึงงันแล้ว
คนด้านล่างไร้การเคลื่อนไหว หนานกงเย่อยากดื่มชา ขันทีเลยประเคนชามาถวาย วางบนโต๊ะ หนานกงเย่ยกชามาดื่ม
รอบแรกไม่ได้ดื่มหกลงบนพื้น
คนด้านล่างหวาดกลัวคิดว่ามีแมลงหนอน ฉีเฟยอวิ๋นเลยให้ความร่วมมือเรียกให้เหล่าชื่อจินจื่อปรากฎตัวมากลิ้งอยู่บนพื้น
น้ำชาที่หกลงหนานกงเย่ให้เหล่าชื่อจินจื่อดื่ม
พอเห็นแมลงคนด้านล่างต่างพากันถอย
ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้แมลงตัวหนึ่งในนั้นลงไป คล้ายเหมือนจะไปหาคนด้านล่าง หนานกงเย่กล่าวว่า“อย่าเลอะเทอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้เก็บชื่อจินจื่อ การหายไปของชื่อจินจื่อทำให้คนด้านล่างตกใจจนเหงื่อแตก
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นหรี่ตาอาบรับแสงแดด
“น้ำชาไม่อร่อย เปลี่ยนเถิด”
หนานกงเย่หรี่ตาพูดออกคำสั่ง คนด้านล่างแทบไม่กล้าหายใจหายคอ หนานกงเย่ไม่เคยดื่มเลย มีแต่ให้แมลงดื่ม เขาบอกไม่อร่อย เช่นนั้นแมลงก็รังเกียจสินะ
เฟิ่งไป๋หมิงเช็ดซับเหงื่อ สีหน้าดูไม่ได้มาก
หน้าอกของฉีเฟยอวิ๋นเคลื่อนไหว มองไปทางหนานกงเย่ กล่าวว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันออกไปเดินก่อนนะ”
หนานกงเย่ลืมตาขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น และกล่าวว่า“อย่าเดินมั่ว”
“ไม่เดินมั่วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบจึงหมุนตัวออกไป เสี่ยวจินบอกว่ามีของมาแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาด้านนอกไม่เจอ เช่นนั้นก็อยู่ในพระตำหนัก
พอเข้าไปในพระตำหนักเฟิ่งฉีเธอได้เงยหน้าขึ้นมองบนสุดของห้อง ด้านบนสุดของห้องมีอะไรเคลื่อนไหว ฉีเฟยอวิ๋นเลยสั่งชื่อจินจื่อขึ้นไปดู เหล่าแมลงตีกัน คนในพระราชวังต่างตกใจไม่น้อย ฉีเฟยอวิ๋นก็มองอยู่
ไม่นานแมลงจึงได้จัดการเสร็จเรียบร้อย เอ๋าชิงกลับมา มองฉีเฟยอวิ๋นแล้วถามว่า“เหตุใดเจ้าถึงเรียกใช้พวกเขา?”
“ข้าคือจักรพรรดิณีของพวกเขา แน่นอนว่าข้าสามารถควบคุมได้”
ฉีเฟยอวิ๋นวางกับดักตาข่ายดักแมลงไว้ แล้วจึงเดินออกไป
เวลานี้คนชุดดำมาถึงด้านนอกแล้ว พอเห็นคนฉีเฟยอวิ๋นเลยนึกถึงซูมู่หรง มีเพียงเขาที่มีการวางหมากจัดการเช่นนี้ได้
“ท่านอ๋อง ซูมู่หรงมาแล้ว”
หนานกงเย่ลืมตามองฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ข้าจะไป”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไป กล่าวว่า “แต่ว่า ท่านอ๋อง…..”พูดภาษาพิษกู่ไม่เป็นนั้นฉีเฟยอวิ๋นได้คิดในใจ
หนานกงเย่ลุกขึ้น กล่าวว่า“นั่งลงเถิด เจ้าสามารถที่จะต้านทานที่แห่งนี้ได้ หากพวกเขาไม่ฟัง สังหารได้”
น้ำเสียงหนานกงเย่เยือกเย็นผิดปกติ แล้วไปทางด้านของคนชุดดำเหล่านั้น
“ซูมู่หรง คนไหนคือเจ้า”
ซูมู่หรงคิดไม่ถึงเลยว่าหนานกงเย่จะทำเช่นนี้ พอเขามาก็เปิดโปงการมาถึงของเขาเลย
ซูมู่หรงยืนในกลุ่มคน เขาไม่ได้ออกหน้า
แต่ทว่าหนานกงเย่กลับดูรู้ว่าเป็นซูมู่หรง ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว เขากลับสาวเท้าก้าวจากด้านบนลงไป เดินพร้อมกับกล่าวว่า“ข้าให้เวลาเจ้าเพียงครึ่งชั่วยาม ออกไปจากพระราชวังแคว้นเฟิ่งซะ ไม่อย่างนั้นข้าจะสั่งคนไประเบิดทำลายพระตำหนักไท่จื่อของเจ้าเสีย”